วันพฤหัสบดี, มีนาคม 19, 2552

Short Replay: หอแต๋วแตก


เป็นเรื่องน่าตลกที่คุณจะสามารถเข้าใจเรื่องราวความเป็นไปใน หอแต๋วแตก จากการอ่านข่าวแจกของค่ายหนังตรงหัวข้อ “เรื่องย่อ” ได้มากกว่าการนั่งดูหนังตลอดทั้งเรื่องเสียอีก อาจเรียกว่าเป็นอคติส่วนตัวก็ได้ แต่ผมชื่นชอบหนังของ พจน์ อานนท์ ที่ “ไร้สาระ” โดยไม่ต้องพยายามมากกว่าผลงานจงใจยัดเยียดสาระของเขา เพราะเราทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเขาค่อนข้างหนักมือและไร้จินตนาการแค่ไหนในการนำเสนอสาระสู่คนดู ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงสามารถนั่งชม หอแต๋วแตก ได้โดยไม่ต้องตีหน้าเหยเก เหมือนเวลา พจน์ อานนท์ พยายาม “ทำซึ้ง” หรือ “สั่งสอน” คนดูอย่างเถรตรง (ดูตัวอย่างได้จากบางฉากใน ว๊ายบึ้ม! เชียร์กระหึ่มโลก) ตรงกันข้าม หลายครั้งผมรู้สึกสนุกไปกับมุกปัญญาอ่อน หรือคุณสมบัติ “ห่วยจนตลก” ของหนัง ไม่ว่าจะเป็นในแง่คุณภาพของงานสร้าง (ฉากปาทุเรียนปลอมเห็นแล้วนึกว่ากำลังดูหนังของ เอ็ด วู้ด อยู่!) หรือการเล่าเรื่องที่ไม่ปะติดปะต่อ ไร้ชั้นเชิง และปราศจากความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น

เหตุการณ์ใน หอแต๋วแตก ให้ความรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นในโลกคู่ขนานกับความเป็นจริง เพราะอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การที่โคย (วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย) มีพ่อ/แม่เป็นกะเทยแต่งหญิง แต่กลับไม่เห็นมันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เช่นเดียวกับบรรดาผู้เช่าหอพัก ซึ่งดูแลโดยสามกะเทยสาวใหญ่ที่ชอบแต่งตัวเหมือนตัวละครที่หลุดมาจากหนังเรื่อง The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert (ในชีวิตจริง ผมว่าพวกเธอน่าจะทำให้ผู้เช่าวิ่งหนีได้มากกว่าผีสาวปะแป้งหน้าขาวเสียอีก!) หรือกระทั่งข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเธอเคยเป็นเจ้าของค่ายมวยมาก่อน (อันนี้ผมอ่านเจอจากเรื่องย่อ เพราะตอนดูหนังผมไม่ยักกะรู้เลยว่าพวกเธอเคยเป็น “อดีตเจ้าของค่ายมวยแต่โดนโกง เลยมาร่วมลงทุนสร้างหอพักชาย”) นอกจากนี้ หนังยังเล่นสนุกกับการขายเรือนร่างเพศชายแบบที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนักในหนังผีหรือหนังตลก โดยกระทั่งฉากข่มขืน กล้องก็ยังเน้นแทนสายตาหญิงสาวผู้ถูกกระทำ (ซึ่งสวมเสื้อผ้ามิดชิด) มากกว่ากลุ่มนักข่มขืนหนุ่มแน่น หน้าตาดี (แถมเปลือยท่อนบนกันถ้วนทั่ว) สำหรับผลงานกระแสหลัก จะเรียกว่านั่นเป็นการแหกกฎที่กล้าหาญก็คงไม่ผิดนัก รวมเลยไปถึงการเอาปลัดขิกมาล้อเล่นเป็นเหมือนดิลโด้ด้วย (ไสยศาสตร์แบบไทยๆ กับป็อปคัลเจอร์ของฝรั่ง เช่น การล้อเลียน Brokeback Mountain ดูจะกลมกลืนไปกันได้ในหนังอย่างหอแต๋วแตก) และหากพิจารณาจากเพศสภาพของเหล่าตัวละครเอก มันก็ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเสียด้วย

วันอังคาร, มีนาคม 10, 2552

Short Replay: Manhattan


ผมเป็นแฟนหนังของ วู้ดดี้ อัลเลน และ Manhattan ก็ยังคงดำรงตำแหน่งสูงสุดในหัวใจเสมอมา (และคงตลอดไป) แม้ผมจะหลงรักหนังเรื่องอื่นๆ ของเขาอีกหลายเรื่องไม่แพ้กัน และแม้ผมจะไม่แน่ใจว่ามันเป็นหนังที่ “ดีที่สุด” ของอัลเลนหรือไม่ สาเหตุที่มัน “โดนใจ” ผมค่อนข้างมีความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องไม่น้อย รวมไปถึงช่วงเวลา ณ ขณะที่ได้ชมหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก มันอุดมไปด้วยความงดงามของทัศนียภาพรอบเมืองแมนฮัตตัน (งานถ่ายภาพขาวดำที่น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้ดูมา) และเพลงประกอบสุดแสนไพเราะของ จอร์จ เกิร์ชวิน จนทำให้คนดูรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝันโรแมนติก แต่อัลเลนได้คานน้ำหนักไว้ด้วยการสะท้อนสภาวะ “สมจริง” ของเหล่าตัวละคร รวมถึงวิกฤติทางจิตใจของพวกเขา จนคนดูสามารถ “อิน” ไปกับเรื่องราวได้โดยตลอด

ทีเด็ดของ Manhattan ซึ่งได้ใจผมไปเต็มๆ คือ ฉากสุดท้ายของหนัง เมื่อไอแซ็ค (อัลเลน) เดินทางมาพบ เทรซี่ (เมเรียล เฮมมิ่งเวย์ ในการแสดงที่สุดแสนมหัศจรรย์) คู่รักวัย 17 ปีของเขาที่สนามบินขณะเธอกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลาหกเดือน (ก่อนหน้านี้ เขาพยายามจะสลัดเธอทิ้ง พร้อมทั้งหาเหตุผลสารพัดมาสนับสนุนให้เธอเดินทางไปต่างประเทศ เพราะเขาดันไปตกหลุมรักกับหญิงสาวอีกคนซึ่งมีวัยไล่เลี่ยกัน รับบทโดย ไดแอน คีตัน แต่สุดท้ายมันก็ไปไม่รอด) เขาไม่อยากให้เธอจากไป พยายามอ้อนวอน ฉุดรั้งเธอไว้ เพราะกลัวว่าเวลาหกเดือนแห่งประสบการณ์แปลกใหม่จะทำให้เธอกลายเป็นอีกคนหนึ่ง (“ผมไม่อยากให้สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับคุณต้องแปรเปลี่ยนไป”) เธอจะได้เจอดารา ผู้กำกับมากหน้าหลายตา ได้ไปทานอาหารกลางวันกับคนเหล่านั้น และสุดท้ายความสัมพันธ์ของเขากับเธอคงต้องจบลง... คำตอบของเด็กสาววัยทีน (ซึ่งกลายเป็นคำพูดสรุปสุดท้ายของหนัง) คือ “หกเดือนก็ไม่ได้เนิ่นนานอะไร ใช่ว่าทุกคนจะต้องเหลวแหลกเสียเมื่อไหร่ หัดมีศรัทธาในมนุษย์บ้างสิ”... ใช่เลย บางทีนั่นแหละคือสิ่งที่เราควรจะทำ

วันเสาร์, มีนาคม 07, 2552

ออสการ์ 2009: ชัยชนะของเด็กสลัม


งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 81 ผ่านพ้นไปโดยปราศจากเซอร์ไพรซ์ในแง่ของผลรางวัล หนังอิสระทุนต่ำที่เกือบจะถูกส่งตรงลงตลาดหนังแผ่นอย่าง Slumdog Millionaire กวาดรางวัลไปครองมากสุดตามคาด รวมทั้งสิ้น 8 รางวัล ทำสถิติเทียบเท่า Amadeus (1984) Gandhi (1982) Cabaret (1972) My Fair Lady (1964) On the Waterfront (1954) From Here to Eternity (1953) และ Gone with the Wind (1939) นอกจากนี้ Slumdog Millionaire ยังกลายเป็นหนังเรื่องที่สี่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งคว้าออสการ์สาขาภาพยนตร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาการแสดงเลย ตามหลัง Gigi (1958) The Last Emperor (1987) และ The Lord of the Rings: The Return of the King (2003)

ที่บอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้หนังของ แดนนี่ บอยล์ เพิ่งกวาดรางวัลของสมาพันธ์ต่างๆ มาครองแบบครบถ้วน ชนิดไม่เคยมีหนังเรื่องใดทำได้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสมาพันธ์ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง นักแสดง ผู้กำกับภาพ คนตัดต่อ คนเขียนบท นักออกแบบงานสร้าง และกระทั่งสมาพันธ์นักออกแบบเครื่องแต่งกาย (สองรางวัลหลังในสาขาภาพยนตร์ร่วมสมัย) นอกเหนือไปจากนั้น มันยังชนะรางวัลสูงสุดบนเวทีลูกโลกทองคำและ BAFTA ด้วย

Slumdog Millionaire ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของ ฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์ บนเวทีออสการ์หลังเคยเฉียดๆ มาสองปีติดกันจาก Little Miss Sunshine และ Juno ทุกคนในงานดูจะมีความสุขกับผลลัพธ์ที่ออกมาไม่น้อย สังเกตได้จากการลุกขึ้นยืนปรบมือให้ทีมงานรวมทั้งเหล่านักแสดงเด็กๆ เมื่อหนังคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครอง มีคนวิเคราะห์ว่าเหตุที่ Slumdog Millionaire ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามบนเวทีออสการ์ ไม่ใช่เพราะมันเป็นผลงานที่ “ดีที่สุด” แต่เพราะมันสอดคล้องกับอารมณ์ของคนอเมริกัน ณ เวลานี้มากที่สุด ตั้งแต่ไอเดียที่ว่าเงินไม่ได้นำมาซึ่งความสุข ความรักมีชัยเหนือทุกสิ่ง และการที่ผู้ชายตัวเล็กๆ ในสังคมสามารถเอาชนะทุกคนได้ด้วยการเล่นตามกฎ ที่สำคัญ มันเป็นหนังซึ่งให้ “ความหวัง” อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งหมดนี้เอง (บวกกับคุณภาพอันน่าพึงพอใจของหนัง) ส่งผลให้ Slumdog Millionaire เอาชนะเหนืออุปสรรคหลากหลายไม่ต่างจากตัวละครเอกอย่างจามาล (ความเป็นหนังอินดี้/พูดภาษาฮินดูครึ่งเรื่อง/กำกับโดยคนอังกฤษ/นำแสดงโดยคนอังกฤษและอินเดีย/เข้าชิงออสการ์มากเป็นอันดับสอง/ไม่ได้เข้าชิงสาขาการแสดงเลย)

เซอร์ไพรซ์เดียวของงาน คือ การคว้ารางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมมาครองของ Departures (ญี่ปุ่น) โดยเบียดคู่แข่งตัวเก็งอย่าง Waltz with Bashir (อิสราเอล) และ The Class (ฝรั่งเศส) ไปแบบชวนกังขา อย่างไรก็ตาม เซียนออสการ์หลายคนคาดเดาไว้แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์ล็อกถล่ม เนื่องจากสาขานี้เรียกร้องให้กรรมการทุกคนต้องดูหนังที่ได้เข้าชิงครบทั้งห้า ซึ่งส่วนใหญ่ที่ทำได้ (เพราะมีเวลาว่าง) มักเป็นสมาชิกอายุมาก ที่อาจ “เย็นชา” ต่อความแปลกใหม่ ท้าทายของ Waltz with Bashir และชื่นชอบอารมณ์อบอุ่น อ่อนหวานใน Departures

การเมืองบนเวทีออสการ์

หลังความพ่ายแพ้ของกลุ่มรักร่วมเพศในการคว่ำข้อเสนอเพื่อแก้ไขกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนีย (Proposition 8) ซึ่งระบุให้การแต่งงานเป็นสิทธิอันชอบธรรมของ “ชายกับหญิง” เท่านั้น (หมายความว่าเกย์หรือเลสเบี้ยนจะไม่สามารถแต่งงานโดยถูกต้องตามกฎหมายในแคลิฟอร์เนีย) ชัยชนะของ Milk บนเวทีออสการ์ ดูเหมือนจะเป็นการแก้เผ็ดเล็กๆ น้อยๆ ของเหล่าประชาชนหัวเสรีนิยม (หรือตามคำพูดของ ฌอน เพนน์ “you commie homo-loving son of guns”) เนื่องจากไคล์แม็กซ์ช่วงท้ายเรื่องของ Milk โฟกัสไปยังการต่อสู้ของ ฮาร์วีย์ มิลค์ เพื่อคว่ำ Proposition 6 เมื่อปี 1978 ซึ่งจะกีดกันไม่ให้รักร่วมเพศทำงานเป็นครูในสถาบันการศึกษา

คนแรกที่ฉวยโอกาสตบหน้ากลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งรณรงค์ให้ทุกคนโหวตรับ Proposition 8 (เดินนำแถวมาแต่ไกลโดยโบสถ์คาทอลิก) ได้แก่ ดัสติน แลนซ์ แบล็ค เจ้าของรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจาก Milk

“ตอนผมอายุ 13 ปี พ่อกับแม่ตัดสินใจย้ายพวกเราออกจากชุมชนมอร์มอนที่เคร่งศาสนาในซานแอนโตนีโอ รัฐเท็กซัสมายังรัฐแคลิฟอร์เนีย จากนั้นผมก็ได้ยินเรื่องราวของ ฮาร์วีย์ มิลค์ ซึ่งทำให้ผมมีความหวังว่า สักวันหนึ่งผมจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเปิดเผย บางทีอาจตกหลุมรักและแต่งงานกับใครสักคน ผมอยากจะขอบคุณแม่ ผู้รักผมแบบที่ผมเป็นเสมอมาท่ามกลางแรงกดดันจากรอบข้าง แต่เหนืออื่นใด หากฮาร์วีย์ยังมีชีวิตอยู่ เขาคงอยากให้ผมพูดกับเด็กชายเด็กหญิงรักร่วมเพศ ซึ่งเคยถูกโบสถ์ หรือรัฐบาล หรือครอบครัวของตนดูหมิ่นว่าด้อยค่า ผมอยากจะบอกเขาและเธอทั้งหลายเหล่านั้นว่าพวกคุณสวยงาม สมบูรณ์ และไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร พระเจ้ารักคุณทุกคน ผมขอสัญญาว่าอีกไม่นาน เราจะมีสิทธิเท่าเทียมกันทั่วทั้งประเทศอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ขอบคุณพระเจ้า ที่มอบ ฮาร์วีย์ มิลค์ แก่พวกเรา”

เกือบสามชั่วโมงต่อมา ฌอน เพนน์ ได้ดับฝัน มิคกี้ รู้ก และออกมารับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Milk (เขากลายเป็นนักแสดงชายคนที่ 9 ที่ได้รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำสองครั้งตามหลัง เดเนี่ยล เดย์-ลูว์อีส, แจ๊ค นิโคลสัน, ทอม แฮงค์, ดัสติน ฮอฟฟ์แมน, มาร์ลอน แบรนโด, แกรี่ คูเปอร์, เฟรดิค มาร์ช และ สเปนเซอร์ เทรซี่) พร้อมกับตอกย้ำในสิ่งเดียวกัน แต่ด้วยท่าทีชัดเจน แข็งกร้าวกว่า

“ใครก็ตามที่ขับรถเข้ามาในงานคืนนี้คงเห็นสัญญาณแห่งความเกลียดชัง (หน้างานมีการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรักร่วมเพศ) ผมคิดว่านี่ถือเป็นเวลาอันเหมาะสมสำหรับกลุ่มคนที่โหวตต่อต้านการแต่งงานของรักร่วมเพศ ในการทบทวนพฤติกรรมของตนแล้วนึกละอายใจ รวมทั้งความละอายใจในแววตาของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน หากพวกเขายังคิดจะสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวต่อไป เราจำเป็นต้องมอบสิทธิเท่าเทียมกันให้แก่ทุกคน”

อย่างไรก็ตาม มองเผินๆ ออสการ์อาจดูเหมือนจะ homo-loving จริง อย่างน้อยก็ในส่วนของสาขาการแสดง (เพนน์, ทอม แฮงค์ จาก Philadelphia, วิลเลียม เฮิร์ต จาก Kiss of the Spider Woman และ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน จาก Capote) แต่หากพูดถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแล้ว นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ความพ่ายแพ้แบบเหนือความคาดหมายของ Brokeback Mountain และเป็นไปตามความคาดหมายของ Milk ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ารักร่วมเพศคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสามารถคว้ารางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์มาครอง... ถ้าไม่นับรวมหนังอย่าง Ben Hur และ The Lord of the Rings: The Return of the King น่ะนะ!?!


ความสุขของ ฮาร์วีย์ ไวน์สไตน์

ข่าวคราวความขัดแย้งระหว่างสองผู้อำนวยการสร้างขาใหญ่ในวงการอย่าง สก็อตต์ รูดิน (No Country for Old Men) กับ ฮาร์วีย์ ไวน์สไตน์ (Shakespeare in Love) เกี่ยวเนื่องกับกำหนดการฉาย The Reader (คนแรกอยากให้หนังฉายปี 2009 ส่วนคนหลังอยากเร่งดันหนังให้เข้าฉายปี 2008 เถียงกันไปมา สุดท้ายรูดิน ซึ่งมีหนังเก็งออสการ์สองเรื่องอยู่แล้วอย่าง Doubt กับ Revolutionary Road จึงประกาศถอนชื่อออกจากเครดิตหนัง The Reader) ส่งผลให้หลายคนคาดเดาว่าใครจะทำคะแนนนำบนเวทีออสการ์ เมื่อทั้งสองขับเคี่ยวกันมาแบบหายใจรดต้นคอในสองสาขาสำคัญ นั่นคือ นักแสดงนำหญิง (เมอรีล สตรีพ vs เคท วินสเล็ท) กับ นักแสดงสมทบหญิง (ไวโอลา เดวิส vs เพเนโลปี้ ครูซ)

ในยกแรกของการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิง ไวน์สไตน์ชนะไปก่อนจากการที่ The Reader ทิ้งห่างหนังทั้งสองเรื่องของรูดินแบบไม่เห็นฝุ่น แล้วเข้าชิงออสการ์สาขาใหญ่ๆ อย่างถ้วนทั่ว (หนัง/กำกับ/บท/นำหญิง) ส่วนในยกสองหลายคนเริ่มคาดเดาว่าไวน์สไตน์อาจสมหวังในสาขานำหญิง แต่ต้องผิดหวังในสาขาสมทบหญิง หลัง ไวโอลา เดวิส หรือกระทั่ง เอมี่ อดัมส์ เริ่มจะทำคะแนนกวดตัวเก็งอย่างครูซมาแบบกระชั้นชิด (บริษัทของไวน์สไตน์รับจัดจำหน่าย Vicky Cristina Barcelona) แต่สุดท้าย ไวน์สไตล์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังเป็นมือหนึ่งในการล็อบบี้หนัง/นักแสดงสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีออสการ์

เพเนโลปี้ ครูซ กลายเป็นนักแสดงหญิงคนที่ 4 ที่คว้ารางวัลออสการ์มาครองจากการรับบทในหนังของ วู้ดดี้ อัลเลน ตามหลัง ไดแอนน์ วีสต์ (สองครั้งจาก Hannah and Her Sisters และ Bullets Over Broadway) มีร่า ซอร์วีโน่ (Mighty Aphrodite) และ ไดแอน คีตัน (สาขานักแสดงนำหญิงจาก Annie Hall) ส่วนนักแสดงชายเพียงคนเดียวที่ชนะรางวัลออสการ์จากการเล่นหนังของอัลเลน คือ ไมเคิล เคน จาก Hannah and Her Sisters

“บอกได้เลยว่าฉันต้องการเวลามากกว่า 45 วินาที เคยมีใครเป็นลมบนนี้มาก่อนหรือเปล่า เพราะฉันอาจเป็นคนแรก” ครูซกล่าวเมื่อขึ้นรับรางวัล ก่อนจะยอมรับว่าเธอชอบดูงานประกาศผลรางวัลออสการ์มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ

เคท วินสเล็ท ก็เป็นแฟนรางวัลออสการ์มานานแล้วเช่นกัน “ฉันคงโกหก ถ้าบอกว่าไม่เคยฝึกพูดแบบนี้มาก่อนหน้ากระจกในห้องน้ำ ขณะนั้นฉันคงอายุประมาณแปดขวบได้ และใช้ขวดแชมพูแทนรางวัลออสการ์ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ขวดแชมพูแล้ว!” จากนั้นเธอก็กล่าวขอบคุณ สตีเฟ่น ดัลดรี้ สองผู้อำนวยการสร้างที่ลาโลกไปแล้ว แอนโทนีย์ มินเกลลา กับ ซิดนีย์ พอลแล็ค ตลอดจนพ่อแม่ของเธอ (เธอขอให้พ่อผิวปาก จะได้รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงไหน ซึ่งเขาก็ทำตาม) ก่อนจะตบท้ายว่า “ฉันอยากขอบคุณนักแสดงนำหญิงทุกคนที่เข้าชิง ฉันคิดว่าพวกเราคงไม่อยากเชื่อว่าจะได้มาอยู่ร่วมสาขาเดียวกันกับ เมอรีล สตรีพ ขอโทษทีนะ เมอรีล แต่คุณต้องทนรับมันไป!”

วินสเล็ทคว้ารางวัลออสการ์มาครองในที่สุด หลังจากพลาดหวังมาแล้ว 5 ครั้ง ส่วน เมอรีล สตรีพ พลาดรางวัลจากการเข้าชิงเป็นครั้งที่ 11 ติดต่อกัน (เธอได้ออสการ์ตัวที่สองจาก Sophie’s Choice เมื่อปี 1983 จากการเข้าชิงครั้งที่ 4 และออสการ์ตัวแรกจาก Kramer vs. Kramer เมื่อปี 1980 จากการเข้าชิงครั้งที่สอง) เธอทำสถิติเป็นนักแสดงที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มากครั้งที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ 15 ครั้ง (สมทบ 3 นำ 12)

ยกเครื่องการจัดงาน

แม้ผลรางวัลจะปราศจากเซอร์ไพรซ์ แต่งานแจกรางวัลปีนี้กลับเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ เริ่มตั้งแต่การออกแบบเวทีให้ใกล้ชิดคนดู... มาก การประดับตกแต่งเวทีด้วยม่านคริสตัลส่องประกายต้องแสงไฟระยิบระยับ (ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่ามันเป็นผลงานสร้างสรรค์ของ บิล คอนดอน) รวมไปถึงการมอบตำแหน่งพิธีกรให้แก่ ฮิวจ์ แจ๊คแมน ซึ่งไม่ใช่ดาวตลก หรือพิธีกรรายการทอล์คโชว์เหมือนพิธีกรคนก่อนๆ แต่เป็นนักแสดงมากฝีมือ ที่เคยผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มาบ้างแล้ว (พิธีกรรายการแจกรางวัลโทนี่)

เมื่อผู้กำกับ Dreamgirls มาจับมือร่วมกับนักแสดงนำจาก The Boy from Oz เวทีออสการ์จึงแทบจะถูกเปลี่ยนเป็นเวทีบรอดเวย์ เริ่มต้นด้วยการแนะนำหนังเด่นๆ ของการประกวดเป็นเสียงเพลง (ไฮไลท์คือตอนที่แจ๊คแมนดึงเอา แอนน์ แฮทธาเวย์ จากที่นั่งแถวแรกมาร่วมแสดงในฉากจำลองของ Frost/Nixon โดยรับบทเป็น ริชาร์ด นิกสัน) ก่อนช่วงกลางรายการแจ๊คแมนจะประกบคู่ บียอนเซ่ ซึ่งกลายเป็นขาประจำงานออสการ์ไปแล้ว เพื่อสดุดีหนังเพลงในอดีต พร้อมด้วย อแมนด้า ซีย์ฟรายด์ ประกบ โดมินิค คูเปอร์ คู่พระนางจาก Mamma Mia! และ แซ็ค เอฟรอน ประกบ วาเนสสา ฮัดเจนส์ คู่พระนางจาก High School Musical 3 (ความพยายามล่าสุดของออสการ์ที่จะดึงดูดกลุ่มคนดูวัยรุ่น หลังจากเชิดใส่ The Dark Knight?) พวกเขาร้องเมดเลย์เพลงดังในสไตล์ Moulin Rouge! ภายใต้การออกแบบของ แบซ เลอห์มาน (เวอร์ๆ แบบนี้จะใครซะอีก)

โดยภาพรวม แจ๊คแมนทำหน้าที่ได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้จะหายหน้าหายตาไปเลยในช่วงกลางรายการ เขาอาจปล่อยมุกไม่มากเท่าพิธีกรคนก่อนๆ แต่หลายมุกได้ผลดี เช่น “ทุกอย่างถูกลดขนาดลงเพราะพิษเศรษฐกิจ ปีหน้าผมจะแสดงนำในหนังเรื่อง New Zealand” หรือตอนเขาตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการเข้าชิงมากถึง 15 ครั้งของ เมอรีล สตรีพ ก่อนจะสรุปว่า “สงสัยจะใช้สเตียรอยด์” จุดเด่นของแจ๊คแมนคงอยู่ตรงความเป็นธรรมชาติ ลื่นไหล และเป็นกันเอง (พิธีกรคนอื่นคงไม่กล้าลงไปนั่งตัก แฟรงค์ แลงเจลลา หรอก!) เขาร้องเพลงและหยอกล้อคนบันเทิงอย่างน่ารัก น่าชัง ไม่คุกคามความรู้สึกใคร จนทำให้คนดูพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนปรบมือให้เขา

อีกไอเดียที่น่าสนใจ คือ การไล่ประกาศรางวัลตามขั้นตอนถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งให้ความรู้ไปในตัว เริ่มต้นจากขั้นตอนเขียนบทภาพยนตร์ ไปจนถึงขั้นตอนหลังการถ่ายทำ เช่น ลำดับภาพและดนตรีประกอบ ส่วนไอเดียใหม่ที่โดยวิพากษ์ว่าไม่เวิร์กสุดคงได้แก่การให้ ควีน ลาติฟาห์ มาร้องเพลงระหว่างช่วงรำลึกถึงผู้ที่จากไป เพราะเวทีถูกแบ่งความเด่นไปจากกลุ่มคนที่เราควรจะ “รำลึก” ถึง

ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดสุดเกิดขึ้นระหว่างช่วงประกาศรางวัลสาขาการแสดง โดยแทนที่จะตัดคลิปจากหนังมาเปิดโชว์เหมือนเคย ทีมงานได้เปลี่ยนเป็นการเชิญอดีตผู้ชนะในสาขานั้นๆ มากล่าวสรรเสริญผู้เข้าชิงแทน เทคนิคดังกล่าวได้ผลดีเยี่ยม หากคุณจับคู่ได้เหมาะเจาะ และหากคนพูดเตรียมตัวมาดี เช่น เมื่อ เชอร์ลีย์ แม็คเลน (Terms of Endearment) พูดถึง แอนน์ แฮทธาเวย์ เมื่อ คิวบา กูดดิ้ง จูเนียร์ (Jerry Maguire) พูดถึง โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ หรือเมื่อ โรเบิร์ต เดอ นีโร (Raging Bull) พูดถึง ฌอน เพนน์ แต่บางครั้งมันกลับให้อารมณ์น่าอับอายและประดักประเดิดเสียมากกว่า เช่น เมื่อ เอเดรียน โบรดี้ (The Pianist) พูดถึง ริชาร์ด เจนกินส์ หรือน่าหัวเราะ (ขื่นๆ) แบบไม่ตั้งใจ เช่น เมื่อ ไมเคิล ดั๊กลาส (Wall Street) ชื่นชม แฟรงค์ แลงเจลลา ว่า เขาทำให้นักแสดงคนก่อนๆ ที่เคยรับบท ริชาร์ด นิกสัน ดูไร้ความหมายไปเลย ขณะยืนอยู่ข้าง แอนโธนีย์ ฮ็อปกิ้นส์ ผู้เคยเข้าชิงออสการ์จาก Nixon

ถึงความยาวของงานจะยังคงเกินสามชั่วโมง (ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากจำนวนรางวัลค่อนข้างมาก) แต่ทีมงานก็ได้พยายามลดทอนขบวนการทุกอย่างลงเพื่อไม่ให้งานลากยาวถึงสี่ชั่วโมง เช่น ลดจำนวนผู้ประกาศรางวัล ตัดหนังสั้นของ เบนเน็ตต์ มิลเลอร์ (Capote) ออกในนาทีสุดท้าย ขณะที่ ซิด เกนิส ประธานสถาบัน ก็ได้มอบของขวัญให้ทุกคนเนื่องในโอกาสที่เขาจะดำรงตำแหน่งเป็นปีสุดท้ายด้วยการไม่ขึ้นพูดอะไรบนเวที ทั้งหมด ผนวกเข้ากับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย ได้ช่วยให้โชว์โดยรวมดูกระชับ ฉับไว เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา จนผู้ร่วมงานหลายคนอดไม่ได้ที่จะออกปากชม ทั้งบนเวที อาทิ แดนนี่ บอยล์ (“มันเป็นโชว์ที่สวยงามมาก ผมไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไรเวลาอยู่บนหน้าจอทีวี แต่ถ้าคุณอยู่ในงาน คุณจะเห็นว่ามันยอดเยี่ยมเหลือเกิน ขอปรบมือให้กับทีมงานทุกคน”) และหลังเวที อาทิ สตีเฟ่น ดัลดรี้ “เป็นโชว์ที่ยอดเยี่ยมมาก ดีกว่าปกติประมาณสิบเท่า และผมคิดว่า แบซ เลอห์มาน คือ อัจฉริยะ”

ไฮไลท์ชวนหัว

• การโต้ตอบกันระหว่าง ทีน่า เฟย์ กับ สตีฟ มาร์ติน ก่อนประกาศรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ใครอยากให้พวกเขามาจัดออสการ์ร่วมกันในปีหน้าบ้าง ยกมือขึ้น!)

เฟย์: กล่าวกันว่า การเขียนเปรียบเสมือนการมีชีวิตเป็นอมตะ
มาร์ติน: คนที่กล่าวคำนั้น... ตายไปแล้ว
เฟย์: เราทุกคนตระหนักดีถึงความสำคัญของงานเขียน เพราะหนังที่ดีทุกเรื่องล้วนเริ่มต้นจากบทที่ดี
มาร์ติน: หรือไอเดียเก๋ๆ สำหรับเขียนบนโปสเตอร์
เฟย์: นักเขียนทุกคนเริ่มต้นจากหน้ากระดาษเปล่า
มาร์ติน: และทุกหน้ากระดาษเปล่า... ครั้งหนึ่งเคยเป็นต้นไม้มาก่อน
เฟย์: ต้นไม้ทุกต้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นแค่เมล็ดพืชเม็ดเล็กๆ
มาร์ติน: และทุกเมล็ดพืชเม็ดเล็กๆ ครั้งหนึ่งเคยถูกนำมายังโลกมนุษย์โดย เอเลี่ยน คิง รอนเดอเลย์...
เฟย์: สตีฟ ไม่มีใครอยากได้ยินเกี่ยวกับศาสนาที่เรากุขึ้นเองหรอก

• หนังสั้นฝีมือการกำกับของ จัดด์ อพาโทว (Knocked Up) นำแสดงโดย เซธ โลแกน กับ เจมส์ ฟรังโก้ คู่หูนักดูดกัญชาใน Pineapple Express พวกเขาเริ่มต้นด้วยการล้อเลียนกรรมการออสการ์ที่มักจะมองข้ามหนังตลก (ฟรังโก้: “เวลาดูหนัง ฉันชอบให้ระดับสติปัญญาถูกท้าทาย ฉันอยากดูเด็กหนุ่มร่วมเพศกับนาซี!”) จากนั้นก็หัวร่องอหายแบบหยุดไม่ได้ขณะดูฉากตัวละครโต้เถียงกันในหนังอย่าง Doubt และ The Reader ก่อนสุดท้ายจะปล่อยมุกเด็ดด้วยการให้ เจมส์ ฟรังโก้ นั่งดูหนังเรื่อง Milk ที่เขารับบทเป็นคู่รักเกย์ของ ฌอน เพนน์

• เมื่อ แจ๊ค แบล็ค ขึ้นมาประกาศรางวัลภาพยนตร์การ์ตูนยอดเยี่ยมกับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน (พึงสังเกตว่ากล้องตัดภาพไปยังแบรงเจลิน่าถึงสองครั้ง! ใครบอกออสการ์มีรสนิยมอันดี?)

แบล็ค: ผมทำเงินจากหนังการ์ตูนมากกว่าหนังคนแสดง
อนิสตัน: จริงเหรอ? ตอนฉันพากย์เสียงให้ The Iron Giants ไม่เห็นได้เงินเยอะเลย คุณพอจะมีคำแนะนำไหม
แบล็ค: แน่นอน ทุกปีผมจะพากย์เสียงให้การ์ตูนของดรีมเวิร์กส์ แล้วเอาเงินทั้งหมดที่ได้ไปพนันว่าการ์ตูนของพิกซาร์จะได้ออสการ์

• เบน สติลเลอร์ เลียนแบบภาพลักษณ์ของ วาควิน ฟีนิกซ์ ในรายการ เดวิด เลตเตอร์แมน (เคี้ยวหมากฝรั่ง สวมแว่นดำ หนวดเครารุงรัง และมีท่าทางเหม่อลอยเหมือนกำลังเมายา) ขณะออกมาประกาศรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมกับ นาตาลี พอร์ตแมน (ว่ากันว่าสภาพ “กึ่งเสียสติ” ของฟีนิกซ์ในวันนั้นทำให้คนดูอยากจะร้องว่า What the f***? ไม่ต่างจากตอน ทอม ครูซ ลุกขึ้นกระโดดบนโซฟาในรายการ โอปร้า วินฟรีย์ โดยก่อนหน้าเพียงหนึ่งวัน วาควินผู้เคยเข้าชิงออสการ์จาก Gladiator (สมทบชาย) Walk the Line (นำชาย) และล่าสุดเพิ่งประกาศอำลาวงการหนังเพื่อไปเป็นนักร้องเพลงแร็พ ก็ถูกล้อเลียนในงานแจกรางวัล Independent Spirit Awards เช่นกัน)

พอร์ตแมน: คุณเป็นอะไรของคุณ
สติลเลอร์: ไม่มีอะไร ผมแค่อยากเกษียณตัวเองจากการเป็นดาราตลก
พอร์ตแมน: คุณดูเหมือนคนงานในโรงงานผลิตยาของชาวยิว... แล้วคุณอยากทำอะไร
สติลเลอร์: ไม่รู้สิ... ผม... บางที... อาจจะ... (มองไปรอบๆ เวที) กำกับภาพ

รายชื่อผู้ชนะรางวัลออสการ์

ภาพยนตร์: Slumdog Millionaire (Fox Searchlight)
กำกับภาพยนตร์: แดนนี่ บอยล์ (Slumdog Millionaire)
นักแสดงนำชาย: ฌอน เพนน์ (Milk)
นักแสดงนำหญิง: เคท วินสเล็ท (The Reader)
นักแสดงสมทบชาย: ฮีธ เลดเจอร์ (The Dark Knight)
นักแสดงสมทบหญิง: เพเนโลปี้ ครูซ (Vicky Cristina Barcelona)
บทภาพยนตร์ดั้งเดิม: ดัสติน แลนซ์ แบล็ค (Milk)
บทภาพยนตร์ดัดแปลง: ไซมอน บาวฟอย (Slumdog Millionaire)
ภาพยนตร์ต่างประเทศ: Departures (ญี่ปุ่น)
ภาพยนตร์สารคดี: Man on Wire
ภาพยนตร์การ์ตูน: Wall-E
กำกับศิลป์: โดนัลด์ เกรแฮม เบิร์ท, วิคเตอร์ เจ. โซลโฟ (The Curious Case of Benjamin Button)
กำกับภาพ: แอนโธนีย์ ดอด แมนเทิล (Slumdog Millionaire)
ลำดับภาพ: คริส ดิกเคน (Slumdog Millionaire)
ออกแบบเครื่องแต่งกาย: ไมเคิล โอ’คอนเนอร์ (The Duchess)
ภาพยนตร์ขนาดสั้น: Spielzeugland (Toyland)
ภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้น: Smile Pinki
ภาพยนตร์การ์ตูนขนาดสั้น: La Maison en Petis Cubes
แต่งหน้า: เกร็ก แคนนอม (The Curious Case of Benjamin Button)
ดนตรีประกอบ: เอ.อาร์. ราห์แมน (Slumdog Millionaire)
เพลงประกอบ: Jai Ho (SLumdog Millionaire)
ตัดต่อเสียง: ริชาร์ด คิง (The Dark Knight)
บันทึกเสียง: เอียน แท็บ, ริชาร์ด ไพรค และ เรซัล พูคัตตี้ (Slumdog Millionaire)
เทคนิคพิเศษด้านภาพ: อีริค บาร์บา, สตีฟ พรีค, เบิร์ท ดัลตัน และ เคร็ค บาร์รอน (The Curious Case of Benjamin Button)

วันจันทร์, มีนาคม 02, 2552

Happy-Go-Lucky: ความสุขตามมุมมอง


ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนมองโลกแง่ร้ายโดยสันดาน หรือเริ่มคุ้นเคยกับหนังฮอลลีวู้ดมากเกินไป เพราะหลายครั้งหลายคราระหว่างนั่งชม Happy-Go-Lucky ผมเอาแต่คาดเดาถึงชะตากรรมอันเลวร้ายต่างๆ นานาอันจะเกิดแก่ผู้หญิงอารมณ์ดีและร่าเริงเกินเหตุอย่างป๊อปปี้ (แซลลี่ ฮอว์กินส์) ไม่ว่าจะเป็นตอนเธอไปหาหมอเพื่อรักษาอาการปวดหลัง (พิการ! อัมพาต!) ตอนเธอเรียนขับรถ (อุบัติเหตุ!) หรือตอนเธอเดินเข้าไปในย่านเสื่อมโทรมแล้วพูดคุยกับชายจรจัดสติไม่ดี (ฆ่า! ข่มขืน!)

แต่สุดท้ายป๊อปปี้ก็รอดพ้นจากแรงปรารถนาใฝ่ต่ำของผมได้หมด (เอ๊ะ นี่ถือเป็นการสปอยล์หนังหรือเปล่า) อันที่จริง ผลลัพธ์ดังกล่าวไม่น่าแปลกใจ ถ้าคุณไม่เผลอหลงลืมไปว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ ไมค์ ลีห์ ซึ่งนิยมถ่ายทอดเรื่องราวในสไตล์ “เสี้ยวชีวิต” ของคนอังกฤษระดับล่าง เน้นความสมจริง เป็นธรรมชาติผ่านขบวนการ “ด้นสด” ส่งผลให้ตลอดทั้งเรื่องคนดูจะได้เฝ้าสังเกตการณ์กิจกรรมประจำวันของป๊อปปี้ (ไปสอนหนังสือเด็ก เรียนขับรถ เที่ยวผับ เรียนเต้นฟลามิงโก้ ออกเดท ฯลฯ) โดยปราศจากการสร้างปมขัดแย้ง จุดพลิกผัน หรือพัฒนาการในเชิงเรื่องราวที่เด่นชัด ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ ชีวิตของเราทุกคนนั่นแหละ (คงยากหน่อย หากจะต้องแบ่งหนังออกเป็น 3 องก์ตามโครงสร้างการเขียนบทแบบคลาสสิกของ ซิด ฟิลด์)

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางลักษณะ “เล่าไปเรื่อย” และชุดเหตุการณ์ที่เหมือนจะไร้ความสัมพันธ์กัน คนดูกลับมีโอกาสได้รู้จักตัวละครอย่างรอบด้าน นั่นถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เมื่อคุณต้องการนำเสนอตัวละครอย่างป๊อปปี้ ซึ่งมีบุคลิกคล้ายเด็กๆ ดังจะเห็นได้จากการยืนกรานให้ทุกคนเรียกชื่อเล่นแทนชื่อจริง (พอลีน) หรือวิธีที่เธอสวมถุงกระดาษคลุมหัว แล้วกระพือแขนร่วมกับเด็กอนุบาลในชั้นเรียนอย่างสนุกสนาน หรือการเลือกเล่นแทรมโพลีนเป็นงานอดิเรก หรือกระทั่งเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ นอกจากนี้ ขณะเรียนเต้นฟลามิงโก้ ป๊อปปี้ยังขยับแข้งขาอย่างประดักประเดิด ราวกับเธอไม่อาจควบคุมมันให้เป็นระเบียบ หรือดูสง่างามได้เฉกเช่นวัยรุ่นที่กำลังรับมือกับพัฒนาการทางกาย

ที่สำคัญ ทัศนคติมองโลกแง่ดีของเธอ ตลอดจนความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมให้เมฆฝนใดๆ มาบดบังแสงแดดอันสดใส (เมื่อจักรยานของเธอถูกขโมยในตอนต้นเรื่อง แทนที่จะโกรธแค้นต่อชะตากรรม หรือความอยุติธรรม เธอกลับสรุปตบท้ายง่ายๆ แค่ “เรายังไม่มีโอกาสได้บอกลากันเลย” จากนั้นก็พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการเริ่มต้นเรียนขับรถ!?!) ได้สะท้อนให้เห็นมุมมองแบบผ้าขาว ซึ่งปราศจากท่าทีเย้ยหยัน หรือบาดแผลบอบช้ำจากการผ่านโลกมามากเฉกเช่นผู้ใหญ่ทั่วไป ความน่าอัศจรรย์ของตัวละครอย่างป๊อปปี้อยู่ตรงที่ ไมค์ ลีห์ หาได้ประคบประหงมเธอเหมือนไข่ในหิน ปกป้องเธอจากโลกแห่งความจริงอันโหดร้าย ตรงกันข้าม ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน (หรือไม่กี่นาทีบนจอหนัง) ความเฮงซวยนานัปการถูกโยนเข้าใส่เธอจนรับแทบไม่ทัน ตั้งแต่ถูกขโมยรถจักรยาน ถูกบิดกระดูกสันหลัง ไปจนถึงถูกครูสอนขับรถโรคจิตดุด่า ก่อนต่อมาจะแอบสะกดรอยตาม ทั้งหมดนี้ยิ่งส่งผลให้ความเด็ดเดี่ยวของเธอที่จะยิ้มรับทุกปัญหาช่างดูน่าทึ่งมากขึ้นไปอีก

ป๊อปปี้คงกลายเป็นตัวละครที่ไร้เดียงสา น่ารำคาญ เป็นเด็กไม่รู้จักโต หรือกระทั่งพวกหลอกตัวเอง หากลีห์และฮอว์กินส์ไม่เผยให้เห็นอีกแง่มุมของหญิงสาวว่าเธอ “ตระหนัก” ถึงความโหดร้ายของโลกแห่งความจริงเป็นอย่างดีจากแววตาที่เธอเฝ้ามอง นิค (แจ๊ค แม็คเกรียชิน) รังแกเพื่อนร่วมชั้นเพื่อระบายความโกรธขึ้งภายใน ตลอดจนวิธีที่เธอรับมือกับปัญหาอย่างอ่อนโยน นุ่มนวล จนกระทั่งค้นพบรากเหง้าในที่สุด

อีกฉากหนึ่งซึ่งถ่ายทอดข้อความเดียวกัน แต่ให้อารมณ์เชิงสัญลักษณ์มากกว่า เป็นตอนที่ป๊อปปี้เดินดุ่มเข้าไปในย่านเสื่อมโทรมตามลำพัง หลังจากได้ยินเสียงพร่ำบ่นของใครบางคนดังแว่วมา มันเป็นสถานที่ซึ่งผู้หญิงสติดีๆ คงไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ข้อเท็จจริงดังกล่าวดังก้องในหัวป๊อปปี้ แต่หาได้หยุดยั้งเธอไม่ ปรากฏว่าเสียงพร่ำบ่นนั้นเป็นของชายจรจัด (สแตนลีย์ ทาวน์เซนด์) ร่างใหญ่ ท่าทางน่าเกรงขาม แววตาของป๊อปปี้ส่ออาการหวาดกลัว ไม่แน่ใจ และสับสน (เธอถึงขนาดพูดกับตัวเองว่าเธอมาทำบ้าอะไรที่นี่) แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้ ชายจรจัดพร่ำพูดไม่ได้สรรพ เธอพยายามโต้ตอบเท่าที่ทำได้ และทุกครั้งที่เขาพูดว่า “รู้ใช่ไหม” เธอจะตอบกลับว่า “ค่ะ ฉันรู้” ด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจ

ฉากชวนพิศวงดังกล่าวทำให้คนดูตระหนักว่า ป๊อปปี้เข้าใจ รวมทั้งรับรู้ถึงความเลวร้ายอย่างที่สุดบนโลกใบนี้ (เราคงทึกทักได้ว่าชายจรจัดน่าจะผ่านเคราะห์กรรมแห่งชีวิตมามากมายกว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ ในสภาพกึ่งเสียสติ ไร้บ้าน ไร้คนห่วงใย) ฉะนั้น ความสุขและความร่าเริงของเธอจึงหาใช่เกราะป้องกันตัวเองจาก “ความเป็นจริง” หากแต่เป็นธรรมชาติในเบื้องลึกต่างหาก นอกจากนี้ เธอเองก็เด็ดเดี่ยวพอจะไม่ยอมปล่อยให้ความหมองหม่นรอบตัวมาบ่อนทำลายสปิริตนั้น พร้อมทั้งยังใส่ใจเฝ้าสังเกตและรับฟังความเจ็บปวดจากทุกคนรอบข้าง แล้วพยายามแบ่งปันแสงสว่างบางส่วนให้พวกเขาด้วย

นักมองโลกด้วยแววตาเยาะหยันแสดงท่าทีชิงชิงตัวละครอย่างป๊อปปี้ พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเธอเป็น “เผด็จการทางอารมณ์” ซึ่งในความเห็นของผมคิดว่าไม่ค่อยยุติธรรมต่อป๊อปปี้นัก เนื่องจากหนัง Happy-Go-Lucky ได้แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าเราทุกคนล้วนพยายามยัดเยียด “มุมมอง” ของตนกับคนรอบข้างทั้งนั้น หากป๊อปปี้มีความผิดที่พยายามจะทำให้คนอื่นร่าเริงเหมือนตัวเอง เฮเลน (คาโรไลน์ มาร์ติน) ก็ควรโดนตัดสินโทษในลักษณะเดียวกัน เมื่อเธอพยายามสั่งสอนน้องสาวให้รู้จักโต หาซื้อบ้านเป็นหลักแหล่ง (แทนที่จะเช่าเขาอยู่) แล้วลงหลักปักฐานกับผู้ชายสักคนเพื่อสร้างครอบครัว (เหมือนเธอ)

เฮเลน: ฉันแค่อยากให้เธอมีความสุข
ป๊อปปี้: แต่ฉันก็มีความสุขอยู่แล้ว!
เฮเลน: ไม่ต้องมาเกทับกันได้ไหม!

อารมณ์ขันร้ายๆ ของลีห์ในฉากดังกล่าวอยู่ตรง เฮเลนต่างหากที่พยายาม “เกทับ” ทุกคนด้วยการพาเดินชมบ้านหลังใหม่ สวนดอกไม้ รวมไปถึงลูกในท้อง และสามี ซึ่งเธอพยายามควบคุมให้อยู่ในโอวาท ทั้งหมดเหล่านี้น่าจะช่วยให้เธอค้นพบความสุขที่ค้นหา แต่ก็ไม่เสมอไป ความหงุดหงิดใจของเธอ คือ ป๊อปปี้ผู้เหมือนจะไม่มีอะไร (ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าจะนำมาซึ่งความสุข) เลย วันๆ เอาแต่เที่ยวสนุกตามผับ ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีบ้าน ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน กลับค้นพบความสุขของชีวิต

การปะทะกันของสองขั้วตรงข้าม โดยต่างฝ่ายก็พยายามโน้มน้าวอีกฝ่ายให้หันมาอยู่ฝ่ายเดียวกับตนปรากฏชัดในทุกฉากที่ป๊อปปี้ต้องเรียนขับรถกับ สก๊อตต์ (เอ็ดดี้ มาร์แซน) ชายหนุ่มที่ถูกชีวิตโบยตีจนไม่เหลือที่ว่างสำหรับรอยยิ้ม หรือการมองโลกแง่ดี บทเรียนแรกของเขาในการขับรถ คือ จงคาดหวังความเลวร้ายอย่างที่สุดเสมอ เพราะมีความเป็นไปได้ว่าคุณอาจถูกบดขยี้โดยรถบรรทุก 18 ล้อในทุกขณะจิต! อันที่จริง การเตือนผู้ขับไม่ให้ประมาทและระแวดระวังตลอดเวลาถือเป็นบทเรียนที่เหมาะสม แต่ขณะเดียวกัน (ด้วยน้ำเสียง การเลือกใช้คำและตัวอย่าง) มันก็สะท้อนให้เห็นทัศนคติต่อโลกของสก็อตต์จนหมดเปลือก หากเป็นมนุษย์ปกติ เขาหรือเธอคงเผ่นหนีตั้งแต่วันแรกที่ได้นั่งร่วมรถคันเดียวกับสก็อตต์ แล้วเฝ้าฟังเขาก่นด่าระบบการศึกษา ดูถูกคนดำ สบถคำหยาบใส่ทุกอย่างรอบข้าง และสาธยายทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ นานา ทว่าสำหรับป๊อปปี้ สก็อตต์เปรียบเสมือนความท้าทายขั้นสูงสุด เป็นบททดสอบความมุ่งมั่นของเธอ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงตอบโต้เสียงตะคอกของเขาด้วยเสียงหัวเราะ คำหยอกล้อ และการดื้อดึงไม่ยอมหลวมตัวเข้าสู่โลกมืด

ความแตกต่างระหว่างทั้งสอง คือ ฝ่ายหนึ่งเลือกจะจมจ่อมอยู่ในโลกส่วนตัว ส่วนอีกฝ่ายกลับใส่ใจคนอื่นๆ รอบข้าง รวมทั้งพยายามเข้าใจพวกเขา โดยหลังจากค้นพบว่านิคระบายความโกรธแค้นที่โรงเรียน เพราะเขาถูกกระทำรุนแรงที่บ้าน ป๊อปปี้จึงเอ่ยปากถามสก็อตต์ในฉากหนึ่งว่าเขาเคยถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนหรือเปล่า ท่าทีนิ่งเงียบของฝ่ายชายเหมือนจะเป็นคำตอบอยู่กรายๆ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า ไมค์ ลีห์ จะโทษสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียว เนื่องจากธรรมชาติของเราเองย่อมมีส่วนในการ “ปลุกปั้น” ตัวตนเช่นกัน มิเช่นนั้นแล้ว ป๊อปปี้จะต่างจากพี่สาวและน้องสาวของเธอถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

นั่นเองนำไปสู่ประเด็นเกี่ยวกับความสำคัญของมุมมอง ซึ่งลีห์เคยนำเสนอมาแล้วใน All or Nothing (แต่ภาพรวมทางอารมณ์ของหนังทั้งสองถือว่าสวนทางกันอย่างยิ่ง) โดยหากป๊อปปี้เป็นตัวแทนของ “น้ำเหลืออยู่อีกครึ่งแก้ว” สก็อตต์ก็คงเป็นตัวแทนของ “น้ำหมดไปแล้วครึ่งแก้ว” พวกเขาล้วนแสดงปฏิกิริยาไปตาม “โลกแห่งความจริง” หรือธรรมชาติของตนเอง เธอหยอกล้อเขาเพื่อหวังให้เขาลดทอนความเครียดลงบ้าง เขา (ซึ่งคงไม่คุ้นเคยกับความเป็นมิตร) มองว่าเธอกำลังให้ท่า เมื่อจับได้ว่าเขาอาจจะเหยียดรักร่วมเพศมากพอๆ กับคนผิวสี เธอจึงแกล้งพูดเล่นราวกับว่าเธอเป็นคู่รักของเพื่อนหญิงร่วมห้อง เขา (ซึ่งคงไม่คุ้นเคยกับอารมณ์ขัน) ตีความว่าเธอเป็นเลสเบี้ยน จึงรู้สึกโกรธแค้น เสียใจ เมื่อเธอปรากฏตัวในวันหนึ่งพร้อมแฟนหนุ่ม จนนำไปสู่การระเบิดอารมณ์และจุดแตกหัก

ป๊อปปี้: ฉันแค่อยากทำให้คุณมีความสุข
สก็อตต์: ก่อนหน้านี้ผมก็มีความสุขอยู่แล้ว!

จากประสบการณ์เกี่ยวกับสก็อตต์ ป๊อปปี้พลันตระหนักว่า แม้จะพยายามสักเพียงใด เธอก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนมีความสุขได้ พร้อมกันนั้น มันยังทำให้คนดูเริ่มตั้งคำถามต่อคำว่า “ความสุข” ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของสก็อตต์ ซึ่งคุ้นเคยกับความเลวร้าย ด้านมืด และความโดดเดี่ยว จนเขาตีความเจตนารมณ์ของป๊อปปี้ มนุษย์ที่อยู่คนละโลกแห่งความจริง ผิดไปหลายร้อยโยชน์ บางทีสำหรับสก็อตต์ ความสุขคือการเวียนว่ายอยู่ในโลกอันหยาบกระด้าง เต็มไปด้วยความหมองหม่นแบบที่เขาคุ้นเคย เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องรับมือกับความเปราะบางทางอารมณ์จากการตกหลุมรัก หรือความเจ็บปวดจากความผิดหวัง ช้ำใจ

ในฉากสุดท้ายของหนัง โซอี้ (อเล็กซิส เซเกอร์แมน) ได้แนะนำให้เพื่อนของเธอเลิกทำตัว “ดีเกินไป” เสียทีเพราะเธอไม่สามารถจะทำให้ทุกคนมีความสุขได้ “แต่มันไม่ได้ทำอันตรายใครไม่ใช่เหรอ ถ้าเราจะลองพยายามดู” คือ คำตอบของป๊อปปี้ สำหรับผ้าที่ยังค่อนข้างขาวอย่างนิค การยื่นมือเข้าไปช่วยของเธออาจเป็นประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับดวงวิญญาณที่ดำมืดเกินเยียวยาอย่างสก็อตต์ บางทีมันอาจให้โทษมากกว่าคุณ เพราะคนบางคนก็มีความสุขอยู่กับด้านมืด การเยาะหยัน และไม่ชอบให้ใคร “เกทับ” ด้วยใบหน้าระรื่น