วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 27, 2552

Short Replay: Full Metal Jacket


ถึงแม้จะไม่ใช่ผลงานที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่อเอ่ยนามผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สแตนลีย์ คูบริค แถมมันยังเปิดตัวค่อนข้างล่าช้า หลังกระแสหนังสงครามเวียดนามเดินทางผ่านจุดสูงสุดของ Apocalypse Now และ Platoon ไปแล้ว แต่ Full Metal Jacket หาได้ขาดแล้งพลังสร้างสรรค์ หรือสารใหม่ๆ ในการนำเสนอเสียทีเดียว

หนังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่างค่อนข้างชัดเจน ครึ่งแรกโฟกัสไปยังการฝึกทหารในฐานทัพนาวิกโยธิน โดยเหยื่ออันโอชะของครูฝึกจอมโหด (ลี เออร์เมย์) คือ พลทหารรูปร่างอวบอ้วนที่ไม่เอาไหนจนกลายเป็นตัวถ่วงของทุกคน (วินเซนท์ ดี’โอโนฟริโอ) ปมขัดแย้งดังกล่าวพลิกผันไปมาและทวีความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ (พลทหารเริ่มแสดงพรสวรรค์ทางด้านแม่นปืน แต่ขณะเดียวกันสติของเขาก็เริ่มหลุดลอยไปไกลเกินเยียวยา) ก่อนจะมาระเบิดออกในฉากนองเลือดสุดหลอน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดทางอารมณ์ของหนังด้วย และเพราะเหตุนี้กระมัง ครึ่งหลังของหนัง ที่โฟกัสไปยังการผจญภัยในเวียดนามของพลทหารเจ้าของฉายา โจ๊กเกอร์ (แม็ทธิว โมดีน) จึงโดนค่อนแคะว่าไร้เป้าหมาย น่าเบื่อ และขาดอารมณ์ร่วม แม้กระทั่งในฉาก (ที่ควรจะเป็น) ไคล์แม็กซ์ของหนัง... แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นจุดอ่อน หรือความจงใจของคูบริคกันแน่

ถ้าครึ่งแรกสะท้อนความมุ่งมั่น แน่วแน่ของครูฝึกโรคจิต ครึ่งหลังคงสะท้อนบุคลิกไร้ตัวตน ไร้จุดหมายของโจ๊กเกอร์ (คนดูไม่มีโอกาสรู้ชื่อจริงของเขาด้วยซ้ำ) ผู้ติดเหรียญสัญลักษณ์สันติภาพไว้ที่เสื้อ แต่เขียนหมวกทหารว่า “เกิดมาฆ่า” ผู้เหมือนจะเป็นเพื่อนคนเดียวของไพล์ แต่ก็ลงไม้ลงมือกับเขาอย่างรุนแรง ผู้อาจมีชีวิตยืนยาว แต่กลับลงเอยไม่ต่างจากซากศพ แน่นอน สงครามคือนรก เป็นความบ้าคลั่งที่ไร้แก่นสาร แต่ Full Metal Jacket ก้าวไปอีกขั้นด้วยการบอกว่าความเลวร้ายทั้งหลายเริ่มต้นก่อนกระสุนนัดแรกจะถูกยิงออกไปด้วยซ้ำ มันเริ่มต้นขึ้นในโรงเรียนทหาร เมื่อคุณถูกล้างสมองให้ละทิ้งปัจเจกภาพ แล้วทำและคิดทุกอย่างตามคำสั่ง จนกระทั่งกลายสภาพเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไร้จิตวิญญาณ

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 13, 2552

Short Replay: La Femme Nikita


อย่าไปสนใจเวอร์ชั่นรีเมคที่อ่อนด้อยกว่าของ จอห์น แบดแฮม (Point of No Return) เพราะ La Femme Nikita เวอร์ชั่นดั้งเดิมของ ลุค เบสซอง ถือว่าสมบูรณ์แบบจนไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดมันถึงกลายเป็นผลงานสร้างชื่อเสียงระดับโลกให้เบสซอง หนังมีส่วนผสมอันลงตัวระหว่างความเป็นแอ็กชั่น-ทริลเลอร์และบทสำรวจสภาพจิตใจของตัวละคร ซึ่งภาพยนตร์แอ็กชั่นส่วนใหญ่ของฮอลลีวู้ดมักจะมองข้าม เรื่องราวของนักโทษสาว ที่ได้รับโอกาสรอดพ้นโทษประหารด้วยการเข้าฝึกเป็นนักล่าสังหารของหน่วยงานรัฐ แต่โชคดังกล่าวกลับกลายเป็นเสมือนกรงขัง เมื่อเธอได้พบรักกับชายหนุ่มแสนดี ที่ไม่รู้ว่าอาชีพแท้จริงของสาวคนรักน่าสะพรึงเพียงใด

แอนน์ ปารีโญ รับบทนำได้อย่างทรงพลัง น่าเชื่อถือในทุกฉาก ทุกการพลิกผันทางอารมณ์ แม้ว่าความเป็นไปได้ของเรื่องราวจะดูเกินจริงมากแค่ไหนก็ตาม เช่น ฉากระทึกขวัญซึ่งเธอต้องลอบสังหารบุคคลสำคัญในห้องน้ำ ท่ามกลางเวลาอันจำกัดจำเขี่ย ความรู้สึกแรกของคนดูต่อตัวละครที่เธอรับเล่น คือ บุคลิกอันโหดเหี้ยม เย็นชา หรือบางทีอาจถึงขั้นเฉยเมยต่อโลกและความรุนแรงรอบข้าง แต่เมื่อหนังดำเนินไป ปารีโญกลับทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงด้านที่อ่อนโยน เปราะบาง ตลอดจนความเป็นหญิงภายใต้ภาพลักษณ์แข็งแกร่งภายนอกอย่างน่าอัศจรรย์ ส่งผลให้เราอดไม่ได้ที่จะลุ้นเอาใจช่วยเธอให้พบทางออกต่อสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งดูมืดมน สิ้นหวัง