วันจันทร์, เมษายน 16, 2555

100 Innovations That Change Cinema (5)


Steadicam

ในอดีตผู้กำกับภาพยนตร์มีแค่สองทางถ้าต้องการจะเคลื่อนกล้อง หนึ่ง ตั้งบนรางดอลลี (dolly) ซึ่งใช้เวลาและไม่สามารถกระทำได้ในหลายสถานการณ์ หรือแบกไว้บนบ่า (handheld) ซึ่งง่ายและคล่องตัว แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการสั่นไหวของภาพได้ แม้ว่าตากล้องคนนั้นจะเชี่ยวชาญขนาดไหนก็ตาม steadicam ผนวกข้อดีของ dolly กับ handheld เข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือ มันให้ภาพที่ค่อนข้างนิ่งและลื่นไหล แต่ขณะเดียวกันก็สะดวกสบายเพราะกล้องผูกติดกับลำตัวของตากล้อง ซึ่งสามารถกำหนดเฟรมภาพได้โดยใช้การเคลื่อนไหวของมือเพียงเล็กน้อย ขณะมองเหตุการณ์ผ่านจอมอนิเตอร์ ส่วนผู้ช่วยตากล้องจะทำหน้าที่ในการปรับโฟกัสโดยใช้รีโมท

steadicam ถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 โดยตากล้อง/นักประดิษฐ์ การ์เร็ตต์ บราวน์ ก่อนจะถูกนำมาใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เป็นครั้งแรกใน Bound for Glory (1976) อย่างไรก็ตาม คนเริ่มหันมาสนใจสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้อย่างจริงจัง หลังจากหนังเรื่อง The Shining ใช้ประโยชน์จาก steadicam ได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ steadicam (และกล้องดิจิตอล) ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ไอเดียการสร้างหนังที่ปราศจากการตัดภาพตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง (แต่กล้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและเปลี่ยนฉากอย่างต่อเนื่อง) แบบ Russian Ark กลายเป็นจริงได้



Stop motion

เทคนิคการหลอกให้คนดูมองเห็นสิ่งของ (โมเดล) เคลื่อนไหวได้ โดยถ่ายภาพทีละเฟรมพร้อมกับขยับโมเดลให้ต่างจากตำแหน่งเดิมทีละนิด ฉะนั้นเมื่อนำฟิล์มมาฉายแบบต่อเนื่องกัน โมเดลดังกล่าวจึงดูเหมือนมีชีวิต โดยส่วนมากโมเดลดังกล่าวมักทำจากดินน้ำมัน หลายคนจึงเรียกหนังการ์ตูนที่สร้างจากเทคนิคข้างต้นว่า claymation หรือ clay animation โดยผลงานเด่นๆ ในกลุ่มนี้ที่นักดูหนังรุ่นใหม่รู้จักกันดี ได้แก่ The Nightmare Before Christmas, Wallace & Gromit: The Curse of the Were-Rabbit และ Fantastic Mr. Fox

นอกจากนี้ stop motion ยังถูกนำมาใช้สร้างเทคนิคพิเศษด้านภาพอีกด้วย เริ่มต้นตั้งแต่ตัวอย่างแรกของการใช้เทคนิคนี้ในหนังเรื่อง The Humpty Dumpty Circus (1897) เมื่อเหล่าของเล่นพากันขยับเคลื่อนไหวได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ครั้งแรกที่ทำให้นักดูหนังส่วนใหญ่จดจำ stop motion ได้คงจะเป็นผลงานอันน่าทึ่งของ วิลลิส โอ’เบรียน ใน The Lost World (1925) และ King Kong (1933) ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อนักสร้างหนังรุ่นหลังก่อนการมาถึงของคอมพิวเตอร์กราฟฟิก หนังชุด Star Wars สามภาคแรกก็ใช้เทคนิค stop motion เพื่อช่วยสร้างความสมจริงในหลายฉาก


Storyboard

ชุดภาพวาด หรือบางครั้งอาจเป็นภาพถ่ายเรียงตามลำดับก่อนหลัง โดยแต่ละช่อง/ภาพจะเป็นตัวแทนของหนึ่งช็อตในขั้นตอนการถ่ายทำ storyboard เป็นเหมือนพิมพ์เขียวของหนังทั้งเรื่อง (หรือฉากบางฉาก) โดยบทพูด เสียงประกอบ ดนตรี และการเคลื่อนกล้องจะถูกระบุเป็นรายละเอียดไว้ด้วย ขั้นตอนการทำ storyboard เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของ วอลท์ ดิสนีย์ ก่อนสร้างหนังการ์ตูนสั้นเรื่อง Three Little Pigs (1933) และภายในเวลาไม่กี่ปี แนวคิดดังกล่าวก็แพร่กระจายไปยังสตูดิโออื่นๆ อย่างรวดเร็ว กินความรวมถึงหนังคนแสดงอย่าง Gone with the Wind ไม่นาน storyboard ก็กลายเป็น “มาตรฐาน” สำหรับวางแผนงานสร้างนับแต่ช่วงทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา

ผู้กำกับอย่างสองพี่น้อง โจเอล และ อีธาน โคน มักสร้าง storyboard ขึ้นเพื่อให้เหล่านายทุนมองเห็นภาพคร่าวๆ ว่าเงินที่พวกเขาลงไปนั้นจะถูกนำไปใช้อย่างไร หนังหลายเรื่องของ อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อก มีการวาด storyboard อย่างละเอียดก่อนการถ่ายทำ โดยเฉพาะฉากสำคัญ เช่น ฉากฆาตกรรมอันลือลั่นของ Psycho อากิระ คุโรซาวา ก็เป็นอีกคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดในแทบทุกช็อต และ storyboard ของหนังเรื่อง Ran ก็ถูกมองว่าเป็นผลงานศิลปะไม่ต่างจากผลลัพธ์ที่ปรากฏบนจอ โดยส่วนมากแล้ว ผู้กำกับจะ storyboard ขึ้นเฉพาะฉากสำคัญ ที่อาจมีการลงทุนสูง หรือมีความซับซ้อนในการถ่ายทำ แต่สำหรับหนังการ์ตูน storyboard ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง

Studio system
ขบวนการสร้างและจัดจำหน่ายหนังของสตูดิโอในฮอลลีวู้ดระหว่างช่วงทศวรรษ 1920 ถึง 1950 ริเริ่มวางระบบโดย โธมัส เอช. อินซ์ เมื่อปี 1912 ขณะยังทำงานให้กับบริษัท นิวยอร์ค โมชัน พิคเจอร์ เขากำกับหนังหลายเรื่อง พร้อมทั้งควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์และซูเปอร์ไวเซอร์ให้กับหนังอีกหลายเรื่อง ซึ่งแม้จะไม่ได้ลงไปกำกับเอง แต่ก็มีอำนาจควบคุมเต็มที่ อินซ์จะจ้างผู้กำกับมาทำงานให้ หลังอนุมัติบทภาพยนตร์พร้อมทั้งวางโครงสร้างคร่าวๆ ของหนังทั้งเรื่องแล้ว ขั้นตอนการถ่ายทำถูกวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ บางครั้งอาจถ่ายแบบไม่เรียงตามลำดับเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ อินซ์ยังมีอำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายในช่วงของการตัดต่อด้วย หนังส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมาจะเป็นหนังสูตรสำเร็จเพื่อรับประกันว่าจะมีตลาดรองรับแน่นอน

ในช่วงกลางทศวรรษ 1930 สตูดิโอยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวู้ดที่ดำเนินงานภายใต้รูปแบบนี้ประกอบไปด้วย MGM, Fox, Warner Brothers, Columbia, Universal, RKO และ United Artists แต่ละแห่งผลิตหนังมากกว่า 50 เรื่องต่อปี มีดารา ผู้กำกับ และช่างเทคนิคในสังกัดมากมาย แม้ระบบสตูดิโอจะก่อให้เกิดผลงานตลาดคุณภาพกลางๆ หลายร้อยเรื่อง แต่ในเวลาเดียวกันหนังคลาสสิกจำนวนไม่น้อยก็เป็นไปได้เพราะระบบสตูดิโอ จนกระทั่งยุคถดถอยเริ่มมาเยือนในช่วงทศวรรษ 1950 ด้วยเหตุผลหลากหลาย เช่น การคุกคามของสื่อโทรทัศน์ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นในการผลิตภาพยนตร์โดยเฉพาะค่าแรง ทำให้สตูดิโอหลายแห่งต้องย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังต่างแดน

Subjective camera

เทคนิคการถ่ายภาพแทนสายตาตัวละคร โดยกล้องจะเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของตัวละคร เช่น กล้องอาจแพนเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวละครกำลังกวาดสายตามองไปรอบห้อง หรือใช้กล้องแบบ handheld แทนความรู้สึกว่าตัวละครกำลังวิ่ง หรือเดิน โดยส่วนมากหนังมักตัดสลับกับภาพโคลสอัพใบหน้าตัวละครเพื่อบอกนัยยะว่าคนดูกำลังจะห็นเหตุการณ์ผ่านสายตาของเขา/เธอ หนังสยองขวัญนิยมใช้ subjective camera แทนสายตาฆาตกร หรือสัตว์ประหลาด ขณะลอบมอง หรือไล่ล่าเหยื่อ โดยไม่เปิดเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

ตัวอย่างแรกๆ ของการใช้เทคนิคนี้ปรากฏให้เห็นในหนังเรื่อง Dr. Jekyll and Mr. Hyde (1931) จากการถ่ายภาพแทนสายตาดร.แจ็คกิล ขณะเขาเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปสอนหนังสือ และเมื่อเขาเริ่มเอ่ยปากพูด คนดูก็มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของแจ็คกิลเป็นครั้งแรก อีกฉาก เมื่อดร.แจ็คกิลกลายร่างเป็นไฮด์ครั้งแรก ผู้กำกับ รูเบน มาเมาเลียน ใช้มุมกล้องแทนสายตาของแจ็คกิลอีกครั้งเพื่อบันทึกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังดื่มน้ำยา

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า subjective camera เหมือนกับ point-of-view shot (POV) ทั้งที่ความจริงแล้วมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ข้อสังเกตง่ายๆ กรณี subjective camera ตัวละครจะมีปฏิสัมพันธ์กับกล้อง (คนดู) โดยตรงเหมือนเป็นตัวละครตัวหนึ่ง กล่าวคือ พวกเขาจะมองตรงมาที่กล้อง ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ หนังเรื่อง Cloverfield ของ เจ.เจ. อับราฮัมส์ ซึ่งถ่ายทำ “ทั้งเรื่อง” โดยใช้ subjective camera

Sundance Film Festival

เทศกาลหนังที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนมกราคมที่มลรัฐยูทาห์ ภายใต้การควบคุมดูแลของ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด (ชื่อเทศกาลถือเป็นการคารวะหนังดังของเรดฟอร์ดเรื่อง Butch Cassidy and the Sundance Kid) ซันแดนซ์จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1991 (ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในนาม Utah/US Film Festival) ขึ้นชื่อในฐานะเวทีสำหรับโชว์ผลงานของผู้สร้างหนังอิสระทั้งในอเมริกาและจากทั่วโลก นอกจากนี้มันยังเป็นตลาดและเวทีประกวดของหนังสารคดีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย ผู้กำกับอิสระหลายคนเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงจากซันแดนซ์ ก่อนต่อมาจะเติบโตไปสู่ตลาดวงกว้าง อาทิ เควนติน ตารันติโน, สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก, ดาร์เรน อาโรนอฟสกี, โรเบิร์ต โรดริเกซ, พอล โธมัส แอนเดอร์สัน, ท็อด เฮย์นส์, จิม จาร์มุช และ เควิน สมิธ

Surround sound


การแยกแทร็คเสียงดนตรีและเสียงเทคนิคพิเศษออกจากกัน แล้วถ่ายทอดผ่านลำโพงด้านข้างและด้านหลังของโรงภาพยนตร์ ระบบ surround sound ช่วยมอบความรู้สึกเหมือนจริง ทำให้ดนตรีและเสียงประกอบสร้างผลกระทบต่อคนดูมากยิ่งขึ้น ราวกับกำลังนั่งอยู่ตรงกลางเหตุการณ์บนจอ หนังเรื่องแรกที่ใช้ระบบเสียงแบบนี้ คือ Fantasia (1940) หลังจาก วอล์ท ดิสนีย์ ได้แรงบันดาลใจขณะนั่งฟังผลงานเพลง Flight of the Bumblebee ของ ริมสกี้ คอร์ซาคอฟ และอยากให้คนดูได้ยินเสียงผึ้งบินวนไปรอบๆ โรงหนัง

Synthesizer

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนี้ถูกนำมาใช้สร้างสรรค์เสียงดนตรี หรือเสียงประกอบที่แตกต่างให้กับภาพยนตร์มานานแล้ว มักพบเห็นในหนังแนวไซไฟ แต่บางครั้ง synthesizer อาจถูกนำมาใช้สร้างดนตรีประกอบให้กับหนังดรามาร่วมสมัยได้เช่นกัน จิออร์จิโอ โมโรเดอร์ เป็นนักทำดนตรีประกอบที่นิยมใช้ synthesizer ซึ่งถือว่าขัดแย้งกับธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิม ซึ่งใช้บริการของวงออร์เคสตราเป็นหลัก แต่ความกล้าจะแตกต่างของเขาทำให้ดนตรีประกอบของ Midnight Express กลายเป็นที่จดจำ และทรงอิทธิพลต่อนักทำดนตรีรุ่นหลัง (และแน่นอนคว้ารางวัลออสการ์มาครอง) แวงเจลิส เป็นอีกคนที่ชื่นชอบ synthesizer และการใช้เครื่องดนตรีสมัยใหม่ของเขาในหนังพีเรียดเกี่ยวกับนักวิ่งโอลิมปิกปี 1924 เรื่อง Chariots of Fire ก็ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในดนตรีประกอบที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ล่าสุดหนังที่คว้ารางวัลออสการ์ดนตรีประกอบยอดเยี่ยมมาครองอย่าง The Social Network ก็ใช้ synthesizer เป็นส่วนใหญ่ในการสร้างสรรค์ท่วงทำนอง

Test screening

การฉายหนังรอบพิเศษก่อนจะเปิดตัวในวงกว้างเพื่อสำรวจปฏิกิริยาตอบรับของผู้ชม ซึ่งถูกคัดเลือกจากกลุ่มคนทั่วไปผ่านคำถาม เช่น คุณทำงานหรือมีญาติทำงานอยู่ในวงการบันเทิงหรือไม่ (ถ้าอยากถูกเลือกต้องตอบว่า ไม่มี) และคุณดูหนังเรื่องอะไรบ้างในรอบหกเดือนที่ผ่านมา (คำตอบที่ถูกต้องย่อมขึ้นอยู่กับหนังที่ต้องการทดสอบ) จากนั้นหลังภาพยนตร์จบลง พวกเขาจะได้รับแบบสำรวจความคิดเห็น (คุณชอบตอนจบไหม คุณจะให้เกรดหนังโดยรวมเท่าไหร่ หนังอืดเอื่อยไปไหม มีความรุนแรงมากไปหรือเปล่า ฯลฯ) โดย test screening เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของ ฮาโรลด์ ลอยด์ และเริ่มต้นใช้มาตั้งแต่ปี 1928

คำตอบจากรอบฉายทดลองอาจนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ชื่อภาพยนตร์ (Licence Revoked ถูกเปลี่ยนเป็น Licence to Kill เพราะชื่อแรกทำให้หลายคนนึกถึงการถูกยึดใบขับขี่มากกว่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับสปายสายลับ) ไปจนกระทั่งหั่นบางฉากให้สั้นลง (ฉากร้องเพลง The Mamushka ใน The Addams Family) ตัดฉากบางฉากออก (ฉากจูบระหว่าง จูเลีย โรเบิร์ตส์ กับ เดนเซล วอชิงตัน ใน The Pelican Brief) และเปลี่ยนตอบจบของหนัง ดังกรณีสุดอื้อฉาวของหนังเรื่อง Fatal Attraction เมื่อ “ตัวร้าย” ของเรื่องถูก “พระเอก” ยิงตายคาอ่างน้ำ แทนที่จะฆ่าตัวตายแล้วโยนความผิดให้เขาเหมือนในเวอร์ชั่นออริจินัล หนังอีกเรื่องที่ตอนจบถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิมหลังการทำ test screening คือ Field of Dreams โดยเพิ่มฉากพระเอกได้เล่นเบสบอลกับพ่อที่ตายไปแล้วเข้ามา

Three-act structure

รูปแบบการเขียนบทและเล่าเรื่องที่ทรงอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน องก์แรกเป็นการแนะนำตัวละครหลักๆ ความสัมพันธ์ของพวกเขา และสภาพแวดล้อม ในองก์แรกตัวเอกจะเผชิญเหตุการณ์บางอย่างที่เขาต้องหาทางรับมือ นำไปสู่จุดพลิกผันแรก ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรื่องราวในองก์แรกกำลังดำเนินมาถึงจุดจบ และชีวิตของตัวละครจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พร้อมทั้งตั้งคำถามให้คนดูติดตาม (ซึ่งจะถูกเฉลยในช่วงไคล์แม็กซ์) เช่น นาย A จะตามหาเพชรเจอหรือไม่ นาย B จะได้แต่งงานกับนางสาว C ไหม หรือ นาย D จะจับฆาตกรได้หรือไม่

องก์สองจะแสดงให้เห็นความพยายามแก้ปัญหาของตัวละคร แต่กลับต้องเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีก สาเหตุเพราะเขาปราศจากทักษะในการรับมือกับปัญหา หรือศัตรู อย่างไรก็ตาม เขาไม่เพียงจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องตระหนักในตัวตนและศักยภาพภายในให้ได้อีกด้วยเพื่อก้าวให้พ้นอุปสรรคขวากหนาม ภารกิจดังกล่าวจะสำเร็จเสร็จสิ้นได้ ตัวละครต้องได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน หรือผู้รู้ จากนั้นในองก์ที่สาม คือ การค่อยๆ คลี่คลายปมปัญหา จุดพลิกผันที่สองขององก์นี้ คือ ไคล์แม็กซ์ เมื่อความตึงเครียดของเรื่องราวเดินทางมาถึงจุดสูงสุด การเขียนบทในรูปแบบนี้ปรากฏให้เห็นมาเนิ่นนานและในหนังแทบทุกประเภทตั้งแต่ Chinatown จนถึง Dances with Wolves, The Silence of the Lambs และ The Matrix


Time lapse

การถ่ายภาพทีละเฟรมโดยครอบคลุมช่วงระยะเวลาตามความต้องการ และเมื่อนำมาฉายด้วยอัตราความเร็วปกติ ภาพที่ปรากฏจะดูเหมือนถูกร่นระยะเวลาให้เร็วขึ้น ส่งผลให้คนดูสามารถเห็นดอกไม้เบ่งบานภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที หรือท้องฟ้าเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืนในชั่วพริบตา เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Carrefour De L’Opera (1879) ของ จอร์จส์ เมลิแอส์ ส่วนหนังเรื่องแรกที่ใช้เทคนิค time lapse อย่างต่อเนื่องและเปี่ยมประสิทธิภาพ คือ Koyaanisqatsi (1983) ซึ่งปราศจากพล็อตเรื่อง หรือตัวละคร แต่เป็นเหมือนสารคดีภาพชุดพร้อมดนตรีประกอบ ประพันธ์โดย ฟิลลิป กลาส เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นพัฒนาการของโลกมนุษย์ โดยในฉากช่วงต้นเรื่องคนดูจะได้เห็นทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ งดงามของธรรมชาติ ซึ่งห่างไกลจากความ “ศิวิไลซ์” ทั้งหลาย จากนั้นในเวลาต่อมา หนังก็ค่อยๆ แสดงให้เห็นภาพชีวิตชาวเมืองอันแออัด เร่งรีบ และเต็มไปด้วยมลพิษ ซึ่งถูกเน้นย้ำให้เห็นเด่นชัดผ่านเทคนิค time lapse เมื่อรถยนต์พร่าเลือนจนกลายเป็นเพียงแสงไฟบนถนน และฝูงชนพลุกพล่านจนมองแทบไม่เห็นเป็นรูปร่าง

Trailer

หนังตัวอย่างเรื่องแรกถือกำเนิดขึ้นในปี 1913 เมื่อ นิลส์ แกรนลันด์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของเครือข่ายโรงหนัง มาร์คัส โลว์ สร้างหนังสั้นเพื่อโปรโมตภาพยนตร์เพลงเรื่อง The Pleasure Seekers นับจากนั้น การผลิตและฉายหนังตัวอย่างก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมา โดยแรกทีเดียวนิยมฉายหลังภาพยนตร์จบลงแล้ว (เป็นที่มาของคำว่า trailer) แต่ไม่นานก็เปลี่ยนมาฉายก่อนหนังเริ่ม เมื่อปรากฏว่าคนดูส่วนใหญ่มักลุกเดินออกจากโรงหลังหนังจบ

สมัยนั้นหนังตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีรูปแบบหลักๆ คือ ตัดฉากเด่นในหนังมาใช้พร้อมเสียงเล่าเรื่อง หรือบางครั้งอาจใช้ตัวหนังสือขนาดใหญ่ จุดเปลี่ยนเริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ภายใต้การนำของ สแตนลีย์ คูบริค ซึ่งใช้เทคนิคการตัดภาพฉับไวและไม่มีตัวหนังสือบอกเล่าเรื่องสำหรับ trailer หนังอย่าง Lolita, Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb และ 2001: A Space Odyssey

เนื่องจากจุดมุ่งหมายหลัก คือ เพื่อโน้มน้าวให้คนอยากดูหนังเรื่องนั้นๆ ช็อตส่วนใหญ่ที่นำมารวมไว้ในหนังตัวอย่างจึงมักจะเป็นไฮไลท์โดยย่อของหนังแบบไม่เรียงตามลำดับและมีความยาวโดยรวมไม่เกินสองนาทีครึ่ง ปกติแล้วหนังตัวอย่างจะสร้างขึ้นก่อนหนังจริงจะเสร็จสมบูรณ์ ฉะนั้นบางช็อตในหนังตัวอย่างจึงอาจไม่ปรากฏให้เห็นในหนังจริงก็ได้ (เพราะถูกหั่นทิ้งระหว่างขั้นตอนตัดต่อ) หรือบางทีหนังตัวอย่างอาจถูกสร้างขึ้นใหม่หมดโดยไม่ใช้ฟุตเตจของหนังเลย เช่น Psycho ซึ่งเป็นภาพผู้กำกับ อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อก พาคนดูไปเดินชมจุดสำคัญๆ ของโรงแรมเบทส์ (ฉากหลัง) ก่อนสุดท้ายจะมาลงเอยยังห้องน้ำ ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุฆาตกรรมอันลือลั่น (ผู้หญิงที่หวีดร้องในหนังตัวอย่าง คือ เวรา ไมส์ ไม่ใช่ เจเน็ท ลีห์ เพราะคนหลังไม่มีคิวว่างมาถ่ายหนังตัวอย่าง แต่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเนื่องจากใบหน้าเธอถูกชื่อเรื่องบดบังเกือบหมด)

Traveling-matte process

ขั้นตอนการทำเทคนิคพิเศษโดยซ้อนภาพสองภาพเข้าด้วยกัน (เช่น โฟร์กราวด์อาจเป็นนักแสดง หรือยานอวกาศ ส่วนแบ็คกราวด์อาจเป็นฉากวาดขนาดใหญ่ หรือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หรือดาวเคราะห์สักดวง) ผ่านวิธีบังบางส่วนของภาพไว้ระหว่างขั้นตอนการพิมพ์ เช่น ถ้าเราอยากได้ภาพยานอวกาศเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืน เราจำเป็นต้องใช้หน้ากากบังภาพสองชิ้น ชิ้นหนึ่งสำหรับบังทุกอย่างนอกจากยานอวกาศ อีกชิ้นสำหรับบังเฉพาะยานอวกาศ จากนั้นค่อยซ้อนภาพทั้งสองเข้าด้วยกันก็จะได้เป็นภาพตามที่เราต้องการ แต่ความซับซ้อนย่อมเพิ่มขึ้น เมื่อหน้ากากที่ใช้บังภาพต้องเคลื่อนไหวไปตามเฟรมแต่ละเฟรม (เป็นที่มาของคำว่า traveling) เพื่อใส่ความเคลื่อนไหวเข้าไว้ในฉาก เช่น ยานอวกาศเคลื่อนตัวผ่านดาวเคราะห์ขนาดใหญ่

ขั้นตอน traveling-matte จะช่วยให้นักทำหนังสามารถผนวกฟุตเตจ live-action ที่ถ่ายทำในสตูดิโอเข้ากับแบ็คกราวด์ ซึ่งอาจเป็นภาพวาดขนาดใหญ่ หรือแบบจำลองได้อย่างแนบเนียนและไม่เกิดการซ้อนกันของภาพ โดยเทคนิคที่โด่งดังและได้รับความนิยมสูงสุด คือ blue-screen process

THX

ระบบที่คิดค้นขึ้นโดย ทอม โฮลแมน ในปี 1983 ซึ่งขณะนั้นกำลังทำงานให้กับหนังเรื่อง Star Wars Episode VI: Return of the Jedi (ชื่อ THX ถือเป็นการคารวะหนังสั้นของ จอร์จ ลูคัส เรื่อง THX 1138) และต้องการให้ทุกโรงภาพยนตร์สามารถฉายหนังได้ด้วยระบบเสียงรอบทิศทางเหมือนๆ กัน THX ไม่ใช่ระบบบันทึกเสียง และทุกรูปแบบการบันทึกเสียง ไม่ว่าจะเป็นดิจิตอล (Dolby Digital, SDDS) หรืออนาล็อก (Dolby Stereo, Ultra-Stereo) สามารถฉายด้วยระบบ THX ได้หมด เพราะ THX เป็นเพียงระบบรับรองคุณภาพว่าหนังที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่ตีตรา THX ผู้ชมจะได้ยินเสียงใกล้เคียงกับความตั้งใจของผู้สร้างมากที่สุด

Viral marketing

การตลาดแบบไวรัส หรือเทคนิคการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออินเตอร์เน็ท เพื่อกระจายข่าวสาว สร้างความตระหนักรู้ รวมไปถึงความกระตือรือร้นต่อสินค้าในหมู่กลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ viral marketing คือ การโปรโมตหนังเรื่อง The Blair Witch Project โดยสร้างเว็บไซท์ขึ้นมาหลอกคนดูให้เชื่อว่าเหตุการณ์ในหนังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง “กระแส” ฮือฮาที่เกิดขึ้นตามมาส่งผลให้หนัง ซึ่งลงทุนต่ำและปราศจากงบโฆษณาก้อนโตเหมือนหนังสตูดิโอยักษ์ใหญ่ สามารถทำเงินในอเมริกาได้มากถึง 160 ล้านเหรียญ (และ 248 ล้านเหรียญ ในตลาดโลก) ส่งผลให้หนังสือกินเนสบุ๊กลงบันทึกว่ามันเป็นหนังที่มีอัตราส่วนในการทำกำไรสูงสุด กล่าวคือ ทุกๆ ทุนสร้าง 1 ดอลลาร์ หนังจะได้เงินตอบแทนกลับมา 10,000 ดอลลาร์

ข้อดีของการตลาดแบบนี้ คือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วโลก นอกจากสร้าง official website แล้ว การตลาดแบบไวรัสยังรวมถึงกลยุทธ์อื่นๆ อีกด้วย เช่น ทีมโฆษณาหนังเรื่อง Cloverfield ได้สร้างเว็บเพจ My Space ขึ้นสำหรับตัวละครในเรื่อง ส่วนทีมการตลาดของ The Dark Knight ก็ผสมผสานสังคมออนไลน์เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างลงตัว เช่น จัดการนัดพบกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ของตัวะคร โจ๊กเกอร์ หรือจัดให้มีการโหวตนายกเทศมนตรีแห่งเมือง ก็อดแธม ซิตี้ พร้อมสร้างลิงก์มากมายเกี่ยวกับเมือง ก็อดแธม ซิตี้

Voice-over

เสียงพูดที่ดังขึ้นในฉาก แต่ไม่ใช่จากปากของตัวละครคนใดคนหนึ่งในฉากนั้น โดยความเป็นไปได้ คือ 1) เสียงคนบรรยายแบบในหนังสารคดี 2) เสียงของคนเล่าเรื่อง ซึ่งจะพาคนดูก้าวกระโดดข้ามกาลเวลา เตรียมคนดูต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด หรือแสดงความเห็นต่อสิ่งที่ปรากฏบนจอ เช่น ในหนังเรื่อง (500) days of Summer และ Jules and Jim 3) เสียงเล่าของตัวละครที่มีบทบาทในหนัง เพื่อส่งผ่านมุมมองของเขา/เธอต่อฉากที่เขา/เธออยู่ร่วม หรือทำหน้าที่แบบข้อ 2 สำหรับฉากที่เขา/เธอไม่ได้มีส่วนร่วม 4) เสียงความคิดของตัวละคร 5) เสียงของตัวละครในเรื่องที่ดังมาจากจินตนาการของตัวละครอีกคนหนึ่ง เช่น ในฉากอ่านจดหมาย 6) เสียงพูดคุยภายในรถ หรืออาคาร ขณะภาพบนจอเป็นฉากภายนอกรถ หรืออาคารนั้น 7) เสียงบทสนทนาของตัวละครที่ “ล้น” มาจากฉากก่อนหน้า หรือดังขึ้นล่วงหน้าเพื่อเตรียมคนดูสู่ฉากต่อไป

voice-over แบบในข้อ 2-5 มีรากฐานมาจากวรรณกรรม และมักถูกค่อนขอดว่าไม่เหมาะกับสื่ออย่างภาพยนตร์ ซึ่งควรพึ่งพาภาพ ตลอดจนการคลี่คลายเรื่องราวผ่านเหตุการณ์ที่ดำเนินไป มากกว่าการให้ใครสักคนมาคอยอธิบาย แต่บางครั้ง voice-over หาได้มีจุดประสงค์เพื่อบอกข้อมูลเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างอารมณ์และบรรยากาศโดยรวม เช่น ในหนังหลายเรื่องของ เทอร์เรนซ์ มาลิก (Days of Heaven, The Thin Red Line, Badlands) หรือสร้างอารมณ์ขันจากการล้อเลียนตัวเอง เช่น ในหนังเรื่อง The Opposite of Sex


Western

หนังคาวบอยถือเป็นตระกูลที่เก่าแก่พอๆ กับภาพยนตร์เลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่หนังเรื่อง The Great Train Robbery (1903) ซึ่งแสดงให้เห็นประกายแห่งสูตรสำเร็จบางอย่าง เช่น ฉากการขี่ม้าไล่ล่า และการปล้นขบวนรถไฟ หนังคาวบอยนอกจากจะสะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของอเมริกาแล้ว มันยังมีส่วนในการสร้างภาพลักษณ์ของอเมริกาอีกด้วย ผ่านฉากหลังที่แสดงให้เห็นภูมิประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาล บ่งบอกถึงอิสรภาพและความหวัง ส่วนกฎแห่งตะวันตกที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางความแร้นแค้นและอาชญากรรมก็ช่วยตอกย้ำภาวะไม่ขึ้นตรงต่อใคร ปัจเจกภาพ และความหยิ่งทะนงแห่งตน หนังคาวบอยพุ่งถึงจุดสูงสุดทั้งในแง่เนื้อหาและสไตล์ด้วยฝีมือของ จอห์น ฟอร์ด เจ้าของผลงานคลาสสิกอย่าง The Searchers และ Stagecoach ความนิยมของหนังคาวบอยเริ่มเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา โดยในยุคหลังๆ พวกมันนิยมที่จะวิพากษ์ภาพลักษณ์เดิมๆ เกี่ยวกับวีรกรรมและศักดิ์ศรีแห่งโลกตะวันตก ดังจะเห็นได้จากหนังอย่าง The Wild Bunch, McCabe and Mrs. Miller และ Unforgiven




Wipe

เรียกง่ายๆ ว่าเทคนิคการกวาดภาพ ใช้เชื่อมต่อฉากสองฉากเข้าด้วยกันผ่านเส้นแบ่ง ซึ่งทำหน้าที่คล้ายก้านปัดน้ำฝนหน้ารถ ค่อยๆ ผลักช็อตเดิมให้หายไปจากจอพร้อมกับนำเสนอช็อตใหม่ไปพร้อมๆ กัน เส้นแบ่งนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแนวตั้งเสมอไป การกวาดภาพอาจเกิดขึ้นในแนวราบจากบนลงล่าง หรือล่างขึ้นบนก็ได้ หรืออาจใช้รูปทรงอื่นนอกจากเส้นตรง เช่น ขนมเปียกปูน วงกลม ขดหอย หัวใจ ฯลฯ เทคนิค wipe สามารถสร้างได้ในเครื่อง optical printer แต่จะเป็นแค่เส้นแบ่งตรงๆ เท่านั้น สำหรับรูปทรงพิเศษต้องใช้ traveling-matte process เข้าช่วย

เทคนิค wipe ได้รับความนิยมอย่างสูงระหว่างทศวรรษ 1930 ถึง 1940 ก่อนจะพบเห็นน้อยลงเรื่อยๆ แต่นักทำหนังรุ่นใหม่ยังคงนำมันมาใช้บ้างเป็นครั้งคราว ดังจะเห็นได้จากหนังเรื่อง The Sting หนังชุด Star Wars สามภาคแรก และ The Hidden Fortress ของ อากิระ คุโรซาวา


Zoptic

เทคนิค front projection ถูกเลือกใช้เป็นเทคนิคหลักเพื่อถ่ายทำฉาก คริสโตเฟอร์ รีฟ เหาะเหินเดินอากาศในหนังเรื่อง Superman (1978) แต่ปัญหาที่ทีมงานประสบ คือ ทำอย่างไรให้คนดูเชื่อว่าซูเปอร์แมนกำลังบินอยู่หน้ากล้องภาพยนตร์ โซแรน เพอริซิกได้พัฒนาเทคนิคที่เรียกว่า Zoptic ขึ้นเพื่อสร้างภาพลวงว่าตัวละครกำลังเคลื่อนไหวไปตามความลึกของฉาก ทั้งที่จริงๆ แล้ว เขาอยู่กับที่ในระยะห่างเท่าเดิมระหว่างกล้องและอุปกรณ์ front projection

ภาพลวงดังกล่าวเกิดจากการติดเลนส์ซูมที่เครื่องฉายซึ่งส่งภาพแบ็คกราวด์ไปยังจอรับภาพ และกล้องถ่ายหนัง ควบคุมโดยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้พวกมันทำงานสอดประสานกัน เช่น ตัวละครจะดูเหมือนเคลื่อนไหวออกห่างจากกล้องไปยังแบ็คกราวด์ เมื่อเลนส์บนเครื่องฉายซูมออกสู่ภาพมุมกว้าง พร้อมๆ กับการซูมออกของเลนส์กล้องเพื่อเก็บภาพฉากหลังให้ครบถ้วน ส่งผลให้แบ็คกราวด์ดูเหมือนเดิม แต่ตัวละครกลับดูเล็กลง เทคนิค Zoptic ถูกนำมาใช้ในหนังซูเปอร์แมนสามภาคแรก รวมถึงหนังอย่าง Return to Oz, Radio Flyer และ Thief of Baghdad




Zoom

การเปลี่ยนขนาดภาพโดยกล้องไม่จำเป็นต้องเคลื่อนออกจากตำแหน่งสามารถทำได้โดยการใช้เลนส์ซูม ไม่ว่าจะเป็น zoom in (จากภาพมุมกว้างเป็นภาพโคลสอัพ) หรือ zoom out (จากภาพโคลสอัพเป็นภาพมุมกว้าง) ช็อตแบบนี้ช่วยให้ชีวิตตากล้องสะดวกสบายขึ้น เพราะไม่ต้องติดตั้ง dolly เพราะระยะห่างระหว่างกล้องกับนักแสดงยังคงเท่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของภาพย่อมแตกต่าง ช็อตที่มีการเคลื่อนกล้องเข้าหานักแสดง มุมมองคนดูจะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะขนาดโฟร์กราวด์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับแบ็คกราวด์ ส่วน zoom shot มุมมองคนดูยังคงเหมือนเดิม เพราะกล้องไม่ได้ขยับออกจากตำแหน่ง ฉากหลังจะค่อยๆ แบนราบเป็นสองมิติขณะมันเพิ่มขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว zoom shot เหมาะสำหรับการดึงความสนใจคนดูไปยังสิ่งหนึ่งสิ่งใดแบบกะทันหัน หรือใช้สำหรับติดตามความเคลื่อนไหวตัวละคร และพาหนะ หรือพาคนดูออกจากฉากเพื่อให้เห็นภาพรวมแวดล้อม เช่น ฉากขบวนพาเหรดใน Barry Lyndon ของ สแตนลีย์ คูบริค ซึ่งเริ่มต้นด้วยภาพระยะใกล้ของขบวนพาเหรด ก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกมาจนเห็นว่าเป็นมุมมองของคนที่ยืนดูขบวนพาเหรดอยู่ไกลๆ

100 Innovations That Change Cinema (4)


Product placement

รูปแบบหนึ่งของการโฆษณา เมื่อยี่ห้อสินค้าถูกใส่เข้ามาในภาพยนตร์เพื่อเพิ่มการตระหนักรู้ของผู้บริโภคหรือกระทั่งสร้างทัศนคติที่ดีต่อสินค้านั้นๆ หนังทุนสูง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง หรือมีดาราระดับซูเปอร์สตาร์นำแสดงย่อมดึงดูดบริษัทผู้ผลิตได้มากกว่า แต่ขณะเดียวกันทางสตูดิโอก็ต้องพิจารณาด้วยว่าสินค้าเหล่านั้นเหมาะสมกับภาพลักษณ์โดยรวมของหนังหรือไม่

product placement เริ่มต้นถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคหนังเงียบ ดังจะเห็นได้จาก Wings (1927) กับช็อกโกแลต เฮอร์ชีย์ ไล่เรื่อยมาถึง It’s a Wonderful Life กับนิตยสาร เนชันแนล จีโอกราฟฟิก แรกทีเดียว การแฝงโฆษณาในหนังยังเป็นเรื่อหมกเม็ด และไม่มีการเปิดเผยตัวเลขแน่นอน หรือยอมรับแบบตรงไปตรงมา แต่หลังจากทศวรรษ 1980 product placement ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และหลายครั้งค่อนข้างโจ่งแจ้ง ไม่กระมิดกระเมี้ยนอีกต่อไป ดังจะเห็นได้จากแคมเปญโปรโมตรถ BMW รุ่นใหม่กับหนังเรื่อง Golden Eye เมื่อปี 1995

อย่างไรก็ตาม หนังบางเรื่องดูเหมือนจะก้าวล้ำเส้นความพอดี เช่น I, Robot ซึ่งถูกคัดเลือกจากเว็บไซต์ของอังกฤษให้เป็นหนังยอดแย่อันดับหนึ่งสำหรับกลยุทธ์ product placement เนื่องจากในช่วงสิบนาทีแรกของหนัง ขบวนสินค้าจำนวนมาก (ออดี้, เฟ็ดเอ็กซ์, โอวัลติน, คอนเวิร์ส, เจวีซี ฯลฯ) ต่างพากันตบเท้ามาเสนอหน้าบนจอกันอย่างถ้วนทั่ว รวมถึงแทรกตัวเข้ามาในบทพูดของตัวละครอีกต่างหาก ความพยายามจะสอดแทรกโฆษณาเอาไว้ในสื่อบันเทิงถูกนำมาล้อเลียนอย่างสนุกสนานในหนังเรื่อง The Truman Show


Prosthetic makeup

เทคนิคการแต่งหน้าที่ริเริ่มและพัฒนาโดย ดิ๊ก สมิธ ผ่านผลงานน่าตื่นตามากมาย อาทิ Little Big Man (1970) และ The Exorcist (1973) โดยขั้นตอนคร่าวๆ คือ หล่อแบบสามมิติของร่างกายมนุษย์ โดยมากคือใบหน้า เพื่อใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐาน จากนั้นส่วนของเมคอัพจะถูกสร้างขึ้นจากเจลาติน หรือซิลิโคนที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง กุญแจสำคัญอยู่ตรงที่ขอบของเมคอัพจะต้องบางที่สุด (ในระดับเดียวกับกระดาษทิชชู) เพื่อมันจะได้สามารถกลมกลืนไปกับผิวหนังนักแสดงและใช้เครื่องสำอางกลบทับได้อย่างแนบเนียน

แน่นอนว่า prosthetic makeup มักปรากฏให้เห็นในหนังสยองขวัญ เมื่อความบูดเบี้ยวของอวัยวะ ความฟอนเฟะของใบหน้า และรูปร่างที่ผิดปกติกลายเป็นเหมือนกฎข้อบังคับ อย่างไรก็ตาม นอกจากหนังสยองขวัญอย่าง The Thing แล้ว เรายังพบเห็นเทคนิค prosthetic makeup ได้ในหนังแนวอื่นๆ ด้วย อาทิ จมูกใหม่ของ นิโคล คิดแมน ใน The Hours และ “ไอ้ก้านยาว” ของ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ใน Boogie Nights เป็นต้น


Rack focus

การเปลี่ยนโฟกัสในช็อตเดียวกันจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง (เช่น จากโฟร์กราวด์ไปยังแบ็คกราวด์ หรือในทางกลับกัน) เพื่อชี้นำสายตาคนดูไปยังจุดสนใจใหม่ แล้วปล่อยให้จุดสนใจเดิมกลายเป็นภาพเบลอ ช็อตดังกล่าวจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางด้านพื้นที่ของฉากไว้เช่นเดิมขณะปรับเปลี่ยนความสนใจของคนดู มันเป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับฉากบทสนทนา โดยการสลับสับเปลี่ยนโฟกัสตามตัวละครที่มีบทพูด หรือแสดงให้เห็นปฏิกิริยาของตัวละครต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เทคนิคนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคหนังเสียงช่วงแรกๆ เช่น ในหนังเรื่อง Applause (1929)



Rear projection

การสร้างเทคนิคพิเศษแบบที่มองเห็นได้ทันทีในกล้องโดยใช้เครื่องฉายยิงภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหวไปยังจอรับด้านหลังนักแสดง เพื่อให้กล้องสามารถจับภาพนักแสดงและแบ็คกราวด์ด้านหลังที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แรกเริ่มเดิมทีเป็นเทคนิคของการถ่ายภาพนิ่ง ก่อนจะถูกดัดแปลงมาใช้ในภาพยนตร์โดย นอร์แมน โอ. ดอว์น กับหนังคาวบอยเรื่อง The Drifter (1913) อย่างไรก็ตาม rear projection ไม่เริ่มแพร่หลายจนกระทั่งการกำเนิดของยุคหนังเสียง ซึ่งทำให้การถ่ายทำในสตูดิโอกลายเป็นความจำเป็น

rear projection เปิดโอกาสให้ฉากจากสถานที่จริงถูกนำมาใช้เป็นแบ็คกราวด์ให้กับฉากการถ่ายทำนักแสดงในสตูดิโอ นอกจากนี้มันยังช่วยให้ทีมงานสามารถนำหนังการ์ตูนที่ถ่ายทำด้วยเทคนิค stop-motion มาใช้เป็นฉากหลังให้ฉาก live action ได้ด้วย แต่ส่วนใหญ่เรามักคุ้นเคยกับเทคนิค rear projection ในฉากที่ตัวละครนั่งคุยกันในรถ แล้วแบ็คกราวด์ของกระจกหลังเป็นภาพเคลื่อนไหวซึ่งถ่ายทำจากสถานที่จริง (สำหรับแบ็คกราวด์ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว กล้องและเครื่องฉายต้องถูกล็อกให้ทำงานสอดคล้องกันเพื่อความกลมกลืนของแอ็กชั่น) อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของเทคนิคนี้ คือ ภาพแบ็คกราวด์มักจะดูซีดและขาดความคมชัดเมื่อเทียบกับโฟร์กราวด์ ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งของนักแสดงกับแบ็คกราวด์อาจยิ่งปรากฏชัด หาก “จังหวะ” ของแอ็กชั่นไม่ตรงกันพอดี

ตัวอย่างที่โดดเด่นของ rear projection คือ ฉาก แครี่ แกรนท์ โดนเครื่องบินโปรยยาฆ่าแมลงตามไล่ล่าใน North by Northwest ปัจจุบัน rear projection ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากการเข้ามาแทนที่ของเทคนิคใหม่ๆ อย่าง front projection, blue-screen process และการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ แม้จะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราวกับฉากคาราวะหนังเก่า หรือสร้างอารมณ์แบบย้อนยุค เช่น ใน Pulp Fiction และหนังชุด Austin Powers


Rembrandt lighting

เทคนิคการจัดแสงที่เน้นไฮไลท์และแสงเงาในลักษณะเดียวกับภาพวาดของเรมบลังต์ ถึงแม้ ดี. ดับเบิลยู. กริฟฟิธ จะเคยใช้การจัดแสงสไตล์นี้อยู่บ้าง แต่เป็น เซซิล บี. เดอมิลล์ ต่างหากที่พัฒนาสไตล์จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยความร่วมมือจาก วิลเฟร็ด บัคแลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานออกแบบฉากและจัดแสงให้ละครเวที การจัดแสงสไตล์นี้เกิดจากการที่เดอมิลล์ต้องการเอาชนะความแบนราบของแสงจากดวงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นแหล่งแสงสำคัญของการสร้างหนังยุคนั้น โดยใช้รีเฟล็กซ์และไฟแขวน หนังเรื่อง The Warrens of Virginia (1915) ของเดอมิลล์กลายเป็นเหมือนหลักไมล์สำคัญของการจัดแสงในภาพยนตร์ เมื่อ แซมมวล โกลด์วิน หุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา ได้ดูหนัง ก็รีบโทรเลขจากนิวยอร์กมาโวยวายว่า “ใครจะอยากดูหนังที่พวกเขามองไม่เห็น” คำตอบของเดอมิลล์ คือ “มันเป็นการจัดแสงแบบเรมบลังต์” ปัจจุบันการจัดแสงสไตล์นี้ยังคงได้รับความนิยม โดยเฉพาะในการถ่ายภาพแบบพอร์เทรทเนื่องจากใช้อุปกรณ์แค่ไม่กี่ชิ้น (ไฟหนึ่งหรือสองดวงกับรีเฟล็กซ์) แต่ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและสวยงามในเวลาเดียวกัน

Reverse motion

การเคลื่อนไหวที่ย้อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับตอนถ่ายทำ เกิดจาก 1) การป้อนฟิล์มเข้ากล้องแบบถอยหลัง แล้วนำมาฉายแบบปกติ 2) พิมพ์ฟิล์มถอยหลัง และ 3) การกลับหัวกล้องแล้วถ่ายทำตามปกติ จากนั้นหลังขั้นตอนการพิมพ์ ก็กลับหัวฟิล์มอีกครั้ง วิธีนี้ใช้ได้กับกล้อง 35 ม.ม. และ 16 ม.ม. เท่านั้น ส่วนใหญ่ reverse motion นิยมใช้เพื่อเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในหนังตลก หรือบางครั้งเพื่อเนรมิตฉาก “ฟื้นคืนชีพ” หรือใช้สร้างเทคนิคพิเศษด้านภาพ เช่น ถ่ายฉากรถพุ่งเข้าหากล้องโดยการถ่ายย้อนหลังรถที่กำลังวิ่งถอยหลัง หนังคลาสสิกเรื่อง Beauty and the Beast (1946) ของ ฌอง ค็อกโต เลือกใช้ reverse motion เพื่อรองรับเรื่องราวอย่างชาญฉลาดในหลายฉาก เช่น การถ่ายทำฉากนักแสดงเผากระดาษในกองเพลิงและเดินถอยหลังออกมาด้วยเทคนิค reverse motion ดังนั้นเมื่อนำมาฉายบนจอ คนดูจึงเห็นภาพตัวละครเดินตรงมาหยิบกระดาษออกจากกองเพลิง หรือการใช้ reverse motion เพื่อแสดงให้เห็นภาพกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยค่อยๆ หวนกลับมาติดกับตัวดอกไม้อีกครั้ง


Romantic comedy

หนังที่เล่าถึงความสัมพันธ์โรแมนติกระหว่างตัวละครสองคน ซึ่งแรกทีเดียวอาจประสบอุปสรรคขวากหนาม ความเข้าใจผิดสารพัด แต่สุดท้ายก็ลงเอยกันอย่างมีความสุข พล็อตของหนังอาจมีรายละเอียดแตกต่างออกไปบ้างในแต่ละเรื่อง แต่หัวใจหลักที่เหมือนกัน คือ ความรัก ความผูกพันที่สองตัวละครเอกมีให้กันนั้นเด่นชัด ลึกซึ้ง และเหล่าปัญหาที่เกิดขึ้นมักถูกถ่ายทอดในลักษณะเปี่ยมอารมณ์ขัน

It Happened One Night (1934) เปิดศักราชให้กับผลงานในแนวนี้ ตามมาด้วยยุคทองของ ดอริส เดย์ กับ ร็อค ฮัดสัน ผ่านผลงานเด่นอย่าง Pillow Talk วู้ดดี้ อัลเลน เพิ่มความซับซ้อนให้กับแนวทาง romantic comedy โดยผสมแง่มุมคมคายของสังคมเมือง การวิเคราะห์ทางจิตวิทยา รวมถึงมุกตลกแบบปัญญาชนคนชั้นกลางเข้าไป เช่น ในหนังดังอย่าง Annie Hall และ Manhattan ซึ่งกวาดคำชมจากนักวิจารณ์ได้อย่างท่วมท้น ส่วนตัวแทนของหนังตลกโรแมนติกยุคใหม่ ได้แก่ When Harry Mets Sally, Sleepless in Seattle และ Notting Hill


Rotoscoping

เทคนิคการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนโดยวาดภาพทับฟุตเตจ live-action ทีละเฟรม แรกเริ่มเดิมทีด้วยวิธีฉายภาพไปบนแผงกระจกผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า โรโทสโคป แต่ปัจจุบันขบวนการนี้ถูกแทนที่ด้วยคอมพิวเตอร์ (ดังจะเห็นได้จากหนังเรื่อง Waking Life และ A Scanner Darkly ของ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์) เทคนิค rotoscoping คิดค้นขึ้นโดย แม็กซ์ ไฟลเชอร์ และนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับหนังการ์ตูนชุด Out of the Inkwell ในปี 1915 ส่วนการ์ตูนเรื่องเด่นๆ ที่ใช้เทคนิคนี้ก็เช่น Snow White and the Seven Dwarfs ของ วอลท์ ดิสนีย์ และ The Lord of the Rings นอกจากนี้ เทคนิค rotoscoping ยังถูกนำมาใช้สร้างเทคนิคพิเศษด้านภาพให้กับหนัง live-action ด้วย เช่น ทำให้ดาบเลเซอร์ของตัวละครในหนังชุด Star Wars สามภาคแรกดูเรืองแสง


Sci-fi

ความแตกต่างของหนังไซไฟกับหนังแฟนตาซี คือ กลุ่มแรกให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์เพื่อขยายขอบเขตความเป็นไปได้ของเรื่องราว ฉากหลัง และตัวละคร โดยพล็อตสุดฮิตของหนังไซไฟในยุคแรก คือ พล็อตมนุษย์ต่างดาวบุกโลก เช่น The War of the Worlds และ The Day Mars Invaded the Earth ซึ่งยังคงกลับมาได้รับความนิยมในยุคหลังๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังความสำเร็จอันล้นหลามของ Independence Day อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของกระแสหนังแนวไซไฟเกิดขึ้นเมื่อหนังเรื่อง 2001: A Space Odyssey ของ สแตนลีย์ คูบริค เข้าฉาย เพราะมันไม่เพียงแต่ช่วยขยายขอบเขตในแง่เทคนิคพิเศษของการสร้างภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังทำให้นิยายวิทยาศาสตร์ไม่เป็นเพียงแค่แฟนตาซีเพ้อเจ้อ และสามารถผสมผสานเข้ากับหลักปรัชญาได้อย่างกลมกลืน

Sensurround

ระบบการสร้างเทคนิคพิเศษ นำมาใช้ครั้งแรกกับหนังเรื่อง Earthquake (1974) ของยูนิเวอร์แซล เพื่อให้คนดูรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในฉากแผ่นดินไหว ทำได้โดยการใส่ แอร์ ไวเบรชัน เข้าไว้ในซาวด์แทร็กระหว่างขั้นตอนการบันทึกเสียง ซึ่งสัญญาณดังกล่าวจะถูกตรวจจับโดยอุปกรณ์พิเศษในโรงหนัง แล้วนำไปขยายผ่านลำโพงขนาดใหญ่จำนวนสิบถึงยี่สิบตัวรอบๆ โรงภาพยนตร์ เทคนิคดังกล่าวถูกนำมาใช้กับหนังอีกแค่สามเรื่องถัดมา คือ Midway (1976), Rollercoaster (1977) และ Saga of a Star World (1978) ข้อเสียของระบบ sensurround คือ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งลำโพงค่อนข้างสูง และในโรงมัลติเพล็กซ์ส่วนใหญ่ แรงสั่นสะเทือนจะส่งผลกระทบกับผู้ชมในโรงภาพยนตร์ติดกัน บางแห่งคลื่นความถี่ต่ำยังสร้างความเสียหายให้กับพื้นกระเบื้องและปูนพลาสเตอร์อีกด้วย

Series

กลุ่มหนังที่มีพล็อตใกล้เคียงกันและใช้ตัวละครหลักๆ เดียวกัน ซึ่งต้องเผชิญหน้าสถานการณ์และปมปัญหาเหมือนๆ เดิม หนังประเภทนี้เริ่มต้นถือกำเนิดตั้งแต่ยุคหนังเงียบ เช่น หนังตะวันตกชุด Bronco Billy (1910-1916) ของ จี. เอ็ม. แอนเดอร์สัน แต่รุ่งเรืองถึงขีดสุดนับแต่ทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา เพราะระบบสตูดิโอเปิดโอกาสให้เหล่าผู้กำกับสามารถผลิตหนังได้อย่างรวดเร็วและใช้งบประมาณไม่มาก หนังคาวบอยชุดมักได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น ซีรีส์ Hopalong Cassidy ของพาราเมาท์ ซึ่งผลิตรวมกันทั้งสิ้น 60 กว่าตอน

เมื่อระบบสตูดิโอเริ่มก้าวสู่จุดตกต่ำระหว่างปลายทศวรรษ 1950 เมื่อค่าใช้จ่ายในการสร้างหนังเพิ่มสูงขึ้น ซีรีส์ก็ค่อยๆ ร้างราห่างหายไป (ยกเว้นเพียงหนังชุด เจมส์ บอนด์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นด้วย Dr. No ในปี 1962) ก่อนจะกลับมาฮ็อตฮิตอีกครั้งนับแต่หลายทศวรรษ 1980 เป็นต้นมาในรูปแบบของหนังภาคต่อ ซึ่งพบเห็นบ่อยๆ กับหมวดหนังสยองขวัญ เช่น Scream, Friday the 13th, A Nightmare on Elm Street และ Halloween เป็นต้น รวมถึงหนังในหมวดอื่นๆ เช่น หนังกีฬา (Rocky) หนังแอ็กชั่น (The Fast and the Furious) หนังไซไฟ (Star Wars) และหนังแฟนตาซี (Harry Potter)


Shallow focus

สไตล์การถ่ายภาพที่มุ่งเน้นโฟกัสไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนภาพ ส่งผลให้ทุกสิ่งรอบข้างหลุดโฟกัส หรือเป็นภาพเบลอ shallow focus เปิดโอกาสให้นักทำหนังชี้นำความสนใจของคนดูไปยังตัวละคร สิ่งของ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยไม่มีอะไรอื่นมาดึงดูดสายตา สไตล์การถ่ายภาพแบบชัดตื้นจะเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนจากฟิล์มออร์โธโครเมติกมาเป็นฟิล์มแพนโครเมติก (ซึ่งไวต่อแสงน้อยกว่า แต่ให้ภาพที่สวยคมชัดกว่า) ในปี 1926 ส่งผลให้ตากล้องต้องเปิดรูรับแสงให้กว้างขึ้น และภาพแบบชัดตื้นก็เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น

โดยทางจิตวิทยา ภาพชัดตื้นสะท้อนความเป็นอัตวิสัย เนื่องจากตัวละครดูเหมือนไม่รับรู้ต่อสิ่งต่างๆ รอบข้าง ความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของปัจเจกชนมักมีชัยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง (ถ้าคุณต้องการถ่ายฉากตัวละครนั่งอ่านจดหมาย/หนังสือ แล้ว “อิน” ไปกับตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ภาพแบบชัดตื้นย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม) ด้วยเหตุนี้ มันจึงได้รับความนิยมเป็นพิเศษในหนังเมโลดรามาและหนังโรแมนติก เช่น ผลงานส่วนใหญ่ของ หว่องกาไว หรือหากต้องการเห็นตัวอย่างแบบ “สุดโต่ง” ของการถ่ายภาพแบบ shallow focus ก็ลองศึกษาได้จากหนังเรื่อง In the Cut


Slasher film

หนึ่งในไม่กี่ตระกูลย่อยของหนังสยองขวัญที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน พล็อตส่วนใหญ่มักวนเวียนอยู่กับการฆ่าเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวของฆาตกรโรคจิตด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมสารพัด หนังที่เป็นต้นแบบให้เกิดการลอกเลียนตามมาจำนวนนับไม่ถ้วน คือ Psycho ของ อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อก และ Peeping Tom ของ ไมเคิล พาเวลล์ ซึ่งออกฉายในปี 1960 ทั้งคู่ ส่วนแม่แบบร่วมสมัยของหนังแนวนี้ได้แก่ Halloween ของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ และ The Texas Chainsaw Massacre ของ โทบี้ ฮูเปอร์


Slow motion

เทคนิคที่ทำให้การเคลื่อนไหวบนจอเชื่องช้ากว่าปกติ เป็นผลจากการถ่ายทำฉากดังกล่าวด้วยความเร็วมากกว่า 24 เฟรมต่อวินาที แต่นำมาฉายด้วยความเร็วปกติ เช่น 48 เฟรมต่อวินาที ฉะนั้นเมื่อนำมาฉาย ภาพบนจอจะเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติหนึ่งเท่าตัว เทคนิคนี้คิดค้นขึ้นโดยศาสตราจารย์ชาวออสเตรีย ออกัสต์ มัสเกอร์ ในปี 1904

slow motion ใช้ในภาพยนตร์หลากหลายแนวเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป หนึ่งในจุดหมายหลักของ slow motion คือ การยืดห้วงเวลาแห่งความตึงเครียดหรือเขม็งเกลียวทางอารมณ์ให้ยาวนานออกไป ส่งผลให้พลังดรามาของหนังพุ่งทะยานถึงขีดสุด เนื่องจากภาพลักษณะนี้จะดึงความสนใจของผู้ชมให้จับจ้องอยู่กับเหตุการณ์สั้นๆ ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่ามันจะเป็นความสุขแห่งชัยชนะ หรือความเจ็บปวดของการสูญเสีย เช่น เวโวล็อด ปูดอฟกิน ใช้เทคนิค slow motion กับฉากตัวละครกระโดดลงจากสะพานเพื่อฆ่าตัวตายในหนังเรื่อง The Deserter

ความสง่า สวยงามในท่วงท่าแห่งการเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือสัตว์อาจถูกเน้นย้ำให้โดดเด่นด้วยภาพ slow motion ซึ่งย่อมส่งผลให้ฉากโดยรวมได้อารมณ์เหมือนฝัน เหนือจริง ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Hair ฉากเต้นถูกนำเสนอด้วยภาพ slow motion เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเหล่าตัวละคร การออกแบบท่าเต้นอันไร้ระเบียบ ขาดเอกภาพ แต่เปี่ยมชีวิตชีวาของ ไทลา ธาร์ป สอดคล้องกับเรื่องราวในหนังอย่างเหมาะเจาะ เพราะมันพูดถึงไลฟ์สไตล์ของบรรดาฮิปปี้ยุคบุปผาชน นอกจากนี้ ผู้กำกับหลายคนยังนิยมใช้ภาพ slow motion กับฉากแอ็กชั่นด้วย ไม่ว่าจะเป็น อากิระ คูโรซาวา, จอห์น วู หรือ แซม เพ็คกินพาห์ ซึ่งบางครั้งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องโรแมนติก


SnorriCam

อุปกรณ์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ที่เชื่อมต่อกล้องเข้ากับลำตัวนักแสดง ส่งผลให้กล้องอยู่ระยะประชิดกับใบหน้าของนักแสดงจนคนดูมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขา หรือเธอขณะเดิน แต่ทุกสิ่งด้านหลัง (แบ็คกราวด์) กลับเคลื่อนไหวไปมา snorriCam ตั้งชื่อตามสองช่างภาพ/ผู้กำกับ ไอนาร์ สนอร์ริ และ ไออาวร์ สนอร์ริ ซึ่งไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ทำงานร่วมกันภายใต้ชื่อ “สองพี่น้องสนอร์ริ”

ไอเดียการถ่ายภาพในลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นนานแล้ว และสามารถสืบย้อนประวัติไปได้ถึงหนังเรื่อง Seconds (1966) อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดอันเด่นชัด คือ กล้อง 35 ม.ม. ส่วนใหญ่หนักเกินกว่าจะแบกรับได้อย่างสะดวกสบาย ส่งผลให้เทคนิคการถ่ายทำดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมมากนักจนกระทั่งสเตดิแคม (Steadicam) ถูกพัฒนาขึ้น เช่นเดียวกับกล้องน้ำหนักเบาที่มีขนาดเล็กและเก็บเสียงได้ดี ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา snorriCam กลายเป็นของเล่นสุดฮิตในหมู่ผู้กำกับรุ่นใหม่ สังเกตได้จากหนังดังอย่าง Slumdog Millionaire, The Hangover, District 9 และ The Lovely Bones

เนื่องจาก snorriCam “เรียกร้องความสนใจ” จากคนดูอย่างเด่นชัด มันจึงมักจะถูกใช้เพียงแค่ไม่กี่ฉาก และมักจะกินเวลาไม่นาน ลักษณะภาพที่ดูแปลกตา ชวนวิงเวียน ทำให้เหมาะกับการสะท้อนภาวะ “หลุดจากโลก” ของตัวละคร โดยมากเป็นฉากที่พวกเขารู้สึกโกรธแค้นจนถึงจุดระเบิด (เช่น ใน Inside Man) ตื่นตระหนก (เช่น ใน ลัดดาแลนด์) หรือกำลังเมายา (เช่น ใน Requiem for a Dream)


Soft focus

เทคนิคพิเศษที่ทำให้ภาพดูฟุ้ง นุ่มนวล และไม่คมชัด อันเป็นผลจากการปรับเลนส์ให้หลุดโฟกัสเล็กน้อย หรือใช้เลนส์พิเศษ หรือติดฟิลเตอร์ หรือผ้าก๊อซหน้าเลนส์ หรือใช้ปิโตรเลียมเจลทา เทคนิค soft focus เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่ยุคหนังเงียบ นิยมใช้เพื่อสร้างบรรยากาศโรแมนติก เช่น ใน Sunrise ของ เอฟ. ดับเบิลยู. เมอร์เนา สร้างอารมณ์ถวิลหาและความเป็นอุดมคติ เช่น ฉากปิกนิกใน Bonnie and Clyde ของ อาร์เธอร์ เพนน์ นอกจากนี้ soft focus ยังนิยมใช้กับฉากย้อนอดีต ฉากความฝัน หรือภาพหลอน และใช้เพื่อช่วยลดอายุให้กับนักแสดงอีกด้วย (พบเห็นได้บ่อยๆ ในยุคสตูดิโอรุ่งเรือง)

Sound


การทดลองที่จะซิงก์เสียงเข้ากับภาพแทบจะถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับภาพยนตร์เลยด้วยซ้ำ แต่ความฝันเริ่มจับต้องได้อย่างแท้จริงในปี 1927 เมื่อ The Jazz Singer ถูกขนานนามให้เป็นหนังเสียงเรื่องแรก แม้ว่ามันจะมีฉากซิงก์เสียงเพลงและเสียงพูดของตัวละครกับภาพเพียงไม่กี่ฉาก ขณะที่บทสนทนาส่วนใหญ่ยังคงใช้เทคนิค intertitle แบบเดียวกับหนังเงียบทั่วไป อย่างไรก็ตาม นั่นถือเป็นนาทีแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้โลกบนจอภาพยนตร์ขยับเข้าใกล้โลกแห่งความเป็นจริงขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น

ยุคหนังเสียงก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยรวม ดาราหนังเงียบหลายคนต้องจบอาชีพการแสดงลง เพราะเสียงของเขา/เธออาจไม่ค่อยเสนาะหู หรือขัดแย้งกับภาพลักษณ์ก่อนหน้า ส่วนนักแสดงละครเวทีที่เชี่ยวชาญการใช้เสียง มือเขียนบทที่เก่งกาจเรื่องการเขียนบทสนทนา และละครบรอดเวย์กลับกลายเป็นสินค้านำเข้ายอดฮิตของฮอลลีวู้ด


Split screen

เทคนิคการแบ่งจอภาพเป็นสองฝั่ง ซึ่งเกิดจากการบังบางส่วนของฟิล์ม แล้วถ่ายใหม่อีกครั้งโดยบังส่วนก่อนหน้าที่ถ่ายไปแล้ว ปกตินิยมใช้ในฉากตัวละครกำลังคุยโทรศัพท์ ดังจะเห็นได้จากหนังอย่าง Pillow Talk (1959) แต่หลังจากทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา เทคนิคนี้ก็ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในหนังกระแสหลักมากนัก ยกเว้นเพียงผลงานกำกับของ ไบรอัน เดอ พัลมา (Blow Up, The Bonfires of the Vanities)

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเทคนิค split screen ในยุคกลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมาอาจมีสาเหตุจากพัฒนาการทางด้านเครื่องมือยุคดิจิตอล ซึ่งช่วยให้ขั้นตอนแบ่งจอภาพไม่ยุ่งยากเหมือนก่อน และบางครั้งก็สามารถสร้างสรรค์ความแปลกแตกต่างได้มากกว่าแค่ฉากคุยโทรศัพท์ เช่น ในหนังเรื่อง (500) Days of Summer ผู้กำกับ มาร์ค เว็บบ์ ใช้การแบ่งจอภาพเป็นสองข้าง เพื่อสะท้อนความแตกต่างอันเด่นชัดระหว่างความคาดหวังของตัวเอกกับความจริงที่เกิดขึ้น


Star system

กลยุทธ์การใช้นักแสดงเป็นจุดขาย โดยสร้างบุคลิกลักษณะอันโดดเด่น และมนต์เสน่ห์ชวนให้หลงใหลผ่านทั้งผลงานบนจอและชีวิตส่วนตัว ระบบดาราจะใช้เครื่องมือประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร สร้างคุณสมบัติที่นักดูหนังส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนภาพฝันสวยงามเกินเอื้อมที่ช่วยให้พวกเขาหลบหนีจากความเป็นจริงและข้อจำกัดต่างๆ

ในอดีตบริษัทภาพยนตร์จะปกปิดชื่อจริงของนักแสดงเพื่อกดราคาค่าตัว ส่วนใหญ่พวกเขาจะเป็นที่รู้จักในชื่อตัวละคร หรือสมญานามจากคนดู คาร์ล ลาเอมเมล คือ บุคคลแรกที่ตระหนักถึงกระแสสนใจต่อเหล่านักแสดง ซึ่งมีพลังดึงดูดคนดูให้เข้ามาชมภาพยนตร์ เขาจึงจ้าง ฟลอเรนซ์ ลอว์เรนซ์ เจ้าของสมญานาม “เด็กสาวของไบโอกราฟ” มาเป็นดาราในสังกัดเมื่อปี 1910 แล้วประกาศชื่อจริงของเธอในหนัง ไม่นานบริษัทผลิตภาพยนตร์อีกหลายแห่งก็เริ่มทำตาม จนกระทั่งปี 1919 ระบบดาราก็ถือกำเนิดอย่างเต็มตัว พร้อมกับ แมรี พิคฟอร์ด ซูเปอร์สตาร์คนแรกของอเมริกา

นอกจากพิคฟอร์ดแล้ว ดั๊กลาส แฟร์แบงค์, ชาร์ลี แชปลิน, เจมส์ สจ๊วต, ฮัมฟรีย์ โบการ์ท, มาร์ลีน ดีทริช, เกรตา การ์โบ, มาริลีน มอนโร และ เจมส์ ดีน ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นนำของระบบดารา ก่อนมันจะล่มสลายในช่วงทศวรรษ 1950 จำนวนดาราเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ขณะผู้กำกับเริ่มกลายเป็นจุดขายใหม่

Static camera shot


หมายถึงช็อตที่ปราศจากการเคลื่อนกล้อง ซึ่งหลายครั้งคนดูอาจไม่ทันสังเกตว่าหนังตั้งกล้องนิ่ง เมื่อมีการตัดต่อเข้ามาช่วยเพิ่มมุมกล้องที่แตกต่าง หรือมุมมองที่เปลี่ยนไป แต่สำหรับช็อตที่กินเวลานาน การถ่ายภาพแบบชัดลึกจะเข้ามามีส่วนช่วยให้คนดูสามารถกวาดตามองส่วนต่างๆ ภายในภาพได้อย่างถ้วนทั่ว หรือกล้องอาจปรับเปลี่ยนโฟกัสเพื่อชี้นำคนดู (rack focus) การตั้งกล้องนิ่งเป็นเวลานาน โดยที่เหตุการณ์บนจอไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อาจช่วยเสริมอารมณ์ดรามาให้กับหนัง หรือเป็นวิธีสื่อสารเรื่องราวอย่างลุ่มลึก ในหนังเรื่อง Tokyo Story ผู้กำกับ ยาสุจิโร โอสุ จะตั้งกล้องนิ่งในระดับสามสี่ฟุตจากพื้นเพื่อแทนระดับสายตาของคนญี่ปุ่นที่นั่งบนเสื่อ

การแช่กล้องนิ่งจะทำให้คนดูหันไปให้ความสำคัญกับการจัดองค์ประกอบภาพ (mise-en-scene) และบางทีก็ช่วยสร้างบรรยากาศ หรือผ่อนปรนจังหวะของหนัง ผู้กำกับที่ไม่ค่อยนิยมการเคลื่อนกล้อง หรือการตัดภาพ ได้แก่ ไฉ่หมิงเลี่ยง, เบลา ทาร์, อภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล และ โหวเสี่ยวเฉียน