ฮอลลีวู้ดในปัจจุบันเหลือคนทำหนังแบบ
ไบรอัน เดอ พัลมา น้อยลงทุกที ในที่นี้หมายความถึงวิธีที่เขาเลือกช็อต การถ่ายทำโดยอาศัย storyboard การยืนกรานใช้ขาตั้งกล้อง
หรือสเตดิแคม แล้วปล่อยให้บ่าของตากล้องได้พักผ่อนกับเขาบ้าง การจัดองค์ประกอบภาพอย่างละเอียด
การจัดแสงเพื่อเน้นอารมณ์ การปล่อยช็อตให้นานกว่าเสี้ยววินาที (ผลลัพธ์จากการคำนวณเวลาเฉลี่ยต่อช็อตของ Passion อาจทำให้คุณนึกตกใจว่านี่เป็นหนังปี 2013 หรือหนังจากทศวรรษ 1980 กันแน่) การขับเน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉากหน้า
(foreground) กับฉากหลัง (background) ด้วยเทคนิค split diopter (สร้างภาพลวงของความชัดลึก) การแพนกล้องกลับไปกลับมาระหว่างบทสนทนาของสองตัวละครแทนการตัดภาพ การเลือกถอยกล้องออกมาสักสองสามเมตรเพื่อถ่ายภาพ two-shot
โดยไม่เสยกล้องใส่หน้านักแสดงแบบพร่ำเพรื่อ และแน่นอน
เครื่องหมายการค้าที่แทบจะขาดไม่ได้ของเขา นั่นคือ
การใช้เทคนิคแยกจอภาพเพื่อถ่ายทอดสองเหตุการณ์ (หรืออาจมากกว่านั้น
เช่น กรณีฉากไคล์แม็กซ์ใน Carrie) ไปพร้อมกันๆ
สำหรับนักดูหนังรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการตัดต่อที่วุ่นวายและความรู้สึก “สมจริง” จากกล้องสั่นๆ แบบ hand-held หนังของเดอ
พัลมาอาจให้ความรู้สึกล้าสมัย ดูปรุงแต่ง และไม่เนียน แต่สำหรับนักดูหนังรุ่นเก่า
ทักษะ “คลาสสิก” ดังกล่าวเปรียบเสมือนสายลมแห่งชีวิตชีวาและอารมณ์ถวิลหาอดีต
น่าสังเกตว่ากาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
ไบรอัน เดอ พัลมา ถือเป็นนักทำหนังตลาดระดับแนวหน้า แต่หลังจากความล้มเหลวของ Mission to Mars เขาก็ไม่เคยร่วมงานกับสตูดิโอฮอลลีวู้ดอีกเลย (แม้จะยังได้รับข้อเสนออยู่เนืองๆ เช่น สองสามโครงการสร้างหนังเกี่ยวกับ อัลเฟร็ด
ฮิทช์ค็อก ซึ่งล้วนถูกนำมาเสนอให้เขาก่อน) โดยผลงานในยุคหลังๆ
มักจะสร้างขึ้นโดยอาศัยแหล่งทุนอิสระในยุโรป ซึ่งชื่นชอบสไตล์การทำหนังของเขา กาลเวลาที่ผันผ่าน
เช่นเดียวกับแนวทางการสร้างหนังกระแสหลักที่เปลี่ยนแปลงไป ได้ทำให้เดอ พัลมากลายสภาพเป็นคนทำหนังอาร์ต
ถึงแม้ว่าหนังที่เขาสร้างจะยังคงรูปแบบความบันเทิงและเนื้อหาเดิมๆ ไว้ครบถ้วน ที่สำคัญ หนังทุกเรื่องของเขาหลังจาก Mission to Mars ดูจะล้มเหลวในเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการฉายแบบปูพรมทั่วประเทศ (The Black Dahlia) หรือจำกัดโรง (Femme Fatale, Redacted) จนไม่น่าแปลกใจที่เหล่าสตูดิโอใดในอเมริกาไม่กระตือรือร้นที่จะรับจัดจำหน่าย Passion หลังหนังได้กระแสตอบรับค่อนข้างก้ำกึ่งจากเทศกาลหนังโตรอนโต
ความสนุก น่าสนใจของ Passion หาได้ยึดติดอยู่กับแค่เนื้อเรื่อง
หรือความซับซ้อนของประเด็นสังคม การเมือง หากแต่เป็นสไตล์ที่ใหญ่ เยอะ และฉูดฉาด จนหลายครั้งเดินอยู่บนเส้นบางๆ
ระหว่างจริงจังกับล้อเลียน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า เดอ
พัลมาไม่ใช่ผู้กำกับที่สนใจการวิเคราะห์จิตตัวละคร ความลุ่มหลง (passion) ที่เห็นได้ชัดของเขา คือ ภาพยนตร์
ความรุนแรง และผู้หญิง (แม้บางคนจะชอบโจมตีหนังของ เดอ
พัลมาว่าเหยียดเพศ เนื่องจากตัวละครผู้หญิงในหนังหลายเรื่องของเขามักจบชีวิตอย่างสยอง
หรือน่าสมเพช) ซึ่งทั้งหมดผสมกลมกลืนกันอยู่ในหนังอย่าง Passion
เรื่องราวการขับเคี่ยวของสองสาวสองบุคลิก
คนหนึ่งผมสีบลอนด์ ดูเย่อหยิ่ง มั่นใจ และค่อนข้างร้ายกาจ (ราเชล แม็คอดัมส์) อีกคนผมสีน้ำตาล ดูเงียบขรึม เรียบร้อย และเก็บตัว
(นูมิ ราเพซ) คนแรกชื่อคริสตินเป็นเจ้านายของคนหลังที่ชื่ออิสซาเบลล์
ในช่วงแรกทั้งสองดูจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
จนกระทั่งวันหนึ่งคริสตินขโมยไอเดียโฆษณาของอิสซาเบลล์มาเป็นเครดิตของตนแบบหน้าด้านๆ
พร้อมกับบอกว่า “นี่ไม่ใช่การทรยศหักหลัง
มันก็แค่ธุรกิจ” ต่อมาอิสซาเบลล์จึงนำบทเรียนดังกล่าวมาศอกกลับด้วยการชิงปล่อยโฆษณาดังกล่าวทาง
YouTube และสร้างกระแสสนใจจนมีคนมากดดูมากถึง 10 ล้านวิวภายในเวลาเพียง 5 ชม.
เมื่อโดนหักหน้ากันแบบแคร์ว่าใครใหญ่กว่าใคร คริสตินจึงประกาศสงครามเต็มรูปแบบ และสถานการณ์ก็เริ่มตึงเครียดจนพัฒนาไปสู่จุดเดือดชนิดเลือดตกยางออก
ภาพยนตร์เป็นรูปแบบหนึ่งของการถ้ำมอง
ประเด็นดังกล่าวมักปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในหนังหลายเรื่องของเดอ พัลมา (เช่นเดียวกับฮิทช์ค็อกซึ่งเดอ
พัลมามักถูกนำไปเปรียบเทียบ) และ Passion ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คริสตินแก้นแค้นอิสซาเบลล์ด้วยภาพจากกล้องวงจรปิดและคลิปฉาวที่เดิร์ค (พอล
แอนเดอร์สัน) คู่รักของคริสตินซึ่งอิสซาเบลล์ลักลอบคบชู้ ถ่ายไว้ขณะเขาร่วมรักกับเธอ โฆษณาที่สร้างปัญหาเป็นภาพของหญิงสาวถ่ายคลิปวิดีโอจากสมาร์ทโฟน
ซึ่งถูกใส่ไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกงยีนเพื่อดูว่าใครบ้างที่ลอบมองก้นเธอ ความลุ่มหลง
อยากได้อยากโดนของดานี (คาโรไลน์ เฮอร์เฟิร์ท) ทำให้เธอคอยลอบสังเกตอิสซาเบลล์ทุกย่างก้าว
การถ้ำมองยังกินความรวมไปถึงฉากไคล์แม็กซ์อีกด้วย
ซึ่งใช้เทคนิคแยกจอภาพเพื่อนำเสนอการแสดงบัลเล่ต์เรื่อง Afternoon of a Faun ของ เจอโรม
ร็อบบินส์ ควบคู่กับเหตุการณ์ฆาตกรรม เหตุผลที่เดอ พัลมาเลือกใช้บัลเล่ต์เรื่องนี้ก็เพราะเรื่องราวในบัลเล่ต์เวอร์ชั่นนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมของ
วาสลาฟ นิจินสกี้ เมื่อปี 1912 ซึ่งเล่าถึงการเกี้ยวพาราสีระหว่างฟอน (เทพในตำนานโรมัน
ร่างครึ่งบนเป็นคนครึ่งล่างเป็นแพะ) กับเหล่านางไม้
มาเป็นการซ้อมเต้นบัลเล่ต์ของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง โดยฉากบนเวทีเป็นการจำลองผนังสามด้านของสตูดิโอซ้อมบัลเล่ต์
และผู้แสดงจะหันมองตรงมาทางคนดู ซึ่งเปรียบเสมือนผนังด้านที่เป็น “กระจก” ของสตูดิโอ ส่งผลให้ผู้ชมเหมือนกำลัง “ลอบมอง” ช่วงเวลาอันเป็นส่วนตัวของสองนักบัลเล่ต์ในระยะประชิด
นอกจากนี้ Afternoon of a Faun ยังกรุ่นกลิ่นอายเรื่องเพศเด่นชัด (เวอร์ชั่นออริจินัลของนิจินสกี้ถือว่าอื้อฉาวอยู่พอสมควรในยุคนั้นเนื่องจากมีช่วงหนึ่งที่ดูเหมือนตัวละครฟอนกำลังสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง)
ส่งผลให้มันช่วยสะท้อนอารมณ์รักร่วมเพศระหว่างสามสาวตัวละครหลักได้อย่างกลมกลืน
(ใน Love Crime หนังฝรั่งเศสต้นฉบับของ Passion ตัวละครคริสตินสวมบทโดยนักแสดงหญิงวัยกลางคนอย่าง คริสติน สก็อตต์
โธมัส ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอิสซาเบลล์โอนเอียงไปทางแม่-ลูก/ครู-ลูกศิษย์ มากกว่าจะส่อนัยยะทางเพศเหมือนเวอร์ชั่นเดอ พัลมา)
กระจกปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งใน
Passion ทั้งในห้องน้ำของคริสติน
อาคารสูงระฟ้า ห้องทำงาน
ร้าอาหารที่ดานีบังเอิญเห็นอิสซาเบลล์กับเดิร์คอยู่ด้วยกัน
หรือกระทั่งแคทวอล์คซึ่งทำจากกระจกและเก้าอี้พลาสติกใส หนังฉายซ้ำบางฉากอย่างจงใจ
เช่น ช็อตคริสตินกับอิสซาเบลล์นั่งดูคลิปโฆษณาจากแม็คบุ๊คในตอนต้นเรื่องและช็อตทำนองเดียวกันในช่วงท้ายเรื่องระหว่างอิสซาเบลล์กับดานี
เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าสุดท้ายอิสซาเบลล์ก็กลายมาดำรงสถานะไม่ต่างจากคริสตินในตอนต้น
เธอมั่นใจ กล้าพูดความคิดตรงๆ และออกจะวางอำนาจเหนือกว่าในแบบเจ้านาย
ขณะเดียวกันดานีก็ไม่ต่างกับอิสซาเบลล์ตรงเธอไม่กลัวที่จะตอบโต้กลับด้วย “ไม้แข็ง” เพื่อเรียกร้องสิทธิพึงมีพึงได้ของตัว ณ จุดนี้เอง
หนังสื่อความหมายให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคริสตินกับอิสซาเบลล์หาได้แตกต่างเหมือนที่บุคลิก
หรือรูปร่างหน้าตาภายนอกบ่งบอกแต่อย่างใด เพราะก่อนจะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารคริสตินเองย่อมเคยตกอยู่ในสถานะเดียวกับอิสซาเบลล์มาก่อน
ในทางตรงกันข้าม พวกเธอสองคนกลับเป็นเหมือนฝาแฝด หรือภาพสะท้อนจากกระจก
ในฉากความฝัน
ฝาแฝดของคริสตินที่เธอเล่าว่าเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนอายุ 6 ได้โผล่มาร่วมงานศพโดยสวมรองเท้าคู่ที่คริสตินแสดงท่าทีชื่นชอบระหว่างไปชมการซ้อมเดินแบบกับอิสซาเบลล์
แถมยังทำผมทรงเดียวกับหน้ากาก ซึ่งคริสตินใช้เพิ่มรสชาติให้กับชีวิตเซ็กซ์ (นอกเหนือจากของเล่นอื่นๆ
ที่อัดแน่นอยู่เต็มลิ้นชักเธอ) และถูกสวมใส่โดยฆาตกรในฉากไคล์แม็กซ์ของหนัง...
เซ็กซ์กับความรุนแรงเป็นสองสิ่งที่มักเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นในหนังของเดอ พัลมา เช่นเดียวกับการทับซ้อนของตัวตนดังจะเห็นได้จากผลงานอย่าง
Sisters, Obsession, Body Double, Dressed to Kill, Raising Cain, The
Black Dahlia และ Femme Fatale
อาจกล่าวได้ว่า Passion เป็นหนังที่สามารถแบ่งทอนตัวตนออกเป็นสองบุคลิกได้อย่างชัดเจน
โดยช่วงครึ่งแรก หนังเล่าเรื่องในสไตล์ภาพยนตร์เมโลดรามาเกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในออฟฟิศ
ฉะนั้นลักษณะภาพโดยรวมจึงเต็มไปด้วยแสงสว่าง เน้นสีสันฉูดฉาดทั้งจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและการตกแต่งฉากจนดูเหมือนหลุดมาจากหนังยุค
1950 ของ ดั๊กลาส เซิร์ค แต่ทันทีที่การแข่งขันเริ่มลุกลามใหญ่โต
แล้วพัวพันไปยังการแบล็คเมลและฆาตกรรม หนังก็สลับสับเปลี่ยนบุคลิกอย่างกะทันหันไปสู่แนวทางฟิล์มนัวร์/ทริลเลอร์ ด้วยการเล่นกับแสงเงาคอนทราสต์สูง พร้อมทั้งการปรากฏตัวแบบฉับพลันของม่านบานเกร็ดและมุมกล้อง
dutch angle
ณ
จุดนี้เองที่เสน่ห์ในผลงานของ ไบรอัน เดอ พัลมา เริ่มเผยโฉมให้เห็นเด่นชัด
เขาเชี่ยวชาญทักษะภาพยนตร์ ตลอดจนไวยกรณ์ของแนวทางหนัง (genre) ซึ่งเขาหมกมุ่นมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา
และไม่กลัวที่จะหยิบยืมฉาก/พล็อต/หนังที่เขาชื่นชอบ
มาถ่ายทอดในแง่ของการคารวะโดยไม่สนใจเสียงติฉินนินทา (ไมเคิลแองเจโล
แอนโตนีโอนี ใน Blow Out อัลเฟร็ด
ฮิทช์ค็อก ใน Sisters, Obsession, Dressed to Kill, Body Double และ เซอร์ไก ไอเซนสไตน์ ใน The Untouchables) ด้วยเหตุนี้ หลายครั้งหนังของเดอ พัลมาจึงประสบความสำเร็จทั้งในแง่ความบันเทิงตามสูตรสำเร็จและการล้อเลียนสูตรสำเร็จ
พูดง่ายๆ คือ มันดูน่าตื่นเต้นและน่าขำภายในเวลาเดียวกัน แม้ว่าอารมณ์ขันดังกล่าวอาจค่อนข้างเจาะจงเฉพาะกลุ่มคนดูที่ศึกษา
ชื่นชมภาพยนตร์อย่างเกินระดับนักดูหนังปกติทั่วไป
ซึ่งอาจมองการเล่นกับสไตล์และเทคนิคแบบหนักมือของเดอ พัลมาว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
ไร้รสนิยม อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะสัมผัสได้ไม่ยาก คือ ความรัก
ความหลงใหลในภาพยนตร์ของเดอ พัลมา ซึ่งแทรกซึมอยู่แทบจะทุกเฟรมภาพ และถ่ายทอดมายังคนดูอย่างไม่อาจปฏิเสธ
เพียงแค่ว่าเขาไม่นิยมบอกกล่าวผ่านความลุ่มลึก นิ่งเงียบในลักษณะของการสะบัดพู่กันลงบนผืนผ้าใบ
แต่กลับประกาศก้องผ่านเสียงเพลงแปดหลอดในลักษณะของนักร้องโอเปรา
1 ความคิดเห็น:
This is awesome!
แสดงความคิดเห็น