วันอาทิตย์, มีนาคม 01, 2558

Oscar 2015: Best Supporting Actress


แพ็ทริเซีย อาร์เคตต์ (Boyhood)

ในความนึกคิดของคนส่วนใหญ่ แพ็ทริเซีย อาร์เคตต์ ดูจะเป็นที่รู้จักในฐานะเซ็กซ์ซิมโบลจากโลกแฟนตาซีของ โทนี สก็อต/ เควนติน ตารันติโน และ เดวิด ลินช์ เวลาพวกผู้ชายพูดถึงเธอ ภาพแรกที่แวบเข้ามาในหัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ คือ ภาพเธอสวมบราลายเสือดาว ทาลิปติกสีแดงสดจากหนังเรื่อง True Romance หรือชุดกระโปรงรัดรูปเปิดเผยทรวดทรงอันเย้ายวนจากหนังเรื่อง Lost Highway สำหรับพวกเขา เธอกลายเป็นเพียงภาพจำแห่งอดีตเช่นเดียวกับ มาริลีน มอนโร และ เวโรนิก้า เลค จนกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นของ Boyhood หนังที่พิสูจน์ให้เห็นว่านอกจากรูปร่างหน้าตาอันงดงาม โดดเด่นแล้ว อาร์เคตต์ยังเป็นนักแสดงที่เปี่ยมพรสวรรค์และความสามารถอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นความสำเร็จส่วนตัว หลังจากเธอพยายามดิ้นรนอยู่หลายปีด้วยการรับบทที่แตกต่างหลากหลายเพื่อสลัดภาพสาวเซ็กซี่ รวมไปถึงเงื้อมเงาของเหล่าพี่น้องนักแสดงอีกสี่คน

แม้จะถูกคัดเลือกให้ต้องรับบทเซ็กซี่อยู่หลายครั้ง แต่อาร์เคตต์ไม่เคยภูมิใจกับความสวยของตัวเอง ตอนเด็กๆ พ่อแม่อยากให้เธอดัดฟัน แต่เธอปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเธออยากมีข้อตำหนิ เพราะมันจะช่วยในเรื่องการแสดง อย่างไรก็ตามแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี แต่ความสวยของเธอยังคงอยู่ ใบหน้าอาจปรากฏร่องรอยแห่งประสบการณ์ แต่ปราศจากการแต่งแต้มโดยแพทย์ศัลยกรรมพลาสติก วิญญาณความเป็นแม่ของอาร์เคตต์เริ่มฉายแววตั้งแต่เล็กๆ ตอนโรเบิร์ต น้องชายเธอถือกำเนิด (20 ปีต่อมาเขาผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิงและใช้ชื่อว่าอเล็กซิส) อาร์เคตต์เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเขาเป็น ลูกฉันเอง สัญชาตญาณความเป็นแม่ติดตัวเธอมาตั้งแต่กำเนิด แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็แข็งแกร่งพอจะยืนบนลำแข้งตัวเองและมีวิญญาณขบถไม่แพ้ใคร เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจว่าความเป็นแม่ถือเป็นความเข้มแข้ง ไม่ใช่ความอ่อนแอ (เธอตั้งท้องลูกคนแรกตั้งแต่อายุ 20 ปีกับแฟนหนุ่มนักดนตรี พอล รอสซี) แต่ในเวลาเดียวกัน บทคุณแม่ที่อาร์เคตต์เล่นใน Flirting with Disaster, Beyond Rangoon และล่าสุด Boyhood ผลงานการแสดงที่หมดจด ยอดเยี่ยมที่สุดของเธอ ล้วนมีส่วนแตกต่างจากตัวตนจริงของเธอแทบทั้งสิ้น เช่น ตอนที่ลูกชายเธอต้องย้ายออกจากบ้านไปเรียนมหาวิทยาลัย เธอปั้นหน้านิ่งระหว่างขับรถไปส่งเขา ก่อนจะกลับมานอนร้องไห้สองสัปดาห์เต็ม ส่วน โอลิเวียร์ ใน Boyhood โหยหาอิสรภาพมากกว่า ส่วนหนึ่งคงเกิดจากเธอค้นพบชีวิตใหม่ในช่วง 12 ปี อาร์เคตต์อาจมีบุคลิกเข้มแข็งไม่แพ้กัน แต่เธอคงไม่มีปัญหา หากลูกๆ อยากจะอยู่ต่อไปอีกสักพักใหญ่

อาร์เคตต์เปรียบเสมือนหัวใจหลักของ Boyhood ถึงขนาดที่หากปรับเปลี่ยนบทและตัดต่อใหม่สักเล็กน้อย หนังสามารถเปลี่ยนชื่อเป็น Motherhood ได้อย่างไม่ขัดเขิน นอกจากนี้ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ คือหนึ่งในผู้กำกับไม่กี่คนที่ให้ความเคารพเพศหญิงและไม่เห็นความจำเป็นในการสร้างภาพแม่พระให้กับตัวละครของเขา ตรงกันข้าม เขากลับมอบลมหายใจ เลือดเนื้อ จิตวิญญาณ ตลอดจนข้อบกพร่องแห่งมนุษย์ให้เธอจนไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดนักแสดงหญิงงานชุกอย่างอาร์เคตต์ถึงยินดีที่จะเคลียร์ตารางงานให้ว่างอยู่เสมอเพื่อจะร่วมเดินทางไปกับเขาโดยไม่ทอดทิ้งกลางคันตลอดช่วงเวลานาน 12 ปี เช่นเดียวกับเมสัน ซีเนียร์ สามีของเธอ โอลิเวียร์ก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่ผ่านการเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่ผันผ่านไม่ต่างจากเด็กชายเจ้าของเรื่องราว หนังสะท้อนให้เห็นหลากหลายแง่มุมเกี่ยวกับเธอนอกจากความเป็นแม่ การดิ้นรนผลักดันตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า การตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความยากลำบากในการหาเงินมาจุนเจือครอบครัว และความโกรธขึ้งต่ออดีตสามี ซึ่งต่อมาพัฒนาค่อยๆ พัฒนาไปสู่การให้อภัยและการยอมรับ ความยอดเยี่ยมของอาร์เคตต์อยู่ตรงที่เมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ คนดูก็เริ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอคือตัวละครตัวนั้น และฉากเด่นของเธอในตอนท้ายก็ทำให้คนดูพลอยหัวใจสลายไปด้วย เมื่อโอลิเวียร์ต้องส่งลูกชายคนเล็กให้โบยบินออกจากรัง

การทำงานด้วยกันนาน 12 ปีทำให้ทีมนักแสดงและผู้กำกับสนิทสนมกลมเกลียวดุจครอบครัวเดียวกัน พวกเขาต่างผ่านประสบการณ์การมีลูก แต่งงาน และหย่าร้างไปพร้อมๆ กันตลอดช่วงเวลานั้น โดยขณะที่ชีวิตจริงของพวกเขากำลังไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง ชีวิตของเหล่าตัวละครก็กำลังรอคอยบทบันทึกหน้าถัดไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา อาร์เคตต์ยอมรับว่าตัวละครเหล่านี้เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ ชิ้นส่วนเล็กๆ บางอย่างเกี่ยวกับพวกเขายังคงติดตัวฉันไปเธอกล่าว ถึงแม้ว่าฉันสามารถจะตัดพวกมันทิ้งก็ได้ถ้าต้องการ


ลอรา เดิร์น (Wild)

มันถือเป็นเรื่องน่าเศร้า เมื่อ HBO ยกเลิกซีรีย์ชุด Enlightened ซึ่งเปิดโอกาสให้ ลอรา เดิร์น ใช้พรสวรรค์ทางการแสดงอย่างคุ้มค่าจนกระทั่งคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาครอง แต่ข่าวดีสำหรับนักดูหนัง คือ จุดจบของ Enlightened ส่งผลให้เดิร์นมีเวลาแสดงหนังมากขึ้น และหนึ่งปีหลังซีรีย์ถูกปิดตัว เดิร์นก็ปรากฏตัวให้นักดูหนังได้เห็นหน้าค่าตาบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบทแม่ของ ไชลีน วู้ดลีย์ ใน The Fault in Our Stars บทผู้หญิงที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านของตัวเองใน 99 Homes ไปจนถึงบทที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2 หลังจาก Rambling Rose เมื่อ 23 ปีก่อน นั่นคือ แม่ของ เชอริล สเตรย์ (รีส วิทเธอร์สพูน) ในหนังเรื่อง Wild เธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผลักดันให้สเตรย์ออกเดินป่าเป็นระยะทาง 1,100 ไมล์

น้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ปลอบประโลมใจราวกับได้นั่งจิบชารสชาติหอมหวาน และรอยยิ้มที่เปล่งประกายของ ลอรา เดิร์น ทำให้เธอกลายเป็นภาพลักษณ์ของความสุข คุณสมบัติดังกล่าวส่งผลกระทบกับผู้ชมอย่างหนัก เมื่อเราได้เห็นเธอร้องไห้ ในหนังเรื่อง Wild ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องจริง เชอริลนิยามแม่ตัวเอง บ็อบบี้ ว่าเป็น รักแท้เพียงหนึ่งเดียวของเธอ ในฉากแฟลชแบ็ค คนดูจะเห็นบ็อบบี้ถูกสามีทำร้าย ทนทรมานกับการทำคีโม แต่สุดท้ายก็สามารถก้าวข้ามมันไปได้โดยไม่สูญเสียความสง่างามอันเป็นธรรมชาติของเธอ ลูกสาวแท้ๆ ของ เชอริล สเตรย์ ถูกเลือกให้มารับบทเป็นเชอริลในตอนเด็ก ระหว่างการถ่ายทำเดิร์นกับหนูน้อยบ็อบบี้ (เชอริลตั้งชื่อลูกตามชื่อแม่) เข้าขากันได้ดี สเตรย์เล่าว่าเนื่องจากแม่เธอจากโลกนี้ไปก่อนที่ลูกเธอจะลืมตาขึ้นมาดูโลก เดิร์นจึงกลายเป็นคุณยายเพียงคนเดียวของหนูน้อยบ็อบบี้ พูดถึงเรื่องนี้ทีไรฉันจะพลอยร้องไห้ทุกทีเดิร์นเล่า เชอริลเคยพูดกับฉันว่า รู้มั้ยตอนแม่ตาย ความคิดแวบแรกในหัวฉันคือท่านไม่มีโอกาสจะได้เห็นลูกๆ ของฉัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าลูกสาวฉันได้รู้จักคุณยายของเธอผ่านทางคุณ... พอเธอพูดจบฉันก็น้ำตาไหลออกมาเลย ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก

Wild ถ่ายทำในเมืองที่สเตรย์อาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้เจ้าของหนังสือที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังจึงสามารถแวะมาเยี่ยมกองถ่ายได้แทบทุกวัน ลูกๆ ของเดิร์นได้เล่นสนุกกับลูกๆ ของสเตรย์ ส่วนคุณแม่ทั้งสองก็จะนั่งบนพื้นห้องครัวของสเตรย์ เปิดดูรูปเก่าๆ เพื่อขุดคุ้ยความทรงจำเกี่ยวกับบ็อบบี้ ตอนนั้นเองที่เดิร์นตระหนักว่า Wild เป็นหนังที่เล่าถึงเรื่องราวความรักระหว่างเธอกับแม่มากพอๆ กับการค้นหาตัวเองของเชอริล และความพยายามจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตด้วยการออกไปเดินป่าพร้อมกับทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา ฉันคิดว่ายังมีเรื่องราวความรักอื่นๆ อีกมากมายนอกเหนือจากความรักระหว่างชายหญิงแบบเทพนิยายนักแสดงสาวใหญ่ผู้โด่งดังจากการร่วมงานกับ เดวิด ลินช์ ในหนังอย่าง Blue Velvet, Wild at Heart และ Inland Empire กล่าว เรื่องราวความรักระหว่างคนเพศเดียวกัน เรื่องราวความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก ฉันคิดว่ายังมีอะไรให้เราสำรวจค้นหาอีกมากเกี่ยวกับนิยามของความรัก ฉันตื่นเต้นที่ได้เล่นบทนี้เพราะบ่อยครั้งรักแรก หรือบางทีอาจเป็นรักเดียวของเรา ก็คือ ความรักของแม่กับลูก หรือยายกับหลาน

เดิร์นเองก็เป็นแม่คนเช่นกัน เธอมีลูกทั้งหมดสองคน ได้แก่ ลูกชาย เอลเลอรีย์ และ ลูกสาว จายา ด้วยเหตุนี้เธอจึงสามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวละครในหนังบีบน้ำตาแห่งปีสองเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม ใน The Fault in Our Star ฉากที่หนักหน่วงทางอารมณ์ทั้งกับตัวละครและคนดู คือ ภาพแฟลชแบ็คตอนที่แฟรนนีร้องไห้คร่ำครวญข้างเตียงลูกสาวซึ่งกำลังใกล้ตายว่าเธอจะไม่ได้เป็นแม่คนอีกแล้ว ส่วนใน Wild เดิร์นบดขยี้หัวใจคนดูจนแตกสลายจากฉากที่เธอทราบข่าวว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามคุณแม่ในหนังทั้งสองเรื่องหาได้หดหู่ หม่นเศร้าต่อชะตากรรมแต่อย่างใด พวกเธอลุกขึ้นดำเนินชีวิตต่อไปท่ามกลางความมืดมัวแห่งอนาคตข้างหน้า เช่น เมื่อแฟรนนีบอกลูกสาวว่าเธอจะกลับไปเรียนต่อชั้นมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้สามารถหางานทำได้หากวันใดลูกสาวของเธอเกิดเสียชีวิตไปจริงๆ และเมื่อบ็อบบี้ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุขระหว่างปรุงอาหาร จนลูกสาวรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมแม่ถึงยังร่าเริงอยู่ได้ทั้งที่ชีวิตเต็มไปด้วยความบัดซบ บ็อบบี้อธิบายว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งที่เธอเลือกจะทำ และนั่นถือเป็นการตัดสินใจที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ตัวเองสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ การได้เห็นผู้หญิงคนนี้ร้องเพลงอย่างมีความสุขหลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องเผชิญถือแรงบันดาลใจชั้นยอดเดิร์นกล่าว


คีรา ไนท์ลีย์ (The Imitation Game)

หลังจากค้นคว้าหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ รวมถึงดูหนังสารคดีหลายเรื่องเกี่ยวกับ โจนส์ คลาร์ค สุดท้าย คีรา ไนท์ลีย์ ก็ได้ข้อสรุปว่าบทหนัง The Imitation Game เบี่ยงเบนจากความเป็นจริงในหลายๆ จุด โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของคลาร์คในทีมถอดรหัสลับนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเหตุผลที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับ อลัน ทัวริง (เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์) นักคณิตศาสตร์ที่ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิทยาการคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม ไนท์ลีย์ไม่มีปัญหาใดๆ กับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเพื่อการเล่าเรื่องที่ลื่นไหล ตลอดจนเน้นย้ำประเด็นที่ต้องการนำเสนอ มันไม่ใช่สารคดี แต่เป็นหนังดรามา ฉะนั้นเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับส่วนดรามามากกว่าการรักษาข้อเท็จจริงให้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์เธอกล่าว ก่อนจะเสริมว่า The Imitation Game เป็นหนังเกี่ยวกับการถอดรหัสลับของนาซี ไม่ใช่ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างคลาร์คกับอลัน ถ้าคุณจะทำหนังเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับช่วงเวลานั้น หรือเหตุผลที่เขาขอเธอแต่งงาน ฉันคิดว่าเราคงต้องเดินเรื่องอยู่บนข้อเท็จจริงมากกว่านี้ แต่โชคร้ายที่หนังของเรามีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง และขอบเขตของเรื่องที่เล่าก็ใหญ่โตกว่าเรื่องความสัมพันธ์ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องเลือกหยิบมาเฉพาะส่วนสำคัญ ส่วนที่เป็นแก่นหลักๆ นั่นคือ ในตอนนั้นอลันไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนใด มิตรภาพระหว่างเขากับโจนถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเขาก็ขอเธอแต่งงานจริงๆ

มีการสร้างรายละเอียดหลายอย่างเกี่ยวกับคลาร์คขึ้นใหม่เพื่อความสนุก ดึงดูดอารมณ์ผู้ชม และขับเน้นเรื่องราวความขัดแย้งให้โดดเด่นขึ้น ในหนังคลาร์คได้รับเลือกมาร่วมทีมจากการไขปริศนาอักษรไขว้ แต่ในความเป็นจริงเธอมาทำงานอยู่ที่ เบทช์ลีย์ พาร์ค ได้เพราะศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดช่วยผลักดัน (แต่รัฐบาลอังกฤษเคยพยายามคัดคนมาร่วมทีมถอดรหัสด้วยการใช้ปริศนาอักษรไขว้เป็นแบบทดสอบจริง) ส่วนพล็อตเกี่ยวกับพ่อแม่คลาร์คคัดค้านการตอบรับงานนี้ของลูกสาวก็เป็นการแต่งเติมเพื่อเพิ่มสีสันเช่นกัน และช่วยขับเน้นแง่มุมเกี่ยวกับสตรีนิยมให้ชัดเจน มันช่วยสะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงยุคนั้นมีทางเลือกไม่มาก และการตัดสินใจของโจนส์ก็ถือเป็นความกล้าในการแหกกฎของสังคม ฉันเป็นผู้หญิงในโลกของผู้ชาย ฉันไม่สามารถทำตัวหยิ่งผยองได้คือ คำตอบของเธอหลังถูกอลันถามว่าทำไมต้องไปตีสนิทและทำดีกับสมาชิกร่วมทีมคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ชอบขี้หน้าอลันแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เองคลาร์คในหนังกับคลาร์คตัวจริงจึงค่อนข้างแตกต่างกัน คนหลังมีบุคลิกเคร่งขรึม สุภาพอ่อนโยน ส่วนคนแรกกลับเข้าสังคมเก่ง มีอารมณ์ขัน และไม่เกรงกลัวที่จะเสนอความเห็น

ทันที่ฉันตระหนักว่าบทเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงหลายอย่างเพื่อเหตุผลของการเล่าเรื่องและสร้างอารมณ์ร่วม ฉันจึงลดทอนการค้นคว้าหาข้อมูล แล้ววิเคราะห์ตัวละครเอาจากเบาะแสในบทหนังเป็นหลักนักแสดงสาวที่สร้างชื่อเสียงเป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง Bend It Like Beckham กล่าว คลาร์คในหนังเป็นตัวละครที่เหมาะกับไนท์ลีย์พอดิบพอดี เธอมีเสน่ห์ แต่ขณะเดียวกันก็หัวดื้อและมีวิญญาณขบถผสมผสานอยู่ คุณสมบัติเหล่านี้ปรากฏให้เห็นในบท อลิซาเบธ เบนเน็ตต์ ซึ่งทำให้เธอได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง Pride & Prejudice กระนั้นความเปลี่ยนแปลงเพื่อเน้นย้ำประเด็นเฟมินิสต์หาใช่สิ่งที่คนเขียนบทยุคปัจจุบันคิดค้นขึ้นจากอากาศธาตุ แล้วยัดเยียดลงไปในเรื่องราวแต่อย่างใด พวกเขาจับโจนไปอยู่แผนกภาษาศาสตร์ถึงแม้ว่าเธอจะพูดภาษาอื่นไม่ได้เลยก็ตาม แต่มันเป็นหนทางที่จะช่วยให้เธอได้ค่าจ้างมากขึ้น ฉันคิดว่ามันน่าสนใจตรงที่ทุกวันนี้เราก็ยังประสบพบเห็นปัญญาแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ การเรียกร้องให้ผู้หญิงได้ค่าจ้างและก้าวหน้าในอาชีพการงานเทียบเท่าเพศชาย หนังดำเนินเหตุการณ์ในทศวรรษ 1940 แต่ตอนนี้เราอยู่ในปี 2014 เห็นได้ชัดว่าสิทธิสตรีพัฒนาไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด

หนึ่งในความสนุกของ The Imitation Game คือ การแสดงที่เข้าขากันอย่างมากระหว่างไนท์ลีย์กับคัมเบอร์แบทช์ มันไม่น่าประหลาดใจเพราะในชีวิตจริงทั้งสองก็สนิทสนมกันไม่ต่างจากทัวริงกับคลาร์ค หลังจากเคยร่วมงานกันมาก่อนใน Atonement “ระหว่างถ่ายทำเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันเหมือนครอบครัว มีฉัน, เบน, แพ็ทริค (เคนเนดี้) และโจ (ไรท์)ไนท์ลีย์เล่า ถึงแม้ฉันกับเบนจะเข้าฉากด้วยกันแค่หนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่การต้องอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายเดือนทำให้เราสนิทสนมกันนับแต่บัดนั้น นอกจาก The Imitation Game แล้ว ไนท์ลีย์ยังมีผลงานแสดงอีกหลายเรื่องในปีนี้ ตั้งแต่หนังเพลงอย่าง Begin Again ไปจนถึงหนังตลกอย่าง Laggies และหนังแอ็กชั่นอย่าง Jack Ryan: Shadow Recruit จากนั้นเธอจะเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่บรอดเวย์กับละครเวทีเรื่อง The Children Hour ในเดือนตุลาคม โดยหลังจากข่าวถูกประกาศออกไป ยอดจองตั๋วล่วงหน้าก็พุ่งสูงเป็น 1 ล้านปอนด์ภายในเวลา 4 วัน ฉันรักละครเวทีเธอกล่าว ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่าเธอเป็นลูกสาวของนักเขียนบทละคร ชาร์แมน แม็คโดนัลด์ และนักแสดง วิล ไนท์ลีย์ ก่อนความหลงใหลในละครเวทีตั้งแต่วัยเด็กจะนำพาเธอไปสู่โลกแห่งภายนตร์ในที่สุด 


เอ็มมา สโตน (Birdman)

ถึง Birdman จะไม่ได้ถ่ายทำแบบช็อตเดียวจบ (เหมือนหนังอย่าง Russian Ark) แต่อาศัยการตัดภาพที่แนบเนียนจนแทบไม่เห็นรอยต่อ แต่ผู้กำกับชาวเม็กซิกัน อเลฮานโดร กอนซาเลซ อินญาร์ริตู ก็จำเป็นต้องถ่ายแบบลองเทคหลายช็อต โดยแต่ละช็อตจะมีความยาวประมาณ 4 นาทีขึ้นไป นั่นถือเป็นเรื่องแปลกตาอย่างยิ่งสำหรับนักดูหนังยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับการตัดภาพทุกๆ เสี้ยววินาที และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักแสดง มันยากมากๆเอ็มมา สโตน กล่าวถึงสไตล์การถ่ายหนังของอินญาร์ริตู ฉันรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนระหว่างนั่งรอเข้าฉาก พลางได้ยินเสียงพูดแว่วมาว่าเทคนี้ต้องออกมายอดเยี่ยมอย่างแน่นอน จากนั้นพอถึงคิว ฉันก็ทำทุกอย่างพังหมดด้วยการเดินเข้าช็อตเร็วเกินไป

หลังปิดกล้อง Birdman สโตนต้องฝึกทักษะบล็อกกิ้งให้แม่นยำขึ้นอีก แถมพ่วงด้วยการร้องเพลงและเต้นรำ เพราะเธอถูกคัดเลือกให้รับบทเป็น แซลลี โบวล์ส แทนที่ มิเชล วิลเลียมส์ ในละครเพลงเรื่อง Cabaret ภายใต้การกำกับของ ร็อบ มาร์แชล และ แซม เมนเดส นักแสดงสาววัย 26 ปีใฝ่ฝันอยากรับบทนี้มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ตอนแม่พาเธอไปดู Cabaret เวอร์ชั่นนำแสดงโดย นาตาชา ริชาร์ดสัน ที่บรอดเวย์ มันถือเป็นประสบการณ์เปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญ เธอเล่าว่า ฉันสัมผัสได้ถึงหัวจิตหัวใจของนาตาชา ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจำเรื่องราวในละครได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากความรู้สึกที่ว่าแซลลีไม่ใช่เหยื่อในสายตาของฉัน ฉันไม่ได้สมเพชเธอ แต่กลับนึกชื่นชมความกล้าหาญของเธอนับแต่ได้ดูละครเรื่อง Cabaret สโตนก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงมาตลอด เธอเลือกเรียนโฮมสคูลเพื่อจะได้มีเวลาอุทิศให้กับการเล่นละครในโรงละครท้องถิ่น จากนั้นขณะอายุเพียง 16 ปี เธอตัดสินใจขอย้ายจากบ้านเกิดในสก็อตเดลไปอยู่ลอสแองเจลิสเพื่อทำตามความฝัน (เธอโน้มน้าวพ่อแม่ด้วยการใช้โปรแกรมพาวเวอร์พอยต์)

แม่กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของสโตนและเป็นคนพาเธอไปตระเวนทดสอบหน้ากล้องจนได้งานแสดงในละครโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง (แรกทีเดียวเธอใช้ชื่อว่า ไรลีย์ สโตน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น เอ็มมา สโตนในเวลาต่อมา) จากนั้นก็เริ่มขยับขยายไปยังวงการภาพยนตร์ด้วยการเล่นบทสมทบในหนังดังอย่าง Superbad และ Zombieland ส่วนหนังที่ทำให้เธอแจ้งเกิดอย่างแท้จริงในฐานะนักแสดงหญิงที่เก่งกาจและเปี่ยมพลังดารา คือ Easy A จากนั้นชื่อเสียงของเธอก็ไต่ระดับสู่สถานะซูเปอร์สตาร์นับแต่นำแสดงร่วมกับแฟนหนุ่ม แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ในหนังฮิตชุด The Amazing Spider-Man เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับแนวหน้าอย่างอินญาร์ริตู และทำท่าจะกลายเป็นนางเอกเจ้าประจำคนใหม่ของ วู้ดดี้ อัลเลน ต่อจาก สการ์เล็ต โจแฮนสัน ด้วยการเล่นหนังเขาสองเรื่องติดกัน นั่นคือ Magic in the Moonlight กับ Irrational Man ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในปีนี้ เช่นเดียวกับหนังใหม่ของผู้กำกับ คาเมรอน โครว ที่ยังไม่มีชื่อ โดยเธอจะนำแสดงร่วมกับ แบรดลีย์ คูเปอร์ และ ราเชล แม็คอดัมส์

ปีนี้เป็นปีที่สุดยอดจริงๆสโตนกล่าวถึงผลงานสองเรื่องที่เธอกวาดคำชมมาครองอย่างท่วมท้นนั่นคือ Birdman และ Cabaret “ฉันจำได้ว่าเมื่อปีหรือสองปีก่อน ฉันยังนั่งร้องไห้บนโซฟาอยู่เลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ฉันเป็นพวกบ่อน้ำตาตื้น ชอบร้องไห้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทำงานไม่ได้ดังใจ หรือเสียบทที่อยากเล่นให้กับนักแสดงคนอื่น ชีวิตฉันมักจะขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้แหละ

ใน Birdman สโตนรับบทเป็นลูกสาวของ ไมเคิล คีตัน ที่เพิ่งออกจากสถานบำบัดคนติดยาเสพติดและรู้สึกเหมือนตัวเองมองเห็นโลกได้ชัดเจนมากขึ้น เธอไม่เกรงกลัวที่จะพูดความความคิดในหัวต่อหน้าพ่อ ดูเหมือนสถานบำบัดไม่ได้ทำให้ทัศนคติมองโลกแบบเย้ยหยันของเธอลดน้อยลงแต่อย่างใด เธอไม่ลังเลที่จะโยนความผิด แล้วจิกกัดพ่อด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบ สโตนถ่ายทอดความขมขื่นในใจแซมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ลุ่มลึก คำพูดถากถางของเธอยืนอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างตลกขบขันกับแทงใจดำ เธอมองว่าโครงการสร้างละครของพ่อหาใช่งานศิลปะ หรือการแสดงออกทางด้านความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน แต่เป็นแค่ความพยายามปลุกปลอบอีโก้ เพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่อดีตดาราดังที่กำลังตกอับและไม่มีใครจดจำ มีข้อเท็จจริงซ่อนอยู่ในคำพูดของเธอ แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นการระบายความอัดอั้นส่วนตัว ความไม่พอใจที่สั่งสมมานานเนิ่นนาน ซึ่งตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผลเช่นกันเท่านั้นที่มองออก ฉากบนหลังคาโรงละครระหว่างเธอกับ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของหนังเลยทีเดียว ทั้งจากพลังเคมีอันเปี่ยมล้น และการได้เห็น เอ็มมา สโตน เติบใหญ่ในฐานะนักแสดง จนกล้าจะเดินเข้าสู่ดินแดนที่เธอไม่คุ้นเคย ทุกคนตระหนักดีว่าเธอเชี่ยวชาญจังหวะการปล่อยอารมณ์ขันมากแค่ไหน แต่ใครจะคิดว่าเธอสามารถดูอ่อนโยนและเปราะบางได้มากขนาดนั้น


เมอรีล สตรีพ (Into the Woods)

แม้จะเคยเล่น Mamma Mia มาก่อนในปี 2008 และเคยโชว์ทักษะการร้องเพลงในหนังอีกหลายเรื่องอย่าง A Prairie Home Companion และ Postcards from the Edge แต่ เมอรีล สตรีพ ยอมรับว่าทันทีที่จะได้มาร่วมแสดงใน Into the Woods หนังเพลงที่ดัดแปลงจากละครบรอดเวย์สุดฮิตของ สตีเฟน ซอนด์ไฮม์ การฝึกฝนเสียงร้องให้พร้อมใช้งานถือเป็นสิ่งจำเป็น บทละครเรื่องนี้ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์วงการละครของอเมริกา การได้ร่วมแสดงในเวอร์ชั่นหนัง ได้ร้องบทเพลงเหล่านี้ถือเป็นเกียรติสูงสุด แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นเพราะซอนด์ไฮม์ตั้งมาตรฐานไว้สูง นักแสดงเจ้าของสามรางวัลออสการ์กล่าว

ในหนังสตรีพอาจรับบทเป็นแม่มดชั่วร้าย แต่ใครๆ ต่างก็ทราบกันดีว่าตัวจริงของเธอนั้นเป็นที่เคารพนับถือและเป็นที่รักของคนในวงการอย่างมาก (การถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มากถึง 19 ครั้งถือเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดี นอกเหนือไปจากทักษะการแสดงอันเป็นเลิศของเธอ) ผู้กำกับ ร็อบ มาร์แชล บอกว่าทันทีที่เขาได้สตรีพมานำแสดง การดึงดูดดาราคนอื่นๆ ให้มาร่วมงานด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ว่าจะเป็นคนคุ้นเคยอย่าง เอมิลี บลันท์ ซึ่งเคยร่วมงานกับสตรีพใน The Devil Wears Prada แต่ไม่เคยเล่นหนังเพลงมาก่อน หรือหน้าใหม่อย่าง บิลลี แม็กนุสเซน ซึ่งมีโอกาสฉายแสงบนจอภาพยนตร์เนื่องจากสตรีพเคยดูเขาแสดงในละครชนะรางวัลโทนีเรื่อง Vanya and Sonia and Masha and Spike เมื่อปี 2013 และพยายามล็อบบี้ให้เขาได้บทเจ้าชายของราพันเซล ซึ่งถือเป็นบทเด่นบทแรกของเขาในวงการภาพยนตร์ หลังสร้างชื่อเสียงในวงการละครมานานหลายปี

เจมส์ คอร์เดน ซึ่งรับบทคนทำขนมปังที่อยากมีลูกกับภรรยา (บลันท์) เล่าถึงประสบการณ์ในวันที่สองของการซ้อมนานหนึ่งเดือนเต็มว่าสตรีพเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าใครๆ เธอสวมชุดกระโปรงและมีไม้เท้าพร้อมสรรพ แต่จังหวะที่เธอกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ รองเท้าของเธอดันไปเกี่ยวโดนปลายกระโปรง ทำให้เธอเสียหลักและกำลังจะหงายหลังลงบนพื้นหินโดยเอาหัวลงก่อน ตอนนั้นเวลาเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในใจผมคิดแค่ว่า เรากำลังจะเป็นพยานในฉากการตายของ เมอรีล สตรีพ เหรอเนี่ยจากคำบอกเล่าของคอร์เดน ผู้กำกับ ร็อบ มาแชล ก็ตกใจจนยืนตัวแข็งทื่อเช่นกัน มีเพียงบลันท์ ซึ่งตอนนั้นกำลังตั้งครรภ์ ที่พุ่งตัวไปรับสตรีพได้ทันเวลา ผมจำเหตุการณ์ได้ไม่ลืม และทุกๆ วันถัดมาผมจะคิดว่า เธอคงทุ่มสุดตัวแบบวันนั้นไม่ได้ตลอดการซ้อมหรอก แต่เธอก็ทำได้จริงๆ

การทุ่มเทเพื่องานแสดงที่ได้อารมณ์สมจริงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับสตรีพ ซึ่งโด่งดังจากหนังหลากหลายที่เธอต้องหัดพูดสำเนียงต่างชาติให้ดูน่าเชื่อถือและทำได้อย่างน่าทึ่งทุกครั้ง ตั้งแต่ Sophie’s Choice ไปจนถึง Out of Africa  และ A Cry in the Dark นอกจากนี้เธอยังท้าทายตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยการเปลี่ยนไปเล่นหนังตลกอย่าง Death Becomes Her หรือหนังแอ็กชั่นอย่าง The River Wild ซึ่งเธอลงทุนฟิตร่างกาย รวมทั้งฝึกทักษะพายเรือล่องแก่งอย่างหนักจนแทบไม่ต้องใช้ตัวแสดงแทนระหว่างถ่ายทำ ในหนังเรื่อง Into the Woods สตรีพรับบทเป็นแม่มดที่ให้สัญญากับคนทำขนมปังว่าจะถอนคำสาปให้เขากับภรรยาสามารถมีลูกได้ หากคนทำขนมปังนำของสี่อย่างมาให้เธอ นั่นคือ วัวสีขาวดุจน้ำนม ผ้าคลุมสีแดงดุจเลือด ผมสีเหลืองอร่ามดุจข้าวโพด และรองเท้าทองคำ ละครเพลงเรื่องนี้เป็นการนำเอานิทานของสองพี่น้องกริมอย่าง หนูน้อยหมวกแดง แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ราพันเซล และซินเดอเรลลามายำรวมกัน โดยส่วนใหญ่หาได้สะอาดสดใสเหมือนในเวอร์ชั่นการ์ตูนดิสนีย์ แต่กลับเต็มไปด้วยความโหดร้าย รุนแรง (เช่น แม่เลี้ยงใจร้ายในซินเดอเรลลาลงทุนเฉือนเท้าของลูกสาวเพื่อให้เธอสามารถสวมรองเท้าได้พอดี) สตรีพกล่าวว่าหนังละครเพลงของซอนด์ไฮม์ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ เด็กๆ ล่วงรู้ทุกสิ่งเพราะไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการปกป้องเด็กจากข้อเท็จจริง พวกเขาต้องเผชิญชีวิต ความตาย การป่วยไข้เฉกเช่นคนอื่นๆ เพราะโลกมีทั้งด้านที่มืดหม่นและสดใสสนุกสนาน

เมื่อย่างเข้าวัย 65 ปี นักแสดงหลายคนอาจเริ่มคิดที่จะเกษียณตัวเองจากวงการบันเทิง หรือถูกบีบให้ต้องเกษียณเนื่องจากไม่มีบทดีๆ ให้เล่น แต่ไม่ใช่สตรีพ เธอเพิ่งปิดกล้องหนังไปสองเรื่องและกำลังจะเปิดกล้องหนังอีกเรื่อง โดยหนึ่งในนั้นเธอต้องพึ่งพาทักษะการร้องเพลงอีกครั้ง นั่นคือ Ricki and the Flash เกี่ยวกับพนักงานร้านของชำที่ตัดสินใจไล่ตามความฝันของการเป็นดาวเพลงร็อค โดยนอกจากร้องเพลงเองแล้ว คราวนี้สตรีพยังต้องฝึกเล่นกีตาร์อีกด้วย มีอะไรที่ผู้หญิงคนนี้ทำไม่ได้บ้างมั้ย ในหนังเรื่อง Into the Woods ฉากเดียวของสตรีพต้องอาศัยเทคนิคพิเศษด้านภาพเข้าช่วย คือ ตอนที่แม่มดแปลงร่าง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ เมอรีล สตรีพ ทำไม่ได้เอมิลี บลันท์ กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น: