ความจริงแล้วผมมีความรู้สึกว่าชื่อเดิมของหนังเรื่องนี้
นั่นคือ How
to Win at Checkers (Every Time) ดูเหมือนจะสามารถสื่อสารใจความสำคัญของหนังได้ชัดเจน
ตรงประเด็น (แต่แน่นอนว่าคงไม่ค่อยเชิญชวนในแง่การตลาดสักเท่าไหร่)
กว่าชื่อใหม่อย่าง พี่ชาย My Hero และที่สำคัญมันยังไม่ได้ไปคล้ายคลึงกับชื่อหนังไทยเกาะกระแสวายเมื่อปีก่อนเรื่อง
พี่ชาย My Bromance จนอาจสร้างความสับสนให้กับผู้ชมทั่วไปอีกด้วย
จริงอยู่ว่าสำหรับ โอ๊ต (อิงครัต ดำรงค์ศักดิ์กุล)
หลังจากสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเล็กจนต้องย้ายมาอาศัยอยู่บ้านป้า
เขาย่อมมองเห็นพี่ชาย (ถิร ชุติกุล) เป็นเหมือนฮีโร เพราะเอกถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องทำหน้าที่เหมือนพ่อคนที่สอง
คอยเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนน้องชาย และพร้อมกันนั้นก็ต้องหาเงินมาคอยจุนเจือครอบครัว แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป
มุมมองของโอ๊ตและของคนดูต่อตัวละครอย่างเอกกลับค่อยๆ แปรเปลี่ยน เขาหาใช่วีรบุรุษ
ซึ่งถูกยกย่อง เชิดชู หรือสดุดีในแบบที่ชื่อหนังโน้มนำไปทางนั้นแต่อย่างใด บางทีถ้าหนังถูกตั้งชื่อใหม่ว่า
พี่ชาย My Tragic Hero มันอาจสื่อสารอารมณ์ได้ชัดเจนกว่า
จุดหักเหสำคัญของเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเอกต้องไปเกณฑ์ทหารและเสี่ยงดวงด้วยการจับใบดำใบแดง
โดยก่อนหน้านี้หนังได้ปูพื้นให้เห็นปัญหาความรุนแรงในภาคใต้เพื่อตอกย้ำความเสี่ยงของอาชีพทหาร
ขณะเดียวกันเอกก็ยังต้องเป็นห่วงอีกด้วยว่าใครจะคอยดูแลน้องชาย
ถ้าเขาต้องไปเข้าประจำการและเงินเดือนทหารอันน้อยนิดจะพอสำหรับประคับประคองครอบครัวให้อยู่รอดได้มั้ย
เช่นเดียวกับคำถามที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับใจ๋ (จิณณะ
นวรัตน์) แฟนหนุ่มวัยเดียวกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ
เพราะพ่อแม่เขาได้จัดการติดสินบนผู้มีอิทธิพลเรียบร้อยแล้ว เพื่อรับประกันว่าลูกชายจะต้องจับได้ใบดำ
หนังได้แรงบันดาลใจจากสองเรื่องสั้นของ
รัฐวุฒิ ลาภเจริญทรัพย์ คือ At the Café Lovely ซึ่งครอบคลุมในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง
และ Draft Day ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับการจับใบดำใบแดง
โดยการดัดแปลงของผู้กำกับชาวอเมริกัน-เกาหลี จอช คิม ให้สองตัวละครเอกจาก
Draft Day เป็นคู่รักกันแทนที่จะเป็นแค่เพื่อนสนิท นอกจากจากช่วยเพิ่มระดับความเข้มข้นทางด้านอารมณ์ให้หนักหน่วงขึ้นแล้ว
มันยังสื่อนัยยะให้เห็นการ “ชำเรา” ทางชนชั้นได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากสำคัญช่วงท้ายเรื่อง เมื่อโอ๊ตค้นพบว่าพี่ชายเขาสิ้นหวังขนาดสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อแลกกับเงินห้าพันบาท
น่าประหลาดใจที่ว่าถึงแม้
พี่ชาย My
Hero จะเดินทางไปฉายตามเทศกาลหนังเกย์และเลสเบี้ยนมาแล้วทั่วโลก
แต่ตัวหนังโดยเนื้อแท้จริงๆ กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อประเด็น หรือการสำรวจตัวตนแบบรักร่วมเพศมากนัก
ซึ่งมองในแง่หนึ่งก็ถือเป็นคุณลักษณะหัวก้าวหน้าอยู่เช่นกัน กล่าวคือ
สภาพสังคมในหนังดูเหมือนจะถูกนำเสนอว่าก้าวข้ามรสนิยมทางเพศไปแล้ว
ตัวละครผู้ชายสองคนสามารถรักกัน คบหากันได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ถูกล้อเลียน ต่อต้าน และพวกเขาก็ไม่ต้องเผชิญความสับสน
หรือปมขัดแย้งใดๆ ภายในจิตใจ ความรักระหว่างชายสองคนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
เป็นธรรมชาติที่ทุกคนยอมรับ ตรงข้ามกับช่องว่างระหว่างชนชั้น ซึ่งยังคงดำรงอยู่
และดูเหมือนจะยิ่งฝังรากลึก ดังจะเห็นได้ว่าป้าของเอกไม่เห็นชอบในความสัมพันธ์ระหว่างหลานชายกับใจ๋
ไม่ใช่เพราะทั้งคู่เป็นผู้ชาย แต่เพราะทั้งคู่มีพื้นฐานทางชนชั้นแตกต่างกันมากเกินไป
ซึ่งหนังก็ตอกย้ำให้เห็นตั้งแต่ฉากแรกๆ
เอกเปรียบเสมือนตัวแทนของชนชั้นล่างประเภทหาเช้ากินค่ำ
และรูปลักษณ์ภายนอกของเขายังสะท้อนความเป็น “ไทย” ผ่านผิวที่ค่อนข้างคล้ำและใบหน้าคมเข้ม
ขณะที่ใจ๋เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางเชื้อสายจีนผิวขาวที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง บ้านของคนหนึ่งให้ความรู้สึกแบบชนบท
ทั้งทุ่งหญ้า เกมกระดานหมากฮอส และเล้าไก่
ส่วนบ้านของอีกคนก็ให้ความรู้สึกแบบคนเมืองที่เต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก เกมทันสมัย
และความโอ่อ่า (ด้วยเหตุนี้การที่โอ๊ตเติบใหญ่กลายเป็น โทนี
รากแก่น จึงถือว่ามีน้ำหนักสอดคล้องไปกับเนื้อหาได้อย่างกลมกลืนมากกว่าจะมองว่าเป็นความไม่สมจริง)
ความแตกต่างทางด้านวัตถุ หรือรูปลักษณ์ภายนอกหาใช่อุปสรรคเมื่อคู่รักใช้เวลาเป็นส่วนตัวร่วมงาน
แต่มันกลับกลายเป็นปัญหาคุกคามเมื่อพวกเขาต้องมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก
สำหรับฟันเฟืองเล็กๆ
ในสังคมแห่งทุนนิยมที่ไร้เรี่ยวแรง ไร้เส้นสาย
และที่สำคัญที่สุดไร้เงินทุนอย่างเอก เขาไม่สามารถต้านทาน หรือมองเห็นช่องทางซิกแซ็กออกจากระบบ
กฎเกณฑ์ซึ่งตั้งขึ้นโดยชนชั้นสูงได้ ตัวช่วยเดียวที่ป้าของเขาพอจะหามาให้ได้ คือ เครื่องราง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการบนบานศาลกล่าวทั้งหลาย ซึ่งหนังเหมือนจะนำเสนอในเชิงล้อเลียนตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องว่าไม่เคยทำให้ชีวิตของใครดีขึ้นได้จริงๆ
แต่ความเจ็บปวดอยู่ตรงที่สิ่งเหล่านั้นดูจะเป็นความหวังเดียวของเหล่าประชาชนผู้ไม่ค่อยมีอันจะกินซึ่งต้นทุนชีวิตต่ำและเหลือทางเลือกอยู่ไม่มากนัก
แม้ว่ามันจะเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ เพียงใดก็ตาม
ถ้าตัวละครอย่างเอกจะเป็นฮีโร
เขาก็คงเป็นฮีโรที่น่าเศร้า เพราะถึงแม้จะเต็มไปด้วยคุณสมบัติดีงาม แต่เขาก็ไม่อาจก้าวข้ามชะตากรรม
ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วล่วงหน้าไม่ว่าจะโดยพระเจ้า พลังเหนือธรรมชาติ หรือวิถีบิดเบี้ยวของสังคมแห่งทุนนิยมก็ตาม
ด้วยเหตุนี้
บทสรุปของเอกทั้งระหว่างขั้นตอนการจับใบดำใบแดงและผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากต่อการคาดเดา
แต่โอ๊ตแตกต่างจากพี่ชายตรงที่เขาพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักแห่งชะตากรรม
แม้จะต้องอาศัยวิธี “สกปรก” ก็ตาม ความขันขื่นอยู่ตรงที่พฤติกรรมดังกล่าวของโอ๊ตนั้นเรียกได้ว่าปราศจากความชอบธรรมมากพอๆ
กับพฤติกรรมรีดไถของมาเฟียท้องถิ่น (โกวิท วัฒนกุล) หรือกระทั่งการติดสินบนของพ่อแม่ใจ๋ แต่สุดท้ายเขากลับกลายเป็นคนเดียวที่ได้รับการลงทัณฑ์
ขณะคนอื่นๆ กลับสามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมได้อย่างเปิดเผย
และคอรัปชันบางประเภทก็เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับเลือกจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เนื่องจากพวกเขาอยู่ในสถานะได้เปรียบ
หรือไม่ได้รับผลกระทบใดๆ โดยตรง
บุคลิกไม่ยอมจำนนของโอ๊ตสะท้อนชัดในฉากที่เขาลงทุนซื้อหนังสือสอนวิธีเล่นหมากฮอสให้ชนะทุกตาเพื่อจะได้ค้นหาแต้มต่อเหนือพี่ชายในเกมการเดิมพัน
และในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนเป็นชัยชนะสมดังตั้งใจ ไคล์แม็กซ์ของหนังหากมองผ่านเลนส์ของแนวทาง
coming-of-age
คือ เมื่อเอกตัดสินใจพาน้องชายไปทัวร์ที่ทำงานของเขาในค่ำคืนหนึ่ง
ซึ่งให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการออกไปผจญภัยของเหล่าเด็กๆ ใน Stand By Me เพื่อค้นหาศพเหยื่อที่ถูกรถไฟชนในป่า (ฉากหลังของหนังซึ่งให้อารมณ์ชนบทมาโดยตลอดกลับแปรเปลี่ยนเป็นกรุงเทพในฉับพลัน
โดยยั่วล้อไปกับการล่มสลายแห่งวัยเยาว์ได้อย่างเหมาะเจาะ) ค่ำคืนนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตและตราตรึงอยู่ในความทรงจำของโอ๊ตไม่ใช่เพียงเพราะเขามีโอกาสเข้าไปคลุกคลีวงในกับโลกมืดของเซ็กซ์และยาเสพติดเท่านั้น
แต่มันยังเป็นค่ำคืนที่ภาพลักษณ์ดุจวีรบุรุษของเอกในจินตนาการของน้องชายต้องพังทลายลงอย่างราบคาบ
เด็กชายได้เห็นพี่ชายเขาในสภาพที่พ่ายแพ้หมดรูป ศักดิ์ศรี
หรืออุดมการณ์ถูกปลดเปลื้องจนสูญสิ้นด้วยอารมณ์จนตรอกผสานกับความเจ็บแค้นต่อชะตากรรม
ในท้ายที่สุดสิ่งที่โอ๊ตได้เรียนรู้หาใช่คุณค่าสูงส่งของความซื่อสัตย์
เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดเหี้ยมการเล่นตามกฎหาได้ลงเอยด้วยความสุขสมหวัง
หรือชัยชนะเสมอไป หนังอาจไม่ได้บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
แต่หากสังเกตจากคอนโดหรูที่โอ๊ตวัยหนุ่ม (โทนี รากแก่น) พักอาศัยอยู่ มอเตอร์ไซค์ราคาแพงที่เขาขับ และท่าทีไม่ยี่หระใดๆ
ของเขาในการจับใบดำใบแดง คนดูก็จะพลันตระหนักได้ว่าโอ๊ตก้าวพ้นจากสถานะผู้แพ้มาเป็นผู้ชนะในที่สุด
แต่เช่นเดียวกับใจ๋ เขาไม่ได้ยินดีเสียทีเดียวที่รอดพ้นจากการปล่อยชะตากรรมไว้กับดวง
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ และยังคงถูก “หลอกหลอน”
ด้วยความฝันเกี่ยวกับคืนนั้น
มันเปรียบเสมือนความรู้สึกผิดของชนชั้นกลาง เมื่อพวกเขาตระหนักดีถึงความไม่เท่าเทียมกัน
และส่วนหนึ่งก็อาจนึกเห็นใจ สงสารชนชั้นล่างที่จำต้องอดทนกับการกดขี่
กับความอยุติธรรม กับชีวิตที่สิ้นไร้ทางเลือก แต่ขณะเดียวกันก็อ่อนแอ
เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลง
เพราะพวกเขาเสพติดในอภิสิทธิ์และชัยชนะ... ก็ใครบ้างล่ะที่อยากจะพ่ายแพ้ไปตลอด