“ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทุกสิ่งกลายเป็นอุปมา” เดวิส
(เจค จิลเลนฮาล) เขียนระบายความรู้สึกในจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาส่งไปร้องเรียนกับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัทตู้หยอดเหรียญ
หลังจากตู้หยอดเหรียญเครื่องหนึ่งที่โรงพยาบาลไม่จ่ายเอ็มแอนด์เอ็มให้เขา
เดวิสอยู่ที่โรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุรถชน ซึ่งคร่าชีวิตภรรยา จูเลีย (เฮทเธอร์ ลินด์) ขณะเขากลับได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
งานศพ การปลอบประโลม ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป โดยที่เดวิสเองก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงไม่โศกเศร้า
หรือกระทั่งเสียน้ำตาสักหยดให้การจากไปอันน่าใจหาย
เขาเกลียดภรรยา
หรือหมดรักเธอมาเนิ่นนานแล้วงั้นหรือ
เศษเสี้ยวเดียวที่หนังเปิดโอกาสให้คนดูพอจะรู้จักกับคนทั้งสอง
คือ ฉากเปิดเรื่อง ซึ่งอาจสะท้อนถึงความสัมพันธ์หมางเมิน เหินห่าง จนทุกอย่างแลดูเป็นกิจวัตรอยู่บ้าง
(ในเชิงเทคนิคภาพยนตร์ หนังจงใจตัดสลับไปมาระหว่างภาพโคลสอัพของสองตัวละครตลอดบทสนทนาร่วมกัน
ไม่มีภาพ two shot จากด้านหน้ากระจกรถ หรือช็อตข้ามไหล่
ราวกับพวกเขาต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว โดย 2-3 ครั้งที่ทั้งสองได้อยู่ร่วมช็อตเดียวกัน
กล้องจะอยู่เบาะหลังทำให้เราเห็นศีรษะเดวิสจากด้านหลัง และใบหน้าจูเลียสะท้อนผ่านกระจกส่องหลัง
หรือไม่ก็เป็นภาพโคลสอัพจูเลีย
ซึ่งมีมือของเดวิสยื่นโทรศัพท์ไปทางภรรยาเป็นแค่โฟร์กราวด์เลือนลาง) แต่ในเวลาเดียวกัน เยื่อใย ความผูกพันยังคงส่งกลิ่นอายให้สัมผัสได้จางๆ
จากมุกแซวตบท้ายของจูเลีย ซึ่งเดวิส “เก็ท” (และคนดูจะรับรู้จากภาพแฟลชแบ็ค) ก่อนช่วงเวลามรณะจะพรากเธอจากเขาไปตลอดกาล
เปรียบไปแล้วชีวิตแต่งงานของทั้งสองก็คงไม่ต่างจากรอยรั่วในตู้เย็น
ซึ่งเดวิสเพิกเฉย ปล่อยให้คาราคาซังจนระยะห่างของพวกเขาถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ในฉากหนึ่ง เดวิสเดินทางไปตรวจสุขภาพเนื่องจากอาการด้านชาครึ่งซีกบนของร่างกาย
เมื่อหมอถามว่าเป็นมานานแค่ไหน คำตอบของเขา คือ 10-12 ปี
ไม่ใช่หลังอุบัติเหตุ หรือถ้าพูดอีกอย่าง
เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในโหมดออโต้ไพลอตมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จากนั้นภาพจินตนาการในหัวเดวิสก็เผยให้เห็นว่าหัวใจเขาถูกหนอนผีเสื้อกลางคืนกัดกินจนเป็นรอยแหว่ง...
บางทีนี่กระมังที่ทำให้เขาด้านชาต่อการสูญเสีย?
เมื่อเขาโดนตะปูยาวหลายนิ้วแทงทะลุเท้า
เดวิสร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แต่ในเวลาเดียวกันก็ดีใจที่ตนเองยังสามารถรู้สึกรู้สาเหมือนคนอื่นๆ
ต่อมาเมื่อคริส (จูดาห์ ลูอิส) ถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรที่โดนยิง (ขณะสวมเสื้อเกราะกันกระสุน) คำตอบของเดวิส คือ “มันเจ็บ... แต่เป็นเจ็บแบบสะใจ”
การอุปมา
เปรียบเปรย แทนค่าความรู้สึก หรือปมปัญหา ซึ่งซับซ้อน ลึกลับ ยากจะอธิบายด้วยสิ่งต่างๆ
อันเป็นรูปธรรมของหนังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเมื่อเดวิสตัดสินใจว่าถึงเวลาเสียทีที่เขาควรจะลุกขึ้นมาสำรวจตรวจสอบชีวิตอย่างจริงจัง
เพื่อทำความเข้าใจชีวิตสมรส ความสัมพันธ์ รวมเลยไปถึงตัวเอง เขาจึงนำคำบอกเล่าของพ่อตา
ฟิล (คริส คูเปอร์) ที่ว่า “ถ้าอยากซ่อมอะไร
ให้รื้อทุกอย่าง แล้วดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่สำคัญ จากนั้นค่อยประกอบมันกลับเข้าไปใหม่”
มาปฏิบัติชนิด “ตรงตามตัวอักษร” จนกลายเป็นที่มาของชื่อหนัง แต่ในเวลาเดียวกัน
พฤติกรรมประหลาดสุดโต่งของเดวิสก็ค่อยๆ ผลักไสคนรอบข้างออกห่าง โดยเฉพาะฟิล
ซึ่งเข้าใจว่าเขาเสียสติไปแล้ว
Demolition
เป็นผลงานกำกับเรื่องที่สองติดต่อกันของ ฌอง-มาร์ค วัลลี ที่พูดถึงการดิ้นรนเพื่อรับมือกับความสูญเสียหลังจาก
Wild เมื่อปีก่อน ในเรื่องนั้นชีวิตของ เชอรีล (รีส วิทเธอร์สพูน) พลันเสียศูนย์และเริ่มดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่องหลังจากแม่ของเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
เช่นเดียวกัน หนังได้เปรียบเปรยการก้าวผ่านวิกฤติด้วยรูปธรรมของการเดินป่าบนเส้นทางอันยาวไกล
สุดแสนทรหด มันเป็นวิธีที่เชอรีลเลือกเพื่อให้เวลาตัวเองได้ทบทวนชีวิต
แล้วจัดระเบียบครั้งใหม่
สัมภาระทางอารมณ์ที่เธอแบกไว้ก็ไม่ต่างจากแบ็คแพ็คขนาดมหึมา ซึ่งเป็นอุปสรรคทำให้เธอเดินทางด้วยความยากลำบาก
และใช้เวลามากเกินควร แต่เมื่อเธอเรียนรู้ที่จะปลดเปลื้องสิ่งของไม่จำเป็นออกจากเป้
การเดินทางก็เริ่มราบรื่นขึ้นจนสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ในที่สุด
ไม่ต่างจากการเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความโกรธแค้นต่อพระเจ้า ต่อชะตากรรม และทำใจยอมรับความเจ็บปวด
โศกเศร้า ซึ่งช่วยให้เธอค้นพบความสงบสุขทางจิตใจ พร้อมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
ความแตกต่างสำคัญน่าจะอยู่ตรงที่อุปมาในผลงานชิ้นใหม่ออกจะหนักมือและดูเสแสร้งไปสักหน่อย
มันเป็นเรื่องหนึ่งที่คนเราจะ “พักยก” ชีวิตไปเดินป่าเป็นระยะทาง
1,100 ไมล์เพื่อพยายามค้นหาตัวเอง (แน่นอนการที่
Wild สร้างจากเรื่องจริงช่วยเพิ่มน้ำหนักให้มันได้ไม่น้อย) แต่การทุบทำลาย รื้อถอนบ้านหรูเพียงเพราะคุณสับสนกับชีวิตมันค่อนข้างจะเกินกว่าเหตุ
และก้าวข้ามเส้นแห่งความสมจริง น่าเชื่อถือ ไปสู่ความไร้สาระ
จริงอยู่
คนดูสามารถเข้าใจได้ว่าบ้านหลังนั้นคือตัวแทนความฝันแบบอเมริกัน การดิ้นรนเพื่อครอบครองวัตถุราคาแพง
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสารพัด ซึ่งไม่ได้ช่วยให้คุณค้นพบความสุขแท้จริง กระจก
พื้นผิวเงางาม พื้นที่ว่างโล่งโปร่ง สะท้อนความเย็นชา แข็งทื่อดุจเครื่องจักร
ขณะชีวิตดำเนินไปตามครรลองกฎเกณฑ์ ค่านิยมในสังคมที่มุ่งเน้นครอบครอง บูชาเงินทอง (เดวิสทำงานที่บริษัทจัดการลงทุนของพ่อตา
ซึ่งสร้างรายได้จากการซื้อกิจการในราคาถูก แล้วขายต่อทำกำไร เช่นเดียวกับตลาดหุ้น
พวกเขาได้เงินจากการคำนวณตัวเลข ไม่ใช่จากการสร้างสรรค์ หรือผลิตสิ่งใด
มันจับต้องไม่ได้ “เป็นแค่รหัสตัวเลขที่โอนถ่ายในอากาศ”
และด้วยเหตุนี้จึงพยายามชดเชยด้วยการใช้เงินซื้อหาสิ่งของต่างๆ
โหยหารูปธรรมที่สามารถจับต้องได้ด้วยมือ การลงแรงที่เห็นผลเบื้องหน้า แม้ว่ามันจะเป็นการพังทำลายแทนการก่อสร้างก็ตาม) แตกต่างจากบ้านของ แคเรน (นาโอมิ วัตส์) ซึ่งอาจคับแคบ ดูรกรุงรัง แต่ก็ให้อารมณ์อบอุ่น เป็น “บ้าน” มากกว่า
“ผมเกลียดบ้านหลังนี้ มันมีแต่ข้าวของเงางาม”
เดวิสกล่าวเมื่อแคเรนออกความเห็นว่าบ้านของเขาเป็นเหมือนบ้านในฝันของคนส่วนใหญ่ แต่การปฏิเสธวิถีชีวิตดั้งเดิมจำเป็นต้องไปไกลถึงขั้นซื้อรถตักดินมาพังบ้านกันเลยหรือ
บางทีบทหนังอาจต้องการเดินไต่ไปบนเส้นแบ่งอันง่อนแง่นระหว่างทีเล่นกับทีจริง ซึ่งยากที่จะรักษาสมดุล
ในแง่หนึ่งมันพยายามคุมโทนโศกเศร้า
หดหู่จนไม่อาจบรรลุสถานะแฟนตาซีเลื่อนลอยของชนชั้นกลาง
แต่ขณะเดียวกันก็พิลึกพิลั่น แปลกประหลาดเกินกว่าจะถือเป็นจริงเป็นจัง และนั่นส่งผลให้
“ไคล์แม็กซ์” ในตอนท้ายขาดพลังโน้มน้าวคนดูให้ซาบซึ้ง
อิ่มเอมไปกับการบรรลุสัจธรรมของตัวละคร แม้ เจค จิลเลนฮาล
จะพยายามทำหน้าที่ของเขาอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม
ผู้กำกับ
ฌอง-มาร์ค วัลลี อัดฉีดลูกเล่นสารพัดเพื่อเพิ่มชีวิตชีวาให้กับเรื่องราวอันคุ้นชิน
เช่น ในภาพความฝันสโลว์โมชันของเดวิส เมื่อเขาเดินตรงเข้าหากล้องท่ามกลางฝูงคนที่เคลื่อนไหวย้อนกลับ
นอกจากนี้วัลลียังเลือกใช้ลูกไม้เดิมๆ ที่เคยได้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมใน Wild
ด้วยการสอดแทรกช็อตแฟลชแบ็คเข้ามาเป็นระยะ
เมื่อตัวละครหวนคิดถึงอดีตในชั่วแวบแห่งห้วงคิดคำนึง ดุจเดียวกับชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายรอการถูกประกอบขึ้นใหม่
ต่างกันแค่คราวนี้ไม่มีฉากใดที่สามารถจับต้องเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งหมดเป็นแค่เศษเสี้ยวที่ปราศจากแรงดึงดูดไปสู่ภาพรวมของความสัมพันธ์
หรือพลังทางอารมณ์ คนดูไม่อาจสัมผัสได้ถึงสายใยเชื่อมโยงระหว่างเดวิสกับจูเลีย
แบบเดียวกับที่รู้สึกได้ระหว่างเชอรีลกับแม่ของเธอ สาเหตุสำคัญน่าจะเป็นเพราะบทหนังหันไปให้น้ำหนักกับสัมพันธภาพระหว่างเดวิสกับแคเรน
พนักงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัทตู้หยอดเหรียญ ซึ่งได้อ่านจดหมายร้องเรียนของเดวิสแล้วรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
ก่อนจะกระโจนไปสู่มิตรภาพระหว่างเดวิสกับคริส ลูกชายวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของแคเรนที่ปราศจากพ่อ
ในเวลาต่อมา
หนังไม่ได้นำเสนอพวกเขาในฐานะตัวละครที่จะมาเติมเต็มกันและกัน
แล้วลงเอยอย่างมีความสุขในสไตล์โรแมนติก-คอมเมดี้
แต่ในฐานะกลุ่มมนุษย์ผู้แตกร้าว เปราะบาง ไม่อาจเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงภายใน
แคเรนคบหาอยู่กับ คาร์ล (ซี.เจ. วิลสัน) เจ้าของบริษัทตู้หยอดเหรียญ ซึ่งเธอไม่ได้หลงรัก แต่ก็ไม่กล้าพอจะเดินจากมา
“ฉันอยากทำให้ได้แบบคุณ... ซื่อตรงกับความรู้สึก” เธอสารภาพกับเดวิสในฉากหนึ่ง ส่วนคริสเองก็กำลังสับสนกับเพศสถานะ ไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบผู้ชายหรือผู้หญิง
และหวาดกลัวเกินกว่าจะสำรวจ ตรวจสอบ
เดวิสก็ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ที่หยุดทำงาน
ประตูห้องน้ำที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด หรือตู้เย็นที่น้ำหยดตลอดเวลา
มีบางอย่างผิดปกติ เขาไม่อาจระบายความโศกเศร้าออกมาได้
เหมือนบางอย่างติดแหง็กอยู่ภายใน และจำเป็นต้องรื้อชิ้นส่วนทั้งหมดออกมาดูเพื่อค้นหาจุดบกพร่อง
ทบทวนอดีตเพื่อคลี่คลายปัจจุบันและเปิดโอกาสสู่อนาคต
เดวิสพบว่าเขาไม่มีความสุขในชีวิต ในอาชีพการงาน
ความสัมพันธ์ของเขากับจูเลียล่มสลายไปพักใหญ่แล้ว ก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุด้วยซ้ำ
และทางเดียวที่จะซ่อมแซมชีวิต คือ รื้อถอนกิจวัตร หลักปฏิบัติ ซึ่งนำพาเขามายังจุดนี้
เรียนรู้จากความผิดพลาด แล้วสร้างตัวตนใหม่จากความต้องการแท้จริงภายใน...
เมื่อนั้นเองเขาถึงจะสามารถวิ่งต่อไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น