เสน่ห์และความบันเทิงจากหนัง
“สารคดี” ของ ไมเคิล
มัวร์ มักไม่ได้เกิดจากเนื้อหา ข้อมูลความรู้ หรือซับเจ็กต์ (ผู้ถูกสัมภาษณ์/เจ้าของเรื่องราว) เป็นหลักเท่านั้น แต่กินความไปถึงทักษะการเล่าเรื่อง
ตลอดจนบุคลิกอันโดดเด่นของตัวผู้สร้างหนังด้วย อารมณ์ขันอันเจ็บแสบเป็นสิ่งที่ไม่เคยขาดแคลน
แม้กระทั่งเมื่อเขาเดินหน้าสำรวจประเด็นตึงเครียดอย่างการสังหารหมู่ในโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์
(Bowling for Columbine) หรือสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (Fahrenheit
9/11)
ความยียวนกวนบาทาของมัวร์ยังอยู่ครบถ้วน
และอาจเพิ่มระดับขึ้นด้วยซ้ำในผลงานชิ้นล่าสุดอย่าง Where to Invade Next เริ่มตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
ซึ่งมัวร์เล่าว่าเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม 4 เหล่าทัพที่เพนตากอน
ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้นำกองทัพทั้งหลายต่างต้องการคำแนะนำจากมัวร์ว่าควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
หลังจากพวกเขาทุ่มเทเงินทองจำนวนมหาศาลในการซื้อและพัฒนาอาวุธ แต่สุดท้ายอเมริกากลับไม่เคยชนะสงครามอย่างแท้จริงเลยสักครั้งนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
แถมยังมีส่วนก่อให้เกิดกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอย่างไอซิสอีกด้วย
สิ่งเดียวที่พวกเขาได้จากสงครามเหล่านั้น (เกาหลี/เวียดนาม/เลบานอน/อิรัก/อัฟกานิสถาน/ซีเรีย) คือ
สงครามเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ มัวร์จึงเสนอทางออกว่ากองทัพควรประกาศให้เหล่าทหารได้พักรบ
และเขาจะเข้ามาทำหน้าที่แทนด้วยการบุกเดี่ยวไป “รุกรานประเทศของคนผิวขาวที่ผมสามารถอ่านชื่อพวกเขาออก
แล้วนำสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการกลับมายังอเมริกา” (หลังจากกองทัพไม่สามารถนำน้ำมันกลับมาจากอิรักได้ตามสัญญา)
โดย “สิ่งต่างๆ” ที่ว่าหมายความถึงแนวคิดหลากหลาย ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือชักนำประเทศไปสู่มาตรฐานที่ดีกว่า
ตั้งแต่การออกกฎหมายให้ลูกจ้างหยุดพักร้อนแบบได้ 8 สัปดาห์ต่อปี ไปจนถึงนโยบายเรียนมหาวิทยาลัยฟรี หรือยกเลิกโทษประหารชีวิต
การเริ่มต้นสารคดีด้วยมุกตลกเสียดสีและจินตนาการข้ามขอบฟ้า (โอกาสที่นักทำหนังหัวเอียงซ้ายและต่อต้านการส่งทหารไปอิรักอย่าง
ไมเคิล มัวร์ จะได้รับเชิญจากบรรดาผู้นำกองทัพคงเป็นไปได้ยากในชั่วชีวิตนี้) ในแง่หนึ่งได้ช่วยปูพื้นให้คนดูลดกำแพงแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับความเป็นหนังสารคดี
ซึ่งต้องนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างหนักแน่น รอบด้าน และพยายามตัดทอนหรือซุกซ่อนอัตวิสัยของนักทำหนังให้แนบเนียนที่สุด
ฉากเปิดเรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ามัวร์ไม่ลังเลที่จะใช้อารมณ์ขันและเทคนิคการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ปกติทั่วไปมาสนับสนุนข้อคิดที่เขาต้องการถ่ายทอด
ฉะนั้นการตั้งแง่ในความเอียงกระเท่เร่ทางด้านข้อมูลอาจเรียกได้ว่าเป็นการมองข้ามจุดมุ่งหมายแท้จริงของหนังไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะมัวร์เองก็ออกตัวตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาตั้งใจมา “เด็ดดอกไม้
ไม่ใช่วัชพืช”
ตัวอย่างแรกที่เด่นชัด ได้แก่
เมื่อเขาพาคนดูไปรู้จักสองผัวเมียชนชั้นแรงงานชาวอิตาเลียน คนหนึ่งมีอาชีพเป็นตำรวจ
อีกคนทำงานแผนกจัดซื้อเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า ทั้งคู่ดูมีความสุข ผ่อนคลาย
และไม่เคร่งเครียด (“คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมคนอิตาเลียนถึงดูเหมือนเพิ่งมีเซ็กซ์อยู่ตลอดเวลา” มัวร์ตั้งคำถามลอยๆ กับคนดู) หนึ่งในเหตุผลที่เขาค้นพบ
คือ คนงานในอิตาลีมีวันหยุดพักร้อนมากถึง 8 สัปดาห์ต่อปี (รวมกับวันหยุดราชการ) โดยบริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้ตามปกติ
แถมในเดือนสุดท้ายของปีพวกเขายังได้เงินโบนัสเพิ่มอีกหนึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้นกฎหมายยังกำหนดให้ลูกจ้างสามารถลาคลอดได้นานถึง
5 เดือนอีกด้วย แน่นอน
หลายคนมองการยกข้อมูลดังกล่าวขึ้นมาเปรียบเทียบกับคนงานในอเมริกาว่าเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม
หรือบางคนอาจถึงขั้นก่นด่ามัวร์ว่าจงใจแหกตาประชาชน เพราะไม่เขาคิดจะนำเสนอข้อมูลในด้านตรงข้ามว่าอิตาลีมีอัตราคนว่างงานมากกว่าอเมริกาถึงสองเท่า
และครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอิตาเลียนไม่มีงานทำ (นอกเหนือจากภาระหนี้สินของประเทศที่อยู่ในระดับน้องๆ
กรีซ) โดยสาเหตุหนึ่งอาจมาจากสวัสดิการอันเลิศหรูดังที่กล่าวมาแล้วก็ได้
แต่ “วันหยุด 8 สัปดาห์ที่ได้ค่าจ้าง”
เป็นแค่รางวัลบังหน้า เป็นโอกาสให้มัวร์สร้างความบันเทิงกับคนดู
ล้อเลียน เรียกเสียงหัวเราะจากการเปรียบเทียบความแตกต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างแนวคิดของประเทศเหล่านั้นกับอเมริกา
เช่นเดียวกับระบบการศึกษา (ฟินแลนด์)
และโครงการอาหารกลางวันของเด็กๆ (ฝรั่งเศส) ในเวลาต่อมา ส่วนประเด็นจริงๆ ที่สะท้อนถึง “ปัญหา” ของอเมริกาอยู่ตรงบทสัมภาษณ์เหล่าเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ในอิตาลี
ซึ่งไม่รู้สึกว่าพวกเขาสูญเสียกำไรจากการให้พนักงานได้หยุดพักผ่อน มีสวัสดิการ
หรือพักทานกลางวันนานสองชั่วโมงที่บ้านของตัวเอง
บรรดาผู้บริหารไม่ได้มองว่าพนักงานของพวกเขาเป็นเครื่องจักร
แต่เป็นมนุษย์ที่จำเป็นต้องเอ็นจอยชีวิต
ซึ่งในแง่หนึ่งก็จะช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมระบบการศึกษาในฟินแลนด์จึงก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า เพราะเหล่าผู้ใหญ่ที่มีอำนาจตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง
หรือครูบาอาจารย์ทั้งหลายตระหนักร่วมกันว่าเด็กๆ ควรได้ใช้เวลาในช่วงชีวิตนี้อย่างเต็มที่
อยู่กับครอบครัว เล่นกีฬา เรียนรู้จากผู้คน สภาพแวดล้อม แทนการนั่งหมกมุ่นอยู่ในห้องเรียนครึ่งค่อนวัน
ก่อนจะกลับมานั่งสะสางการบ้านกองพะเนินจนถึงดึกดื่น
ที่สำคัญการกำจัดช่องว่างทางด้านมาตรฐานระหว่างโรงเรียนเอกชนกับโรงเรียนรัฐ
(ฟินแลนด์แทบจะไม่มีโรงเรียนเอกชนเลย
และกฎหมายระบุห้ามเก็บเงินค่าเล่าเรียน) ทำให้ทุกคนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า
“โรงเรียนที่ดีที่สุด คือ โรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน” เพราะทุกแห่งมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งผลลัพธ์ทางอ้อม (จากมุมมองของมัวร์) ยังมีส่วนช่วยลดช่องว่างทางชนชั้นอีกด้วยเพราะลูกๆ
ของพ่อแม่ที่ร่ำรวยจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับลูกๆ ของพ่อแม่ที่ยากจน
เติบโตมาด้วยกัน “ฉะนั้นเมื่อเติบใหญ่เป็นเศรษฐี
พวกเขาต้องทบทวนสองตลบก่อนคิดจะเอาเปรียบเพื่อนตัวเอง”
มัวร์สรุป
จากอิตาลีสู่ฝรั่งเศสสู่ฟินแลนด์
บทเรียนที่เราได้ไม่ใช่เพียงแค่รูปธรรมของสิ่งต่างๆ เช่น วันหยุดพักร้อน อาหารเปี่ยมโภชนาการ
หรือการศึกษาที่เน้นความสุขของเด็กเป็นหลัก แต่ยังรวมถึงวิถีปฏิบัติและทัศนคติระหว่างผู้คนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้รูปธรรมเหล่านั้น
ความนุ่มนวล อ่อนโยนที่นายจ้างมอบให้ลูกจ้าง การดูแลเอาใจใส่ของครูต่อนักเรียน
การดำรงอยู่ของมนุษย์ไม่ใช่เพียงเพื่อเอาตัวรอด เพื่อไต่เต้าให้บรรลุ “ความฝันแบบอเมริกัน” ความสุขสบายทางด้านวัตถุ โดยไม่สนใจใยดีคนรอบข้างอีกต่อไป สังคมที่ดีไม่ใช่สังคมแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา
“คุณอยู่เป็นสุขได้อย่างไร เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่ายังมีคนอีกหลายคนอดอยาก
ไม่มีปัญญาหาหมอ ไม่มีเงินเรียนหนังสือ”
ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งกล่าวกับมัวร์ในช่วงท้ายเรื่อง
แนวคิดดังกล่าวถูกพัฒนาไปสู่ภาพรวมที่กว้างขึ้น
พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “เพื่อนมนุษย์” เมื่อหนังเดินทางไปยังประเทศโปรตุเกส
ซึ่งยกเลิกการเอาผิดผู้ใช้ยาเสพติดมานาน 15 ปี แล้วใช้ระบบประกันสังคมถ้วนหน้าเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้น
(ผลคือตัวเลขคนติดยาเสพติดลดลง) ตามด้วยประเทศนอร์เวย์
ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษสูงสุดไว้ที่การจำคุก 21 ปี และระบบคุมขังนักโทษก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
“ฟื้นฟู” ไม่ใช่เพื่อ “แก้แค้น” (ผลคือนักโทษส่วนใหญ่ไม่กลับมากระทำผิดซ้ำซากและอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง)
“ศักดิ์ศรีความเป็นคนคือกระดูกสันหลังของสังคมเรา
กฎหมายต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพหลักการดังกล่าว”
นายตำรวจชาวโปรตุเกสให้สัมภาษณ์กับมัวร์ หลักการเดียวกันนั้นถูกนำมาใช้ที่นอร์เวย์
ซึ่งคุกมีสภาพแทบไม่ต่างจากรีสอร์ตริมทะเล
สิ่งเดียวที่พวกเขาแย่งชิงจากเหล่านักโทษ คือ อิสรภาพ นั่นถือว่ามากพอแล้ว
ในฉากหนึ่งที่กระทบจิตใจคนดูอย่างรุนแรง มัวร์ได้นั่งพูดคุยกับคุณพ่อที่สูญเสียลูกชายจากการสังหารหมู่ในปี
2011 เขาตระหนักดีว่าคนร้ายจะติดคุกไม่เกิน 21 ปี แต่ก็ไม่เคยคิดอยากฆ่าเขาเองกับมือแม้จะมีโอกาส “ถึงจะรู้ว่าเขาเลวแค่ไหน แต่มันไม่ได้ทำให้ผมมีสิทธิ์ปลิดชีวิตเขา” หนุ่มใหญ่กล่าว อีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่ถูกพูดถึง แต่ทุกคนตระหนักดี คือ
การแก้แค้นย่อมไม่ช่วยให้เขาได้ลูกชายกลับคืนมา
จุดเด่นของหนังไม่ได้อยู่ตรงการแจกแจงข้อมูลรอบด้าน
หรือละเอียดรอบคอบ
จึงไม่น่าแปลกใจหากใครจะโจมตีหนังว่านำเสนอความจริงเพียงด้านเดียว
แต่เป้าประสงค์ของมัวร์อยู่ตรงการกระตุ้นแรงบันดาลใจ แรงผลักดันเพื่อการพัฒนามากกว่านำเสนอข้อเท็จจริงด้วยความเป็นกลางแบบเดียวกับการนำเสนอข่าว
สมมุติฐานดังกล่าวยิ่งเด่นชัด เมื่อหนังในครึ่งหลังเริ่มโน้มเอียงไปยังการกระแสการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีในตูนีเซีย
(ประเทศเดียวในหนังที่นับถืออิสลามและไม่ได้อยู่ในยุโรป)
หลังรัฐบาลตั้งท่าจะกีดกันความเท่าเทียมกันในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
และไอซ์แลนด์ ซึ่งสถาบันการเงินแห่งเดียวที่รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจบริหารงานโดยผู้หญิงภายใต้กฎเหล็กว่า
“ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็ไม่ซื้อ”
จนนำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะผู้ชายถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
ทำให้พวกเขามั่นใจเกินควร กล้าได้กล้าเสียเพื่อหวังผลกำไรก้อนโต
จนนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจทางการเงินครั้งยิ่งใหญ่
มองเผินๆ
การที่หนังออกฉายในปีแห่งการเลือกตั้งอาจเป็นการแสดงจุดยืนของ ไมเคิล มัวร์ สนับสนุนให้ผู้หญิง
(อย่าง ฮิลลารี
คลินตัน) ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ เมื่อสังเกตจากโทนสดุดีสิทธิสตรีในช่วงครึ่งหลัง
แต่ความจริงแล้วมัวร์สนับสนุน เบอร์นี แซนเดอร์ส คู่แข่งคลินตันในพรรคเดโมแครต
แบบสุดลิ่มทิ่มประตูมานานหลายปี เนื่องจากนโยบายของแซนเดอร์สเน้นการเก็บภาษีเหล่าชนชั้นสูงเพื่อนำมาส่งเสริมสวัสดิการสังคม
ปฏิรูปสถาบันการเงิน ซึ่ง “ใหญ่เกินกว่าจะล้ม” จนรัฐต้องเข้ามาอุ้มในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และแซนเดอร์สยังสนับสนุนรูปแบบการบริหารประเทศแบบเดียวกับแถบสแกนดิเนเวีย
(เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน, ไอซ์แลนด์) ซึ่งผสมผสานทุนนิยมเสรีเข้ากับระบบรัฐสวัสดิการ
“ในอเมริกาคุณมีแนวคิดเรื่องความฝันแบบอเมริกา
มันเป็นดินแดนแห่งโอกาส ทุกคนต่างมีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว” ผู้บริหารหญิงคนหนึ่งตอบคำถามมัวร์ว่าทำไม “เรา” อเมริกาถึงไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างไอซ์แลนด์หลังวิกฤติ
ทำไมคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายทางการเงินถึงลอยนวลอยู่ได้ในวอลสตรีท
ทำไมเราถึงมีแบบที่พวกคุณมีไม่ได้ “แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น
เด็กทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน
หรือการรักษาพยาบาล มันไม่ใช่สังคมนิยม แค่เป็นสังคมที่ดี”
Where to Invade
Next เปรียบเสมือนคำตอบของ ไมเคิล มัวร์ ต่อการโจมตีของพวกฝ่ายขวาที่กล่าวหาว่าเขาไม่รักชาติ
ไม่เคยเห็นแง่มุมดีงามของอเมริกา แล้วพยายามจะชักนำประเทศให้ตกต่ำด้วยการวิพากษ์กฎหมายควบคุมอาวุธปืน
(Bowling for Columbine) ความโลภในตลาดหุ้นวอลสตรีท (Capitalism:
A Love Story) และความล้มเหลวของระบบประกันสุขภาพ (Sicko)
ในหนังเรื่องใหม่ มัวร์อาจตั้งข้อสงสัยต่อหลากหลายนโยบาย
หรือการแก้ปัญหาของรัฐบาล แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็แจกแจงให้เห็นว่า “สิ่งดีๆ” ในประเทศต่างๆ ที่เขาไปรุกรานนั้น
ส่วนใหญ่ล้วนได้ไอเดียมาจากอเมริกาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้เด็กรู้จักคิดตั้งคำถาม
ความกล้าหาญในการเล่นงานนายธนาคารจอมโลภ การดิ้นรนต่อสู้ของสหภาพแรงงานเพื่อให้ลูกจ้างมีชีวิตที่ดีขึ้น
การเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมกันของสตรี หรือกระทั่งการยกเลิกโทษประหาร
“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ไอเดียของยุโรป
ไม่ใช่ไอเดียแปลกใหม่ เราไม่ได้จำเป็นต้องรุกรานใครเพื่อขโมยไอเดียเหล่านี้
เพราะพวกมันเป็นไอเดียของเราอยู่แล้ว”
มัวร์สรุปในฉากสุดท้าย พร้อมกับแทรกฉากจากหนังเรื่อง The Wizard of Oz เข้ามาเพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่าสิ่งที่อเมริกาต้องการนั้น แท้จริงแล้วอยู่ใกล้ตัวเพียงนิดเดียว
แต่กลับถูกมองข้าม หรือหลงลืมไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับ “แคนซัส” สำหรับโดโรธี
ขณะเดียวกันเขายังตอกกลับใส่หน้าคนที่ตั้งท่าจะยิ้มเยาะไอเดียต่างๆ
เหล่านั้นว่าโลกสวย เป็นไปไม่ได้ ใช้กับเราไม่ได้เพราะเราแตกต่าง หรือมีข้อจำกัดโน่นนี่นั่น (ข้ออ้างซึ่งมักได้ยินบ่อยๆ
ในบ้านเรา) ด้วยหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดของหนัง นั่นคือ
เมื่อเขากับเพื่อนอีกคนเดินทางมาร่วมระลึกถึงการทลายกำแพงเบอร์ลินเมื่อปี 1989
ซึ่งเริ่มต้นจากคนสองสามคนพยายามเจาะกำแพงด้วยสิ่วกับค้อน ก่อนจะค่อยๆ
จุดประกายเป็นกระแสมวลชน และภายในช่วงเวลาไม่กี่วันทุกอย่างก็จบสิ้น กำแพงที่เหล่าผู้คนในยุคสงครามเย็นเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อคงอยู่ตลอดไป
เพื่อแบ่งแยก “เรา” กับ “เขา” ถูกทำลายลงในที่สุด สุดท้ายแล้วสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้
การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินพิสูจน์ให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้
บางครั้งจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ... ที่เราต้องการก็แค่สิ่วกับค้อน