วันเสาร์, มิถุนายน 25, 2559

Where to Invade Next: แรงบันดาลใจเหนือภววิสัย


เสน่ห์และความบันเทิงจากหนัง “สารคดี” ของ ไมเคิล มัวร์ มักไม่ได้เกิดจากเนื้อหา ข้อมูลความรู้ หรือซับเจ็กต์ (ผู้ถูกสัมภาษณ์/เจ้าของเรื่องราว) เป็นหลักเท่านั้น แต่กินความไปถึงทักษะการเล่าเรื่อง ตลอดจนบุคลิกอันโดดเด่นของตัวผู้สร้างหนังด้วย อารมณ์ขันอันเจ็บแสบเป็นสิ่งที่ไม่เคยขาดแคลน แม้กระทั่งเมื่อเขาเดินหน้าสำรวจประเด็นตึงเครียดอย่างการสังหารหมู่ในโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ (Bowling for Columbine) หรือสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (Fahrenheit 9/11)

ความยียวนกวนบาทาของมัวร์ยังอยู่ครบถ้วน และอาจเพิ่มระดับขึ้นด้วยซ้ำในผลงานชิ้นล่าสุดอย่าง Where to Invade Next เริ่มตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ซึ่งมัวร์เล่าว่าเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม 4 เหล่าทัพที่เพนตากอน ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้นำกองทัพทั้งหลายต่างต้องการคำแนะนำจากมัวร์ว่าควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร หลังจากพวกเขาทุ่มเทเงินทองจำนวนมหาศาลในการซื้อและพัฒนาอาวุธ แต่สุดท้ายอเมริกากลับไม่เคยชนะสงครามอย่างแท้จริงเลยสักครั้งนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แถมยังมีส่วนก่อให้เกิดกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอย่างไอซิสอีกด้วย สิ่งเดียวที่พวกเขาได้จากสงครามเหล่านั้น (เกาหลี/เวียดนาม/เลบานอน/อิรัก/อัฟกานิสถาน/ซีเรีย) คือ สงครามเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ มัวร์จึงเสนอทางออกว่ากองทัพควรประกาศให้เหล่าทหารได้พักรบ และเขาจะเข้ามาทำหน้าที่แทนด้วยการบุกเดี่ยวไป รุกรานประเทศของคนผิวขาวที่ผมสามารถอ่านชื่อพวกเขาออก แล้วนำสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการกลับมายังอเมริกา (หลังจากกองทัพไม่สามารถนำน้ำมันกลับมาจากอิรักได้ตามสัญญา)

โดย “สิ่งต่างๆ” ที่ว่าหมายความถึงแนวคิดหลากหลาย ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือชักนำประเทศไปสู่มาตรฐานที่ดีกว่า ตั้งแต่การออกกฎหมายให้ลูกจ้างหยุดพักร้อนแบบได้ 8 สัปดาห์ต่อปี ไปจนถึงนโยบายเรียนมหาวิทยาลัยฟรี หรือยกเลิกโทษประหารชีวิต

การเริ่มต้นสารคดีด้วยมุกตลกเสียดสีและจินตนาการข้ามขอบฟ้า (โอกาสที่นักทำหนังหัวเอียงซ้ายและต่อต้านการส่งทหารไปอิรักอย่าง ไมเคิล มัวร์ จะได้รับเชิญจากบรรดาผู้นำกองทัพคงเป็นไปได้ยากในชั่วชีวิตนี้) ในแง่หนึ่งได้ช่วยปูพื้นให้คนดูลดกำแพงแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับความเป็นหนังสารคดี ซึ่งต้องนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างหนักแน่น รอบด้าน และพยายามตัดทอนหรือซุกซ่อนอัตวิสัยของนักทำหนังให้แนบเนียนที่สุด ฉากเปิดเรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ามัวร์ไม่ลังเลที่จะใช้อารมณ์ขันและเทคนิคการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ปกติทั่วไปมาสนับสนุนข้อคิดที่เขาต้องการถ่ายทอด ฉะนั้นการตั้งแง่ในความเอียงกระเท่เร่ทางด้านข้อมูลอาจเรียกได้ว่าเป็นการมองข้ามจุดมุ่งหมายแท้จริงของหนังไปอย่างน่าเสียดาย เพราะมัวร์เองก็ออกตัวตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาตั้งใจมา เด็ดดอกไม้ ไม่ใช่วัชพืช

ตัวอย่างแรกที่เด่นชัด ได้แก่ เมื่อเขาพาคนดูไปรู้จักสองผัวเมียชนชั้นแรงงานชาวอิตาเลียน คนหนึ่งมีอาชีพเป็นตำรวจ อีกคนทำงานแผนกจัดซื้อเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า ทั้งคู่ดูมีความสุข ผ่อนคลาย และไม่เคร่งเครียด (คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมคนอิตาเลียนถึงดูเหมือนเพิ่งมีเซ็กซ์อยู่ตลอดเวลา มัวร์ตั้งคำถามลอยๆ กับคนดู) หนึ่งในเหตุผลที่เขาค้นพบ คือ คนงานในอิตาลีมีวันหยุดพักร้อนมากถึง 8 สัปดาห์ต่อปี (รวมกับวันหยุดราชการ) โดยบริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้ตามปกติ แถมในเดือนสุดท้ายของปีพวกเขายังได้เงินโบนัสเพิ่มอีกหนึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้นกฎหมายยังกำหนดให้ลูกจ้างสามารถลาคลอดได้นานถึง 5 เดือนอีกด้วย แน่นอน หลายคนมองการยกข้อมูลดังกล่าวขึ้นมาเปรียบเทียบกับคนงานในอเมริกาว่าเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม หรือบางคนอาจถึงขั้นก่นด่ามัวร์ว่าจงใจแหกตาประชาชน เพราะไม่เขาคิดจะนำเสนอข้อมูลในด้านตรงข้ามว่าอิตาลีมีอัตราคนว่างงานมากกว่าอเมริกาถึงสองเท่า และครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอิตาเลียนไม่มีงานทำ (นอกเหนือจากภาระหนี้สินของประเทศที่อยู่ในระดับน้องๆ กรีซ) โดยสาเหตุหนึ่งอาจมาจากสวัสดิการอันเลิศหรูดังที่กล่าวมาแล้วก็ได้

แต่ วันหยุด 8 สัปดาห์ที่ได้ค่าจ้างเป็นแค่รางวัลบังหน้า เป็นโอกาสให้มัวร์สร้างความบันเทิงกับคนดู ล้อเลียน เรียกเสียงหัวเราะจากการเปรียบเทียบความแตกต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างแนวคิดของประเทศเหล่านั้นกับอเมริกา เช่นเดียวกับระบบการศึกษา (ฟินแลนด์) และโครงการอาหารกลางวันของเด็กๆ (ฝรั่งเศส) ในเวลาต่อมา ส่วนประเด็นจริงๆ ที่สะท้อนถึง ปัญหา ของอเมริกาอยู่ตรงบทสัมภาษณ์เหล่าเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ในอิตาลี ซึ่งไม่รู้สึกว่าพวกเขาสูญเสียกำไรจากการให้พนักงานได้หยุดพักผ่อน มีสวัสดิการ หรือพักทานกลางวันนานสองชั่วโมงที่บ้านของตัวเอง บรรดาผู้บริหารไม่ได้มองว่าพนักงานของพวกเขาเป็นเครื่องจักร แต่เป็นมนุษย์ที่จำเป็นต้องเอ็นจอยชีวิต ซึ่งในแง่หนึ่งก็จะช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมระบบการศึกษาในฟินแลนด์จึงก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า เพราะเหล่าผู้ใหญ่ที่มีอำนาจตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือครูบาอาจารย์ทั้งหลายตระหนักร่วมกันว่าเด็กๆ ควรได้ใช้เวลาในช่วงชีวิตนี้อย่างเต็มที่ อยู่กับครอบครัว เล่นกีฬา เรียนรู้จากผู้คน สภาพแวดล้อม แทนการนั่งหมกมุ่นอยู่ในห้องเรียนครึ่งค่อนวัน ก่อนจะกลับมานั่งสะสางการบ้านกองพะเนินจนถึงดึกดื่น

ที่สำคัญการกำจัดช่องว่างทางด้านมาตรฐานระหว่างโรงเรียนเอกชนกับโรงเรียนรัฐ (ฟินแลนด์แทบจะไม่มีโรงเรียนเอกชนเลย และกฎหมายระบุห้ามเก็บเงินค่าเล่าเรียน) ทำให้ทุกคนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า โรงเรียนที่ดีที่สุด คือ โรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน เพราะทุกแห่งมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งผลลัพธ์ทางอ้อม (จากมุมมองของมัวร์) ยังมีส่วนช่วยลดช่องว่างทางชนชั้นอีกด้วยเพราะลูกๆ ของพ่อแม่ที่ร่ำรวยจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับลูกๆ ของพ่อแม่ที่ยากจน เติบโตมาด้วยกัน ฉะนั้นเมื่อเติบใหญ่เป็นเศรษฐี พวกเขาต้องทบทวนสองตลบก่อนคิดจะเอาเปรียบเพื่อนตัวเอง มัวร์สรุป

จากอิตาลีสู่ฝรั่งเศสสู่ฟินแลนด์ บทเรียนที่เราได้ไม่ใช่เพียงแค่รูปธรรมของสิ่งต่างๆ เช่น วันหยุดพักร้อน อาหารเปี่ยมโภชนาการ หรือการศึกษาที่เน้นความสุขของเด็กเป็นหลัก แต่ยังรวมถึงวิถีปฏิบัติและทัศนคติระหว่างผู้คนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้รูปธรรมเหล่านั้น ความนุ่มนวล อ่อนโยนที่นายจ้างมอบให้ลูกจ้าง การดูแลเอาใจใส่ของครูต่อนักเรียน การดำรงอยู่ของมนุษย์ไม่ใช่เพียงเพื่อเอาตัวรอด เพื่อไต่เต้าให้บรรลุ ความฝันแบบอเมริกัน ความสุขสบายทางด้านวัตถุ โดยไม่สนใจใยดีคนรอบข้างอีกต่อไป สังคมที่ดีไม่ใช่สังคมแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา คุณอยู่เป็นสุขได้อย่างไร เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่ายังมีคนอีกหลายคนอดอยาก ไม่มีปัญญาหาหมอ ไม่มีเงินเรียนหนังสือ ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งกล่าวกับมัวร์ในช่วงท้ายเรื่อง

แนวคิดดังกล่าวถูกพัฒนาไปสู่ภาพรวมที่กว้างขึ้น พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนมนุษย์ เมื่อหนังเดินทางไปยังประเทศโปรตุเกส ซึ่งยกเลิกการเอาผิดผู้ใช้ยาเสพติดมานาน 15 ปี แล้วใช้ระบบประกันสังคมถ้วนหน้าเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้น (ผลคือตัวเลขคนติดยาเสพติดลดลง) ตามด้วยประเทศนอร์เวย์ ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษสูงสุดไว้ที่การจำคุก 21 ปี และระบบคุมขังนักโทษก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ฟื้นฟูไม่ใช่เพื่อแก้แค้น (ผลคือนักโทษส่วนใหญ่ไม่กลับมากระทำผิดซ้ำซากและอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง)

ศักดิ์ศรีความเป็นคนคือกระดูกสันหลังของสังคมเรา กฎหมายต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพหลักการดังกล่าว นายตำรวจชาวโปรตุเกสให้สัมภาษณ์กับมัวร์ หลักการเดียวกันนั้นถูกนำมาใช้ที่นอร์เวย์ ซึ่งคุกมีสภาพแทบไม่ต่างจากรีสอร์ตริมทะเล สิ่งเดียวที่พวกเขาแย่งชิงจากเหล่านักโทษ คือ อิสรภาพ นั่นถือว่ามากพอแล้ว ในฉากหนึ่งที่กระทบจิตใจคนดูอย่างรุนแรง มัวร์ได้นั่งพูดคุยกับคุณพ่อที่สูญเสียลูกชายจากการสังหารหมู่ในปี 2011 เขาตระหนักดีว่าคนร้ายจะติดคุกไม่เกิน 21 ปี แต่ก็ไม่เคยคิดอยากฆ่าเขาเองกับมือแม้จะมีโอกาส ถึงจะรู้ว่าเขาเลวแค่ไหน แต่มันไม่ได้ทำให้ผมมีสิทธิ์ปลิดชีวิตเขา หนุ่มใหญ่กล่าว อีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่ถูกพูดถึง แต่ทุกคนตระหนักดี คือ การแก้แค้นย่อมไม่ช่วยให้เขาได้ลูกชายกลับคืนมา

จุดเด่นของหนังไม่ได้อยู่ตรงการแจกแจงข้อมูลรอบด้าน หรือละเอียดรอบคอบ จึงไม่น่าแปลกใจหากใครจะโจมตีหนังว่านำเสนอความจริงเพียงด้านเดียว แต่เป้าประสงค์ของมัวร์อยู่ตรงการกระตุ้นแรงบันดาลใจ แรงผลักดันเพื่อการพัฒนามากกว่านำเสนอข้อเท็จจริงด้วยความเป็นกลางแบบเดียวกับการนำเสนอข่าว สมมุติฐานดังกล่าวยิ่งเด่นชัด เมื่อหนังในครึ่งหลังเริ่มโน้มเอียงไปยังการกระแสการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีในตูนีเซีย (ประเทศเดียวในหนังที่นับถืออิสลามและไม่ได้อยู่ในยุโรป) หลังรัฐบาลตั้งท่าจะกีดกันความเท่าเทียมกันในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และไอซ์แลนด์ ซึ่งสถาบันการเงินแห่งเดียวที่รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจบริหารงานโดยผู้หญิงภายใต้กฎเหล็กว่า ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็ไม่ซื้อ จนนำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะผู้ชายถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ทำให้พวกเขามั่นใจเกินควร กล้าได้กล้าเสียเพื่อหวังผลกำไรก้อนโต จนนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจทางการเงินครั้งยิ่งใหญ่

มองเผินๆ การที่หนังออกฉายในปีแห่งการเลือกตั้งอาจเป็นการแสดงจุดยืนของ ไมเคิล มัวร์ สนับสนุนให้ผู้หญิง (อย่าง ฮิลลารี คลินตัน) ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ เมื่อสังเกตจากโทนสดุดีสิทธิสตรีในช่วงครึ่งหลัง แต่ความจริงแล้วมัวร์สนับสนุน เบอร์นี แซนเดอร์ส คู่แข่งคลินตันในพรรคเดโมแครต แบบสุดลิ่มทิ่มประตูมานานหลายปี เนื่องจากนโยบายของแซนเดอร์สเน้นการเก็บภาษีเหล่าชนชั้นสูงเพื่อนำมาส่งเสริมสวัสดิการสังคม ปฏิรูปสถาบันการเงิน ซึ่ง ใหญ่เกินกว่าจะล้ม จนรัฐต้องเข้ามาอุ้มในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และแซนเดอร์สยังสนับสนุนรูปแบบการบริหารประเทศแบบเดียวกับแถบสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน, ไอซ์แลนด์) ซึ่งผสมผสานทุนนิยมเสรีเข้ากับระบบรัฐสวัสดิการ

ในอเมริกาคุณมีแนวคิดเรื่องความฝันแบบอเมริกา มันเป็นดินแดนแห่งโอกาส ทุกคนต่างมีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวผู้บริหารหญิงคนหนึ่งตอบคำถามมัวร์ว่าทำไม เรา อเมริกาถึงไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างไอซ์แลนด์หลังวิกฤติ ทำไมคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายทางการเงินถึงลอยนวลอยู่ได้ในวอลสตรีท ทำไมเราถึงมีแบบที่พวกคุณมีไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เด็กทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือการรักษาพยาบาล มันไม่ใช่สังคมนิยม แค่เป็นสังคมที่ดี

Where to Invade Next เปรียบเสมือนคำตอบของ ไมเคิล มัวร์ ต่อการโจมตีของพวกฝ่ายขวาที่กล่าวหาว่าเขาไม่รักชาติ ไม่เคยเห็นแง่มุมดีงามของอเมริกา แล้วพยายามจะชักนำประเทศให้ตกต่ำด้วยการวิพากษ์กฎหมายควบคุมอาวุธปืน (Bowling for Columbine) ความโลภในตลาดหุ้นวอลสตรีท (Capitalism: A Love Story) และความล้มเหลวของระบบประกันสุขภาพ (Sicko) ในหนังเรื่องใหม่ มัวร์อาจตั้งข้อสงสัยต่อหลากหลายนโยบาย หรือการแก้ปัญหาของรัฐบาล แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็แจกแจงให้เห็นว่า สิ่งดีๆ ในประเทศต่างๆ ที่เขาไปรุกรานนั้น ส่วนใหญ่ล้วนได้ไอเดียมาจากอเมริกาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้เด็กรู้จักคิดตั้งคำถาม ความกล้าหาญในการเล่นงานนายธนาคารจอมโลภ การดิ้นรนต่อสู้ของสหภาพแรงงานเพื่อให้ลูกจ้างมีชีวิตที่ดีขึ้น การเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมกันของสตรี หรือกระทั่งการยกเลิกโทษประหาร

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ไอเดียของยุโรป ไม่ใช่ไอเดียแปลกใหม่ เราไม่ได้จำเป็นต้องรุกรานใครเพื่อขโมยไอเดียเหล่านี้ เพราะพวกมันเป็นไอเดียของเราอยู่แล้ว มัวร์สรุปในฉากสุดท้าย พร้อมกับแทรกฉากจากหนังเรื่อง The Wizard of Oz เข้ามาเพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่าสิ่งที่อเมริกาต้องการนั้น แท้จริงแล้วอยู่ใกล้ตัวเพียงนิดเดียว แต่กลับถูกมองข้าม หรือหลงลืมไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับ แคนซัส สำหรับโดโรธี

ขณะเดียวกันเขายังตอกกลับใส่หน้าคนที่ตั้งท่าจะยิ้มเยาะไอเดียต่างๆ เหล่านั้นว่าโลกสวย เป็นไปไม่ได้ ใช้กับเราไม่ได้เพราะเราแตกต่าง  หรือมีข้อจำกัดโน่นนี่นั่น (ข้ออ้างซึ่งมักได้ยินบ่อยๆ ในบ้านเรา) ด้วยหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดของหนัง นั่นคือ เมื่อเขากับเพื่อนอีกคนเดินทางมาร่วมระลึกถึงการทลายกำแพงเบอร์ลินเมื่อปี 1989 ซึ่งเริ่มต้นจากคนสองสามคนพยายามเจาะกำแพงด้วยสิ่วกับค้อน ก่อนจะค่อยๆ จุดประกายเป็นกระแสมวลชน และภายในช่วงเวลาไม่กี่วันทุกอย่างก็จบสิ้น กำแพงที่เหล่าผู้คนในยุคสงครามเย็นเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อคงอยู่ตลอดไป เพื่อแบ่งแยก เรา กับ เขา ถูกทำลายลงในที่สุด สุดท้ายแล้วสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้ การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินพิสูจน์ให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ บางครั้งจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ... ที่เราต้องการก็แค่สิ่วกับค้อน  

วันพุธ, มิถุนายน 15, 2559

Embrace of the Serpent: อารยธรรมสูญสลาย


โดยปกติแล้วหนังที่พูดถึงลัทธิอาณานิคม หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง ส่วนใหญ่มักจะถ่ายทอดผ่านมุมมองของคนผิวขาว (หรือผู้บุกรุก) แม้กระทั่งหนังที่แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ (ในบางกรณีก็อาจถึงขั้นสร้างภาพโรแมนติก) ในชนเผ่าพื้นเมือง และวิพากษ์ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเจ้าอาณานิคมกับคนท้องถิ่นอย่าง A Passage to India (1984) ซึ่งมีฉากหลังเป็นประเทศอินเดียก่อนประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ หรือ Dances with Wolves ซึ่งพูดถึงการยึดครองดินแดนฝั่งตะวันตกของคนผิวขาวโดยการฆ่าและขับไล่ชนเผ่าอินเดียนแดง ข้อเท็จจริงดังกล่าวสามารถใช้อ้างอิงได้กับหนังที่มีฉากหลังเป็นป่าอเมซอนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น The Mission (1986) ซึ่งตัวเอกเป็นมิชชันนารีที่เดินทางไปเผยแผ่ศาสนา Fitzcarraldo (1982) ซึ่งตัวเอกเป็นเจ้าของสวนยางที่ฝันอยากสร้างโรงโอเปรากลางป่าดงดิบ หรือ The Emerald Forest (1985) ซึ่งตัวเอกเป็นวิศวกรเดินทางไปคุมงานสร้างเขื่อนในประเทศบราซิลก่อนลูกชายของเขาจะถูกชนเผ่าในอเมซอนจับตัวไป

ด้วยเหตุนี้ การมาถึงของ Embrace of the Serpent จึงถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะแม้ต้นกำเนิดของหนังจะได้แรงบันดาลใจจากบันทึกของนักสำรวจผิวขาวสองคน นั่นคือ นักชาติพันธุ์วิทยาชาวเยอรมัน ธีโอดอร์ คอช-กรุนเบิร์ก และนักชีววิทยาชาวอเมริกัน ริชาร์ด อีแวนส์ ชูลท์ส แต่ตัวละครเอกของหนังกลับเป็นชาวพื้นเมือง การามากาเต ตัวละครที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเชื่อมโยงสองเส้นเรื่องเข้าด้วยกัน การามากาเตเป็นหมอผีแห่งป่าอเมซอน และบุคคลสุดท้ายของชนเผ่าโกฮุยโนที่เหลือรอดอยู่ หลังชาวยุโรปแผ่ขยายอาณาจักรเพื่อทำสวนยาง และเข่นฆ่า พร้อมกับบีบบังคับชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมากมาเป็นแรงงานทาส เขาออกเดินทางร่วมกับสองนักสำรวจผิวขาวเพื่อเสาะหาพืชหายาก ยากรูนา โดยในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ราวปี 1909 การามากาเตวัยหนุ่ม (นิลบิโอ ตอร์เรส) ได้ช่วยเหลือธีโอ (แจน บิจัวต์) ซึ่งกำลังป่วยหนัก ค้นหายากรูนาเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะรักษาเขาได้ แม้จะเกลียดชังคนผิวขาว แต่การามากาเตยินยอมช่วยเหลือธีโอ เมื่อฝ่ายหลังอ้างว่าเขาเพิ่งจะบอกลาชนเผ่าโกฮุยโนมาได้ 2-3 ปี พวกเขาที่เหลือรอด (แม้จะมีจำนวนแค่ไม่กี่คน) เป็นผู้มอบสร้อยคอแบบเดียวกับที่การามากาเตห้อยอยู่เป็นของขวัญแก่ธีโอ การเดินทางครั้งนี้จึงไม่ใช่เพื่อช่วยชีวิตธีโอเท่านั้น แต่ยังเป็นความพยายามหวนคืนสู่รากเหง้าของการามากาเต ค้นหาเส้นใยสุดท้ายซึ่งเชื่อมโยงเขากับถิ่นกำเนิด

สามสิบกว่าปีต่อมา อีแวน (ไบรออน เดวิส) ได้เดินทางสำรวจตามรอยบันทึกของธีโอเพื่อค้นหายากรูนาเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อรักษาโรคภัยทางกาย แต่เป็นโรคภัยทางจิตใจ เขาหวังว่ายากรูนาจะช่วยบำบัดอาการป่วยทางจิตวิญญาณของสังคมยุคใหม่ ที่ทำให้เขาไม่อาจ ฝัน ขณะนอนหลับได้อีกต่อไป อีแวนตามหาการามากาเตในวัยชราจนพบ (รับบทโดย แอนโตนีโอ โบลิวาร์ ซัลวาดอร์ หนึ่งในสมาชิกเผ่าโอเคนา ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน) ที่อาศัยอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในป่าลึก การปลีกวิเวกทำให้เขากลายเป็นเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ ตัดขาดจากผู้คนและรากเหง้าเพราะเขาเป็นคนสุดท้ายของชนเผ่าที่ยังมีชีวิต สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความทรงจำอันเลือนลาง เขาร่ำไห้ที่ไม่อาจสื่อสารกับสิ่งแวดล้อม หรือกระทั่งจดจำวิธีปรุงยาได้อีกต่อไป ในฉากหนึ่งอีแวนลงมือปรุงยาตามวิถีดั้งเดิม ซึ่งเป็นองค์ความรู้โบราณที่ถูกถ่ายทอดจากการจดบันทึกของธีโอ ขณะการามากาเตใช้วิธีถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ฉะนั้นเมื่อชนเผ่าของเขาสูญหาย องค์ความรู้เหล่านั้นก็พลอยสูญหายไปด้วย หลงเหลืออยู่เพียงกลิ่นอายอันเจือจางจากภาพวาดบนแผ่นหิน การามากาเตยินยอมเดินทางไปกับชายหนุ่มพร้อมความหวังไม่ใช่เพื่อค้นหาสมาชิกที่เหลืออยู่ของชนเผ่าเขา แต่เพื่อค้นหาตัวตนที่เหลืออยู่ของเขา

แม้ต้นกำเนิดของหนังจะมาจากบันทึกข้อเท็จจริง รวมถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แต่  ไซโร กูเออร์รา ผู้กำกับคลื่นลูกใหม่ของโคลอมเบีย (หนังของเขาเรื่อง The Wandering Shadows และ The Wind Journeys เคยถูกส่งเป็นตัวแทนโคลอมเบียในการเข้าชิงออสการ์สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 2004 และ 2009 ตามลำดับ ก่อนสุดท้ายจะประสบความสำเร็จในครั้งที่สาม นี่ถือเป็นหนังแจ้งเกิดให้กับกูเออร์ราอย่างแท้จริง หลังจากมันเดินหน้ากวาดรางวัลมากมายรวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ในสาย Director’s Fortnight) เลือกจะผสมผสานความเชื่อ ตำนานพื้นบ้านลงไปคลุกเคล้าในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน เพราะเขาไม่เพียงต้องการถ่ายทอดเรื่องราวการผจญภัยผ่านตัวละครอินเดียน มอบสุ้มเสียงให้กับชนเผ่าอเมซอนเท่านั้น แต่ยังต้องการพาผู้ชมไปสัมผัสวัฒนธรรม วิถีปฏิบัติ ตลอดจนหลักการดำรงชีวิตที่แตกต่างอีกด้วย เมื่อ ความจริงหาใช่สิ่งที่สัมผัสได้ หรือมองเห็นเบื้องหน้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงความฝันและจินตนาการ

กูเออร์ราอธิบายที่มาของชื่อหนังไว้ว่า ตามตำนานของชาวอเมซอน สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกเดินทางจากทางช้างเผือกลงมายังโลกบนงูยักษ์อนาคอนดา พวกเขาลงมายังมหาสมุทร เดินทางเข้าสู่อเมซอนโดยแวะเยี่ยมชุมชนที่มีผู้คนอาศัยอยู่ พร้อมกับทิ้งต้นแบบเพื่ออธิบายแต่ละชุมชนว่าควรใช้ชีวิตบนโลกอย่างไร เก็บเกี่ยว ตกปลา ล่าสัตว์อย่างไร จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกลับสู่ทางช้างเผือก เหลือไว้เพียงอนาคอนดาซึ่งกลายเป็นแม่น้ำ และผิวหนังเหี่ยวย่นของมันซึ่งกลายเป็นน้ำตก นอกจากนี้ พวกเขายังทิ้งของขวัญไว้ให้ 2-3 อย่างเช่น โคคา (พืชที่นำใบมาสกัดเป็นโคเคน) ยาสูบ และอะยาอวสคา (สมุนไพรที่มีฤทธิ์กล่อมประสาท) ซึ่งคุณใช้สำหรับติดต่อพวกเขา หากมีคำถาม หรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำรงอยู่บนโลก เมื่อคุณใช้อะยาอวสคา งูยักษ์จะลงมาจากทางช้างเผือกอีกครั้งแล้วโอบรัดคุณ พาคุณไปยังสถานที่อันไกลโพ้น ไปยังจุดเริ่มต้น ซึ่งชีวิตยังไม่ถือกำเนิด ไปยังสถานที่ซึ่งคุณจะมองเห็นโลกแตกต่างออกไป1

ความพยายามจะรักษาสมดุลระหว่างประวัติศาสตร์กับตำนานคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้กูเออร์ราตัดสินใจถ่ายหนังเป็นขาวดำ เพราะในแง่หนึ่งมันสอดคล้อง ได้อารมณ์แบบเดียวกับภาพถ่ายจริงจากอเมซอนในยุคนั้นของชูลท์สกับคอช-กรุนเบิร์ก แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็ให้อารมณ์เหนือจริง เมื่อสีเขียวอันโดดเด่นของป่าอเมซอนถูกสูบออกจนเหือดแห้ง เหลือเพียงหลากหลายเฉดของสีเทาเพื่อเปิดช่องว่างให้คนดูใส่จินตนาการเข้าไป (ถ้าไม่นับว่ามันมีส่วนช่วยฉุดให้ช็อตไซเคเดลิกในช่วงท้ายเรื่องโดดเด่นยิ่งขึ้น ราวกับหนังจะบอกว่าภาพหลอนจากยากรูนา ซึ่งคล้ายคลึงกับภาพวาดจากความฝันของธีโอและภาพวาดบนแผ่นหินของการามากาเต มี ความจริง มากกว่าศาสตร์แห่งตะวันตก)2 นอกจากนี้ภาพขาวดำยังให้ความรู้สึกของอดีต การผันผ่านของเวลาที่ไม่อาจเรียกคืน ซึ่งตอบสนองเนื้อหาของหนังได้งดงาม และเศร้าสะเทือนใจ

ไม่ต้องสงสัยว่า Embrace of the Serpent วิพากษ์ความโหดร้ายของลัทธิอาณานิคมอย่างเจ็บแสบ ทั้งความโหดร้ายแบบตรงไปมาตรงมาดังเช่นฉากแรงงานทาสชาวพื้นเมืองในสภาพพิกลพิการวิ่งมาโกยน้ำยางกลับใส่ถังอย่างสิ้นหวัง หลังจากมันดูกา (ยัวเอนกู มิไกว) ปัดถังหล่นจากต้นยางด้วยความโกรธแค้น (รอยแผลเป็นบนแผ่นหลังของมันดูกาบ่งบอกชัดเจนว่าเขาเองก็เคยผ่านนรกบนดินของสถานะทาสในสวนยางมาก่อน) และความโหดร้ายที่เคลือบฉาบด้วยความปรารถนาดีดังเช่นฉากที่การามากาเตและธีโอเดินทางมาถึงหมู่บ้านริมแม่น้ำ ซึ่งเคยเป็นสวนยางแต่ถูกแปลงให้กลายเป็นโบสถ์คาทอลิกภายใต้การดูแลของนักบวชชาวสเปน พวกเขาสร้างชุมชนจากเหล่า เด็กกำพร้าของสงครามยาง บีบบังคับให้ชาวพื้นเมืองลืมภาษา วัฒนธรรมท้องถิ่น แล้วสื่อสารด้วยภาษาสเปน ร้องสวดเป็นภาษาละติน เลื่อมใสศรัทธาในพระเยซูเจ้า หากเด็กคนไหนแหกคอกก็จะถูกจับมัดกับเสาและเฆี่ยนตี พวกเขาอ้างความว่านำความศิวิไลซ์ ศาสนา ตลอดจนความรู้มาสู่บ้านป่าเมืองเถื่อน ซึ่งเต็มไปด้วยความโง่เขลาและลัทธิกินเนื้อคน ความพยายามของกาลามากาเตที่จะสอนเด็กๆ ไม่ให้ลืมรากเหง้ากลับถูกกล่าวหาจากบาทหลวงว่าเป็นการชักนำปีศาจมาสู่ชุมชน สร้างความแปดเปื้อนแก่เด็กๆ ผู้บริสุทธิ์

ความหดหู่ของฉากดังกล่าวแปรเปลี่ยนเป็นความสยดสยอง บ้าคลั่งเต็มรูปแบบ เมื่อการามากาเตกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้งในหลายทศวรรษถัดมา โดยคราวนี้มีอีแวนเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง เนื่องจากมันได้กลายสภาพเป็นเหมือนฐานทัพของผู้พันเคิร์ทซ์ใน Apocalypse Now เมื่อเด็กๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกล้างสมองเต็มรูปแบบ การลงโทษเฆี่ยนตีไม่จำเป็นต้องถูกบังคับอีกต่อไป แต่เกิดจากความยินยอม ส่วนผู้พันเคิร์ทซ์ก็ปรากฏตัวขึ้นในรูปของนักบวชคลั่งศาสนาที่เชื่อว่าตัวเองคือ สิ่งเดียวที่ศักดิ์สิทธิ์ในป่าแห่งนี้ หรือพระเยซูผู้มาโปรดโลก และท่ามกลางภาวะประสาทหลอน (จากยาที่การามากาเตปรุงให้) เขาได้เชื้อเชิญเหล่าสานุศิษย์ทั้งหลายให้มากัดกินเนื้อสดๆ ของเขา

หนังพลิบตลบให้เห็นมุมมองของอินเดียนต่อคนขาว ผ่านเรื่องราวการปะทะกันของโลกสองใบ องค์ความรู้สองแบบ ซึ่งสะท้อนผ่านวิธีเล่าเรื่องแบบตัดสลับสองเหตุการณ์ผจญภัยที่เกิดขึ้นห่างจากกันหลายสิบปี ครั้งแรกระหว่างอินเดียนหนุ่มกับชายชราผิวขาว และครั้งที่สองระหว่างอินเดียนชรากับชายหนุ่มผิวขาว ชาวอินเดียนเป็นคนเดียวกัน ขณะที่คนผิวขาวในแง่หนึ่งก็อาจพูดได้ว่าเป็นคนเดียวกัน เพราะชูลท์สเดินตามรอยของคอช-กรุนเบิร์กเพื่อบันทึกการมีอยู่ของวัฒนธรรมในผืนป่าอเมซอน พวกเขาเป็นตัวแทนของความรู้สมัยใหม่ (คนหนึ่งมีกล้องถ่ายรูป อีกคนมีเครื่องเล่นแผ่นเสียง) แต่ในเวลาเดียวกันก็นำมาซึ่งการทำลายล้าง ความตาย และลัทธิวัตถุนิยม การามากาเตคือตัวแทนของชนเผ่าที่ยึดถือตามกฎแห่งธรรมชาติ ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมเนียมที่สืบทอดมาหลายชั่วคน เขาไม่เห็นความสำคัญของเงินตรา (“รสชาติมันไม่ได้เรื่อง”) และเซ้าซี้ให้เพื่อนร่วมเดินทางโยนกระเป๋าสัมภาระทั้งหลายลงน้ำ เพราะพวกมันเป็นแค่ สิ่งของ เขาเป็น คนเถื่อนใจธรรมที่ฉลาด ภาคภูมิ แต่ก็น่าเศร้าไปพร้อมๆ กัน เพราะไม่อาจต้านทานสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์

กาลามากาเตดูจะตระหนักในความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวดี เมื่อเขาต่อว่าธีโอที่พยายามทวงคืนเข็มทิศจากชาวอินเดียน ด้วยข้ออ้างว่าคนพวกนี้อ่านทิศทางจากดวงดาวและพระจันทร์ ศาสตร์ดังกล่าวจะสูญหายหากพวกเขาหันมาใช้เข็มทิศแทน คุณเป็นใครถึงได้ปิดกั้นความรู้ เขาย้อนถามธีโอ แต่เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึงชนเผ่า (ที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน) ของเขาบ้าง กาลามากาเตกลับเลือกจะทำลายความรู้แทนการหยิบยื่นให้คนขาวผู้ตะกละตะกลามและกระหายสงคราม เช่นเดียวกับภาพงูเขมือบไข่ของตัวเอง หรือพวกเดียวกันในฉากเครดิตต้นเรื่อง และภาพเสือดาวล่าเหยื่อในช่วงท้ายเรื่อง วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองกำลังถูกกลืนกินดังจะเห็นได้จากสภาพของเพื่อนร่วมเผ่าการามากาเตที่เหลืออยู่ ชายฝั่งจำนวนมากตลอดเส้นทางของแม่น้ำ ซึ่งเปรียบได้กับความหลากหลายของชนเผ่าต่างๆ กำลังสูญสลายอย่างไม่อาจเรียกคืน

สุดท้ายความเศร้าของ Embrace of the Serpent จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความโหดเหี้ยมที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอารยธรรมที่หล่นหายไปจากโลก เหลือเพียงความทรงจำอันเลือนลางและตำนานที่เล่าขาน
               
หมายเหตุ

1. อ้างอิงจากเว็บไซต์ www.cinetaste.com
2. งานวิจัยของ ริชาร์ด อีแวนส์ ชูลท์ส ในป่าอเมซอนมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการด้านการผลิตยางและยาที่ออกฤทธิ์หลอนประสาท ในปี 1979 เขากับ ดร.อัลเบิร์ต ฮอฟแมนน์ บิดาผู้ให้กำเนิด LSD ได้เขียนหนังสือร่วมกันชื่อ พืชพันธุ์ของพระเจ้า: พลังอันศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาและสร้างความมึนเมา