วันอาทิตย์, กันยายน 25, 2559

The Neon Demon: พลีกายขายวิญญาณ



ในภาษาอังกฤษมีสำนวนเปรียบเปรยที่หลายคนอาจจะคุ้นหูกันดีว่า “It’s a dog-eat-dog world” หมายถึงสถานการณ์ ซึ่งผู้คนสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ประสบความสำเร็จ โดยไม่สนใจว่าอาจต้องเหยียบหัวใคร หรือทำร้ายใครบ้าง หรือถ้าพูดอีกอย่าง คือ คนที่จะอยู่รอดบนโลกแบบนี้ได้ต้องแข็งแกร่ง และยินดีทำทุกอย่าง แม้ว่ามันจะขัดแย้งหลักการ หรือศีลธรรมอันดีก็ตาม ทุกคนต่างดิ้นรนเพื่อตัวเอง ส่วนคนที่อ่อนแอ ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ย่อมถูกกำจัดไปในที่สุด  ที่มาของสำนวนดังกล่าวอาจสืบย้อนไปไกลถึงภาษิตเมื่อปี 1858 ที่บอกว่า หมาจะไม่กินหมา โดยสำนวนใหม่ ซึ่งเริ่มต้นใช้ในช่วงปี 1931 พัฒนาขึ้นเพื่อสะท้อนสภาพสังคมว่าเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีจนกระทั่งหมายังต้องกินหมา

อาจพูดได้ว่าข้างต้นเป็นมุมมองของ นิโคลัส วินดิง เรฟิน ต่อวงการแฟชั่นในผลงานชิ้นล่าสุดของเขาเรื่อง The Neon Demon มันอาจไม่ใช่สารที่แปลกใหม่อะไร แต่ความฮือฮาน่าจะอยู่ตรงที่เรฟินเลือกจะนำคำเปรียบเปรยดังกล่าวมาดัดแปลงให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน การกินเนื้อพวกเดียวกันเองในแง่หนึ่งคือสัญลักษณ์แทนความวิปริตในโลกแห่งแสงสีและแสงแฟลช เมื่อทุกคนต่างดิ้นรนต่อสู้กับเวลาและสังขาร

การแก่งแย่งชิงดีในวงการบันเทิงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เช่นเดียวกับพล็อตหนังของ The Neon Demon เกี่ยวกับเด็กสาวบ้านนาที่เดินทางเข้ามาในเมืองใหญ่พร้อมความฝันสวยหรู แต่ต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านจากเจ้าถิ่นเก่า ซึ่งถูกคุกคามโดยวัยเยาว์และความงามอันบริสุทธิ์ มันเป็นโครงสร้างที่ถูกนำมารีไซเคิลซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่หนังไฮเอนด์อย่าง All About Eve ไปจนถึงหนังโลว์เอนด์อย่าง Showgirls แต่ก็เช่นเดียวกับ Drive ผลงานที่สร้างชื่อในระดับนานาชาติให้ผู้กำกับชาวเดนมาร์ก พล็อตซ้ำซากเป็นเหมือนขนมหวานที่เปิดโอกาสให้เรฟินได้พลิกแพลง ใส่เอกลักษณ์เพื่อสร้างรสชาติพิเศษ แปลกแปร่ง แต่ในเวลาเดียวกันก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยไปด้วย

ความแตกต่างจาก Drive อยู่ตรงที่เรฟินยังคงอารมณ์ค้างมาจากผลงานชิ้นก่อน นั่นคือ Only God Forgives จึงเติมเต็มพื้นที่ว่างในพล็อตด้วย มาดหนังอาร์ตแบบที่คนดูไม่ค่อยพบเห็นในหนังเล่าเรื่องกระแสหลัก โดยเทียบไปแล้วก็อาจคล้ายกับหนังแอ็กชั่นโป๊เปลือยแบบที่ เบอร์นี โรส (อัลเบิร์ต บรู้คส์) เล่าให้ตัวละครเอกฟังใน Drive นั่นแหละ นักวิจารณ์บอกอาร์ตดี แต่ฉันว่าห่วยเขากล่าว หนังของเรฟินอาจเริ่มต้นจากการดำเนินเรื่องตามแนวทาง หรือสูตรสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้มุ่งหวังเพื่อตอบสนอง หรือเติมเต็มสูตรสำเร็จในแนวทางนั้น เหมือนกับที่หนังแอ็กชั่นโป๊เปลือยของ เบอร์นี โรส ที่มีความเป็น ยูโรเปียน แต่อาจไม่ตอบสนองความบันเทิงพื้นฐานอันเป็นจุดมุ่งหมายหลักของหนังในแนวทางนี้ได้ และแน่นอนนั่นจึงมักจะเป็นสาเหตุให้มันถูกตัดสินจากกลุ่มคนดูทั่วไปว่า ห่วย

อันที่จริงความอาร์ตกับความห่วยเป็นสิ่งที่หนังของเรฟินเดินไต่บนเส้นแบ่งด้วยความสุ่มเสี่ยงมาโดยตลอด จึงไม่น่าแปลกใจที่หนังของเขา โดยเฉพาะสองเรื่องล่าสุด ได้รับคำวิจารณ์ก้ำกึ่งในลักษณะชอบและเกลียดแบบสุดโต่ง ความเป็นอาร์ตของหนังเขาอาจสังเกตได้จากงานด้านภาพอันประณีต สัญลักษณ์ ความคลุมเครือที่เปิดประตูให้ตีความได้หลากหลาย และการเพิกเฉยต่อการเล่าเรื่องตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ขณะเดียวกันหนังของเขาก็มักจะเลยเถิดไปสู่ความเลอะเทอะ หรือหนักมือใหญ่โตจนบางครั้งก็น่าหัวเราะอยู่ไม่น้อย เรียกได้ว่าความลุ่มลึก หรือรสนิยมอันดีไม่ใช่ข้อได้เปรียบของเรฟิน ด้วยเหตุนี้หนังของเขาจึงอาจปรากฏความรุนแรงในระดับใกล้เคียงกับการ์ตูน แต่นำเสนอด้วยท่าทีขึงขังจริงจัง จนบางครั้งก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันเป็นการฉกฉวยโอกาสช็อกคนดูแบบง่ายๆ ในสไตล์หนัง exploitation หรือเปล่า ดังจะเห็นได้จากฉากตัวละครเอกกระทืบคู่อริจนหัวแบะใน Drive ฉากกรีดตาแทงหูใน Only God Forgives และฉากกินตามนุษย์ใน The Neon Demon หรือบางครั้งมันอาจไม่ใช่ความรุนแรง แต่เป็นความสุดโต่งไปอีกแบบอย่างการมีเพศสัมพันธ์กับศพ

รายละเอียดบางอย่างใน The Neon Demon ดูจะสอดรับกับแนวคิด อาร์ตผสมเกรดบีอยู่ไม่น้อย รายละเอียดซึ่งคงมีอยู่แต่ในหนังของเรฟินเท่านั้น ไม่ใช่ในโลกแห่งความจริง เช่น ช่างแต่งหน้าวงการแฟชั่น ทำงานให้ตากล้องและดีไซเนอร์ชั้นนำ ที่รับจ๊อบแต่งศพควบไปด้วย หรือการแปลงร่างจากหนังสะท้อนแวดวงแฟชั่น การไต่เต้าเพื่อชื่อเสียง ความสำเร็จในช่วงครึ่งแรก ไปสู่หนังสยองเลือดสาดเจือเบาะแสเกี่ยวกับแม่มด หรือลัทธิประหลาดตามสไตล์หนังของ ดาริโอ อาร์เจนโต ในช่วงครึ่งหลัง ซึ่งจุดนี้อาจสร้างปัญหาให้นักดูหนังบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับผลงานก่อนหน้าของเรฟิน แล้วมองว่าหนังกำลังเลยเถิดออกสู่มหาสมุทร แม้ว่าในเชิงสัญลักษณ์การกินเนื้อมนุษย์ หรืออาบเลือดสาวพรหมจรรย์เพื่อคงความสาวไว้ตลอดกาล (ซึ่งอ้างอิงมาจากตำนานของ อลิซาเบ็ธ บาโธรี ฆาตกรต่อเนื่องในฮังการี ผู้ได้รับฉายาว่าเป็น เคาน์เตส แดรกคูลา) อาจไม่ได้แปลกแยกจากเนื้อหาเกี่ยวกับการเทิดทูนวัยเยาว์และเปลือกนอกของมนุษย์สักเท่าไหร่

น่าสนใจว่ารูบี้ (เจนา มาโลน), จีจี้ (เบลลา ฮีธคอต) และ ซาราห์ (แอบบี ลี) เลือกจะกินเนื้อหนัง ดื่ม/อาบเลือดของเจสซี (แอลล์ แฟนนิง) ไม่ใช่เพื่อให้ได้ความงามภายนอก แต่เพื่อครอบครองพลังภายในบางอย่างของเจสซี พลังที่ช่วยดึงดูดทุกสายตาให้หันมาจับจ้อง สนใจ และชื่นชม ดุจเดียวกับดวงอาทิตย์กลางฤดูหนาว กลยุทธ์ดังกล่าวดูจะได้ผลดีในส่วนของซาราห์ เมื่อเธอกลายเป็นที่สนใจของตากล้องให้มาถ่ายงานแทนนางแบบอีกคน แต่พลังบริสุทธิ์จากร่างที่งดงามโดยธรรมชาติดูจะกลายเป็นของแสลงสำหรับหญิงสาวผู้สวยด้วยมือแพทย์ตลอดทั้งร่างอย่างจีจี้ จนเธอต้องประสบชะตากรรมชวนสยองผสมสังเวช เหมือนการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะร่างกายของผู้รับปฏิเสธสิ่งแปลกปลอม ซึ่งเริ่มกัดกินจากภายในเพื่อไปหาเจ้าของที่แท้จริง หรือคนที่สามารถยอมรับข้อตกลงของซาตานได้อย่างปราศจากเงื่อนไข และใจเหี้ยมพอจะทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ แม้กระทั่งกินเพื่อนนางแบบที่มาแย่งงานดังเช่นซาราห์ (ในช่วงกลางเรื่องเราจะเห็นความสิ้นหวังของเธอเมื่อพลาดงานเดินแบบจนถึงขนาดพยายามจะดื่มเลือดของเจสซี)

เช่นเดียวกับหนังเกี่ยวกับการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านในวงการบันเทิง เจสซีเป็นตัวละครที่แสดงให้เห็นพัฒนาการเด่นชัด และทัศนคติของคนดูต่อเธอก็พลิกผันไปมาจากต้นเรื่องสู่ท้ายเรื่อง เธอเริ่มต้นในฐานะ เหยื่อ เป็นเด็กสาวบ้านนอกที่ดูไม่ค่อยจะประสีประสากับอันตรายในเมืองกรุง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ ดีน (คาร์ล กลัสแมน) และเธอกับรูบี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย จนสามารถพลิกผันจากดีเป็นร้ายได้ตลอดเวลา คนแรกชอบเธอมากกว่าเพื่อนและการรู้จักผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็ช่วยสร้างความเคลือบแคลง หวาดระแวงได้ไม่น้อย ขณะที่คนหลังพาเธอไปเที่ยวชมผับประหลาด ซึ่งดูเย้ายวนและน่าหวาดหวั่นไปพร้อมๆ กัน ไม่ต่างจากสองนางแบบเพื่อนสนิทของรูบี้ ซึ่งดูไม่ค่อยเป็นมิตร หรือเฉยชาเกินกว่าจะคบหาจริงจังได้

หนังทำท่าจะนำเสนอเธอในฐานะผ้าขาวที่แปดเปื้อนราคะ ความบริสุทธิ์ที่ถูกพลัดพราก เป็นวัตถุซึ่งถูกจับจ้องด้วยแววตากระหาย คุกคาม ก่อนจะโดนบ้วนทิ้งเมื่อหมดรสชาติดุจเดียวกับผู้มาก่อนอย่างจีจี้และซาราห์ แต่ในเบื้องลึกเจสซีดูจะตระหนักดีว่าเธอ มีของ ความงามเป็นสิ่งที่เธอหวังจะนำมาเร่ขายแทนทักษะ หรือสติปัญญา หนังนำเสนอให้เห็นหลายครั้งหลายคราว่าเธอหาได้ไร้เดียงสา หรือผุดผ่องเสียทีเดียว ทั้งโดยทางตรง เช่น รอยยิ้มกริ่มอย่างสะใจเมื่อดีไซเนอร์เลือกเธอเป็นนางแบบ หรือโดยทางอ้อม เช่น สิงโตภูเขาที่บุกเข้ามาในห้องพักเธอ รู้มั้ยแม่เคยเรียกฉันว่าอะไร อันตราย เธอเป็นเด็กที่อันตราย แม่พูดถูก ฉันอันตราย เธอกล่าวกับรูบี้ในช่วงท้าย

กระทั่งดีนเอง ดูเหมือนเธอก็จะมองออกว่าเขาต้องการอะไร เธอยอมไปเดทกับเขาเพื่อผลประโยชน์ และยั่วยวนอย่างแนบเนียนเพื่อให้เขาติดกับ แต่ก่อนทุกอย่างจะเลยเถิด เธอรีบบอกข้อมูลว่าตัวเองยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อกันเขาให้อยู่นอกเขตแดน และต่อมาเมื่อไต่เต้าไปจนถึงจุดที่ต้องการ เธอก็พร้อมจะเขี่ยเขาทิ้งอย่างไม่ใยดี

จุดพลิกผันสำคัญน่าจะเป็นตอนที่เจสซีได้รับเลือกให้เดินปิดท้ายแฟชั่นโชว์ ซึ่งหนังนำเสนอในลักษณะความฝัน หรือภาพนิมิตของสามเหลี่ยมปริศนา ที่ได้อิทธิพลมาจากตำนานนาร์ซิสซัส นายพรานผู้หลงใหลภาพสะท้อนของตัวเอง อีกทอดหนึ่ง โดยในฉากดังกล่าวคนดูจะเห็นเจสซีมองดูตัวเองในปริซึมกระจก ก่อนจะจูบภาพสะท้อนของตัวเอง แล้วกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน หลังจากนั้นเจสซีก็เหมือนเกิดใหม่ กลายเป็นคนละคน (ช็อตถัดจากงานแฟชั่นโชว์เป็นภาพเธอในลุคที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเดินแหวกม่านเข้ามาในห้อง) เธอโอบกอดความหลงตัวเอง ยอมรับข้อตกลงของซาตาน แล้วกลายเป็นตัวแทนของปีศาจ เมื่อดีนแสดงท่าทีไม่เห็นชอบกับความเห็นของดีไซเนอร์ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในไม่สำคัญเท่ากับรูปลักษณ์ภายนอก (“ถ้าเธอไม่สวย นายก็คงไม่หยุดมองด้วยซ้ำ”) เจสซีกลับขับไล่เขาอย่างไม่ใยดี

ชะตากรรมของเจสซีในตอนท้ายไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะบทลงโทษของผู้หลงตัวเองเสียทีเดียว แต่ออกจะเอนเอียงไปทางการแพร่กระจายของเชื้อร้าย หรือการถ่ายทอดตะขาบจากรุ่นสู่รุ่น เชื้อร้ายของความลุ่มหลงในรูปกาย ในความงามของตัวเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นมุกตลกร้ายอยู่ไม่น้อยเมื่อ นิโคลัส เวนดิง เรฟิน ผู้กำกับที่มักจะโดนครหาว่าให้ความสำคัญกับสไตล์เหนือสาระ ลุ่มหลงในความงามฉาบฉวย และทำหนังในลักษณะสำเร็จความใคร่ทางสุนทรียะ เลือกเป็นคนกระโดดลงมาสะท้อนความฟอนเฟะ ความปลอมเปลือกของวงการแฟชั่น 

ความงามไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เป็นแค่อย่างเดียว ในแง่หนึ่งคำพูดของตัวละครในหนังเหมือนจะสามารถสรุปภาพรวมของ The Neon Demon ได้อย่างชัดเจนไปในตัว

Short Comment: Those People



หนังเปิดเรื่องด้วยฉาก ชาร์ลี (โจนาธาน กอร์ดอน) เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชายที่ประดับตกแต่งกระดองเต่าด้วยเพชรนิลจินดาเพื่อความสวยงาม แต่สุดท้ายกลับลงเอยด้วยการทำให้เต่าตัวนั้นจมน้ำตาย เพราะไม่อาจทนรับน้ำหนักของเหล่าอัญมณีบนกระดองได้ มันไม่ใช่ความผิดของเต่า เขากล่าวสรุป ก่อนจะเปิดเผยภาพวาดชิ้นล่าสุดซึ่งเป็นรูปของ เซบาสเตียน (เจสัน ราล์ฟ) เพื่อนหนุ่มคนสนิทที่เขาแอบหลงรัก หลงใหลมาหลายปี แต่ไม่อาจก้าวข้ามความเป็นเพื่อนไปสู่สถานภาพคนรักได้ เขาไม่กล้าจะสารภาพความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าเซบาสเตียนจะล่วงรู้ความต้องการของชาร์ลีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับทุกคนรอบข้าง (ดังจะเห็นได้ว่าภาพที่ชาร์ลีวาดทั้งหมดล้วนเป็นภาพของเซบาสเตียน) และเขาตระหนักถึงแต้มต่อของตนเองดี จึงหมั่นหยอดและหล่อเลี้ยงความหวังเอาไว้เรื่อยๆ โดยในเวลาเดียวกันก็กันตัวเองไว้แค่ความเป็นเพื่อน

ไม่ต้องสงสัยว่าเต่าในเรื่องเล่าของชาร์ลีคือเซบาสเตียน หนุ่มไฮโซที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งทุกคนต้องคอยพะเน้าพะนอ แม้กระทั่งหลังจากพ่อของเขาถูกจับในข้อหาฉ้อโกง จนเป็นเหตุให้ลูกชายตัดสินใจขังตัวเองอยู่ในอพาร์ตเมนต์หรู เพราะไม่อาจเผชิญหน้ากับนักข่าวและสายตาดูถูกเหยียดหยามจากผู้คน มันไม่ใช่ความผิดของเต่า ที่ต้องถูกลงโทษจากการเลี้ยงดูและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมของลูกคุณหนู ก่อนจู่ๆ ก็จะโดนฉุดกระชากให้ต้องเผชิญความเป็นจริงอันโหดร้าย เมื่อปรากฏว่าเพชรพลอยเหล่านั้นกำลังถ่วงเขาให้จมน้ำตาย ชาร์ลีนึกสงสารและเห็นใจเต่าตัวนั้น เขาจึงยินดีเล่นไปตามบทบาทเพื่อนผู้ภักดี แม้ว่าเพื่อนบางคนในกลุ่มจะเริ่มแยกตัวออกห่าง เพราะการถูกโยงไปหา ชายที่คนทั้งเมืองนิวยอร์กเกลียดชัง อาจปิดโอกาสทางด้านอาชีพการงาน

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ทุกคนย่อมต้องแยกย้ายไปมีชีวิตส่วนตัว ไม่อาจหมุนวนอยู่รอบๆ ดวงอาทิตย์อย่างเซบาสเตียนไปตลอดชาร์ลีเองก็เช่นกัน เมื่อเขาได้พบเจอกับ ทิม (ฮาซ สไลแมน) นักเปียโนหนุ่มหล่อที่รักเขาอย่างจริงใจ และเรียกร้องความทุ่มเทในระดับเดียวกัน แต่ก็สัมผัสได้ว่าชาร์ลีเหมือนจะลังเล ไม่แน่ใจในตัวเอง ความผูกพัน ความรัก ความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างเขากับเซบาสเตียนคอยฉุดรั้งไม่ให้ชาร์ลีเปิดใจกับทิมได้อย่างเต็มที่ เซบาสเตียนเคยอยู่เคียงข้างชาร์ลีในยามที่เขาต้องการมากที่สุด เมื่อพ่อของชาร์ลีทอดทิ้งครอบครัวไป ดังนั้นเมื่อสถานการณ์พลิกกลับ ชาร์ลีจึงรู้สึกว่าเป็นหน้าที่เขาในการปลุกปลอบเซบาสเตียนยามที่พ่อของเขาถูกส่งตัวไปเข้าคุก

นายหยุดรักฉันเมื่อไหร่ นายจะเห็นว่าฉันเป็นคนเลวแค่ไหน เซบาสเตียนกล่าวกับชาร์ลีในวันที่ฝ่ายหลังไม่อาจทนกับการเป็นตัวสำรองที่ต้องคอยสแตนด์บาย แต่ไม่มีวันได้ก้าวเข้าไปครอบครองหัวใจ เลว ในความหมายของเซบาสเตียนอาจพุ่งเป้าไปยังข้อเท็จจริงที่ว่าเขารู้เรื่องการฉ้อฉลของพ่อและไม่คิดจะทำอะไร เขาเสพติดความฟู่ฟ่าหรูหรา แบบเดียวกับที่เสพติดการเอาอกเอาใจจากคนรอบข้าง เขารู้ว่าชาร์ลีหลงรักเขามากแค่ไหนและไม่คิดจะทำอะไรให้กระจ่าง กลับยิ่งรัดปลอกคอให้แน่นขึ้นเพราะกลัวว่าวันหนึ่งชาร์ลีอาจวิ่งหนีหายไป มันเป็นความเห็นแก่ตัวมากกว่าความรัก

ประโยคข้างต้นยังสะท้อนภาษิตที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอด ซึ่งคงไม่มีใครจะเข้าใจลึกซึ้งมากไปกว่าชาร์ลี เขาไม่ได้แค่หลงรักเซบาสเตียนเท่านั้น แต่ยังหลงรัก ความรักต่อเซบาสเตียน ซึ่งสวยงาม เสียสละ และบริสุทธิ์ในหัวของเขาไม่ต่างจากบรรดาเพชรนิลจินดาที่ประดับบนกระดองเต่าตัวนั้น และเช่นเดียวกัน มันกำลังฉุดเขาให้จมน้ำ ขาดอากาศหายใจ ในกรณีนี้มันก็อาจไม่ใช่ความผิดของเต่าเช่นกัน เพราะใครกันจะหักห้ามใจจากความรักในอุดมคติได้ ความรักแบบที่เราได้อ่านจากนิยาย หรือเรียนรู้จากหนังโรแมนติก มองในแง่นี้ ชาร์ลีอาจไม่ใช่แม่พระดังคำสรรเสริญของเซบาสเตียนในตอนท้าย เขาไม่ได้เห็นความงามในสัตว์ประหลาดตาเดียว แต่มืดบอดเกินกว่าจะตระหนักถึงความอัปลักษณ์ต่างหาก

Those People อาจไม่ใช่หนังที่จงใจนำเสนอด้านมืดชวนหดหู่เกี่ยวกับความรักขนาดนั้น โดยเนื้อแท้แล้วมันยังคงเป็นการตอกย้ำความดีงามในเนื้อแท้มนุษย์ ศักยภาพที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาด แล้วแก้ไข หรือไถ่บาป บทหนังสร้างและคลี่คลายปมปัญหาตามสูตร ซึ่งบางครั้งก็อาจดูง่ายดาย หรือจงใจเกินไปบ้าง แต่งานแสดงอันหนักแน่น น่าเชื่อถือ เสน่ห์ของดารานำ รวมไปถึงรสนิยมอันดีของผู้กำกับ โจอี้ คูห์น ทำให้ทุกอย่างสามารถไหลลื่นได้อย่างคล่องคอ ที่สำคัญ รายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับความลุ่มหลงอันเกินพอดี ตลอดจนการเข้าถึงความเจ็บปวดอย่างแท้จริงของตัวละครในบางจังหวะ ช่วยให้มันเสียดแทงคนดูได้มากกว่าหนังแอบรักเพื่อนทั่วๆ ไป

วันพฤหัสบดี, กันยายน 08, 2559

Short Comment: Everybody Wants Some


หนังของผู้กำกับ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ โดดเด่นในการจับห้วงเวลาของตัวละครได้อย่างแม่นยำ ปลุกอารมณ์ถวิลหาอดีตโดยไม่จำเป็นต้องฟูมฟาย หรือบีบคั้นอารมณ์ พร้อมกับตั้งคำถามถึงประเด็นยิ่งใหญ่อย่างลุ่มลึกเกี่ยวกับความหมายของชีวิต ความรัก ความสัมพันธ์ ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านของเวลา ผลงานชิ้นล่าสุดของเขาเรื่อง Everybody Wants Some!! ก็ไม่ถือเป็นข้อยกเว้น แม้เปลือกนอกจะดูเหมือนหนังตลกสัปดนเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นหื่นเซ็กซ์ในโหมดใกล้เคียงกับ American Pie ก็ตาม แต่เนื้อแท้จริงๆ มันกลับพูดถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ได้อย่างสนุกสนาน อ่อนหวาน และเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน

ลิงค์เลเตอร์เคยให้สัมภาษณ์อยู่หลายครั้งว่า Everybody Wants Some!! เป็นเสมือนภาคต่อทางจิตวิญญาณของ Dazed and Confused หนังที่พูดถึงวันสุดท้ายในชีวิตมัธยมของตัวละครกลุ่มหนึ่ง ดำเนินเหตุการณ์ในปี 1976 ส่วนผลงานชิ้นล่าสุดของเขาดำเนินเหตุการณ์ในปี 1980 สองสามวันก่อนมหาวิทยาลัยจะเปิดเทอม เล่าผ่านสายตาของ เจค (เบลค เจนเนอร์) เด็กหนุ่มที่ต้องย้ายมาอยู่หอเดียวกับเพื่อนร่วมทีมเบสบอล ซึ่งมีหลากหลายบุคลิกตั้งแต่หนุ่มหื่นช่างจ้อ (เกล็น พาเวลล์) นักพี้กัญชาเคล้าปรัชญา (ไวแอ็ต รัสเซลล์) ไปจนถึงหมาบ้าจอมยโส (จัสตัน สตรีท) ตลอดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ พวกเขาหยอกล้อ กลั่นแกล้งกัน ออกไปตะลอนล่าหญิงตามผับ ดูคอนเสิร์ต แข่งปิงปอง และฝึกซ้อมเบสบอล โดยระหว่างนั้นเจคยังได้รู้จักกับนักศึกษาการละคร (โซอี้ ดอยช์) ซึ่งเขาปรารถนาจะสานสัมพันธ์ลึกซึ้ง

นั่นเป็นสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่า “พล็อต” ซึ่งแทบไม่เคยเป็นจุดเด่น หรือกระทั่ง (ในบางกรณี) มีตัวตน เสน่ห์ของหนังลิงค์เลเตอร์ไม่ได้อยู่ตรงการวางปมขัดแย้ง หรือบีบคั้นอารมณ์คนดู ตรงกันข้าม มันอยู่ตรงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการจับอารมณ์แห่งยุคสมัย (ก่อนมาการถึงของโรคเอดส์) ความน่าตื่นเต้นของรักแรกแย้ม ตลอดจนการสอดแทรกประเด็นน่าสนใจเอาไว้ในเหตุการณ์สามัญ ธรรมดา ซึ่งมักจะพบเห็นได้ในหนังวัยรุ่นทั่วไป แต่ไม่เคยถูกสานต่อไปสู่สารัตถะยิ่งใหญ่ เช่น เมื่อหนังตั้งข้อสังเกตว่าความจริงเจคกับกลุ่มเพื่อนเปลี่ยนตัวตนไปตามรูปแบบเพลง ตั้งแต่ดิสโก้ ไปจนถึงคันทรี และพังก์ร็อกเพียงเพื่อโอกาสที่จะแอ้มสาวเพราะพวกเขาปราศจากกระดูกสันหลัง หรือมันเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนค้นหาตัวเอง… และจะมีช่วงเวลาไหนเหมาะสำหรับค้นหาตัวเองยิ่งไปกว่าช่วงวัยรุ่นอีกเล่า

แต่ท่ามกลางความสนุกสนาน บ้าระห่ำ หนังก็ยังแฝงอารมณ์หม่นเศร้าเกี่ยวกับช่วงเวลาอันแสนสั้นของวัยรุ่นเอาไว้ด้วย ผ่านรายละเอียดของตัวละครหนึ่ง ซึ่งอายุ 30 แต่แอบแฝงมากินนอนอยู่ในกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัย เพราะอยากซึมซับความรุ่งโรจน์เอาไว้ให้นานที่สุด ลิงค์เลเตอร์ไม่ได้อ้อยอิ่งกับรายละเอียดนี้ หรือเน้นย้ำเพื่อบีบอารมณ์อย่างที่สามารถทำได้ แต่มันก็โดดเด่นพอจะสร้างอารมณ์ร่วมสากล เพราะแม้ว่าเราอาจไม่เคยอยากเป็นนักเบสบอล แต่ทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงวัยรุ่นไร้เดียงสา ซึ่งทุกอย่างดูเป็นไปได้ ไม่ไกลเกินเอื้อม ก่อนสุดท้ายจะค้นพบโลกความจริงอันโหดร้าย

ในฉากสุดท้ายของหนัง อาจารย์สอนประวัติศาสตร์เขียนหัวข้อบนกระดานดำว่า พรมแดนเป็นจุดที่พบเห็นพวกเขา” ซึ่งหากทำความเข้าใจตามตัวอักษรแล้ว นี่อาจเป็นแค่ความพยายามเกริ่นนำเข้าสู่ประเด็นดินแดนตะวันตก หรือยุคสมัยบุกเบิกประเทศ หรือวิถีชีวิตของคาวบอย (ฉากหลังของหนังคือมหาวิทยาลัยเท็กซัส) แต่ประโยคดังกล่าวยังสะท้อนความนัยถึงเหล่าตัวละครหลักในหนังอีกด้วย เพราะชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ เปรียบได้กับการก้าวข้ามพรมแดนไปสู่อิสรภาพ พวกเขาต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่หอพัก แล้วใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นนอกเหนือจากพ่อแม่พี่น้อง มันเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวข้ามวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ เพราะไม่มีใครมาคอยบังคับให้เข้าคลาสเรียน คุณจะต้องค้นหาความรู้ ค้นหาตัวตน และศึกษาชีวิตตามลำพัง

การที่เจคกับเพื่อน (เทมเพิล เบกอร์) งีบหลับในคลาสแรกเป็นเหมือนอารมณ์ขันเล็กๆ และสัญลักษณ์สื่อความหมาย เนื่องจากหนังทั้งเรื่องดำเนินเหตุการณ์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนเปิดเทอม ถึงขั้นมีข้อความนับถอยหลังเป็นเวลา ซึ่งโดยปกติแล้วการนับถอยหลังมักจะนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญ หรือไคล์แม็กซ์ แต่หนังเรื่องนี้กลับจบเมื่อการนับเวลาถอยหลังสิ้นสุดลง ก่อนอาจารย์จะทันได้อ้าปากพูดอะไรด้วยซ้ำ   มันเป็นการบอกกล่าวโดยนัยของลิงค์เลเตอร์ว่าแก่นชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยบางทีอาจไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงช่วงเวลาระหว่างคาบอีกด้วย