Hidden Figures
บทหนังเรื่อง Hidden Figures ซึ่งดัดแปลงจากหนังสือของ
มาร์โก ลี เชตเตอร์ลีย์ เกี่ยวกับนักคณิตศาสตร์หญิงผิวดำสามคนที่ทำงานให้กับนาซาช่วงยุค 60
เดินทางมาถึงมือของ ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ กับเพื่อนผู้อำนวยการสร้าง
มีมี วัลเดส ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก ก่อนพวกเขาจะได้ ธีโอดอร์ เมลฟี
มาเป็นผู้กำกับด้วยซ้ำ บทหนังสะดุดใจวิลเลียมส์เป็นพิเศษเพราะว่ามันเฉลิมฉลองผลงานความสำเร็จของผู้หญิงแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งจะช่วย “คานน้ำหนักเรื่องเล่าผ่านมุมมองผู้ชายที่แออัดอยู่เต็มท้องตลาดในเวลานี้” จากนั้นเขาก็เสริมว่า “เราควรได้เห็นเรื่องราวทั้งจากมุมมองผู้ชายและผู้หญิง
การมีส่วนร่วมของผู้หญิงไม่ควรจะถูกหลบซ่อนอีกต่อไป”
นอกจากนี้อีกหนึ่งจุดที่ดึงดูดใจเขาก็คือ วิลเลียมส์เติบโตมาใน
เวอร์จิเนีย บีช ซึ่งไม่ไกลจากศูนย์วิจัยแลงลีย์ของนาซาในเมืองแฮมป์ตัน ฉากหลังของ
Hidden Figures เขาบอกว่าตอนเด็กๆ เขามักจะมองนาซาเป็นความลึกลับ
น่าตื่นเต้น “เรารู้ว่าคำถามสำคัญๆ
กำลังถูกค้นหาคำตอบที่นั่น” เขากล่าว
แคทเธอรีน จอห์นสัน (ทาราจี พี. เฮนสัน) เป็นนักคณิตศาสตร์ระดับหัวกะทิที่ทำงานในแผนก “คอมพิวเตอร์ผิวสี” คำหลังบ่งชี้ถึงอคติแห่งยุคสมัย
ส่วนคำแรกตอกย้ำกับคนดูว่านี่เป็นช่วงเวลาก่อน สตีฟ จ็อบส์ และคอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลจะถือกำเนิด
แคทเธอรีนกับเพื่อนร่วมงานในแผนกโดนเรียกว่า “คอมพิวเตอร์”
เนื่องจากทักษะช่ำชองในการคำนวณตัวเลข ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับภารกิจพานักบินอวกาศเดินทางออกนอกโลก
งานของพวกเธอทวีความสำคัญเป็นเท่าตัวหลังจากปรากฏการณ์ดาวเทียมสปุตนิก และ ยูริ
กาการิน กลายเป็นนักบินอวกาศคนแรกที่กลับมายังโลกได้สำเร็จ อเมริกาพากันตื่นตระหนก
หัวหน้าหน่วยอวกาศ อัล แฮร์ริสัน (เควิน คอสเนอร์) พยายามผลักดันให้โครงการประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด
เมื่อแคทเธอรีนได้เลื่อนตำแหน่งมาอยู่แผนกเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเรขาคณิตวิเคราะห์
นี่จึงกลายเป็นโอกาสให้เพื่อนร่วมของเธอในห้องคอมพิวเตอร์ได้ฉายแสง
เพื่อนคนหนึ่งของเธอ แมรี แจ๊คสัน (เจเนล โมเน) เข้าไปมีส่วนร่วมในการทดสอบอุโมงค์ช่องลมของยานอวกาศ เมื่อคอมพิวเตอร์ IMB เครื่องใหม่เอี่ยมถูกส่งมายังนาซา
คุกคามหน้าที่การงานของเหล่ามนุษย์คอมพิวเตอร์ทั้งหลาย โดโรธี วอแฮน (ออกเทเวีย สเปนเซอร์) จึงเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้โปรแกรมของเครื่อง
IMB เพื่อโอกาสที่จะได้ทำงานอยู่ในโครงการอวกาศต่อไป
“ครอบครัวเราเติบโตมาในเมืองแฮมป์ตัน” มาร์โก ลี เชตเตอร์ลีย์ ผู้แต่งหนังสือสารคดีที่หนังนำมาดัดแปลง เล่า “เรารู้จักหลายคนที่ทำงานให้นาซา
แฮมป์ตันมีทั้งนาซา อู่ต่อเรือ และฐานทัพ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะเป็นแอฟริกัน-อเมริกัน หลายคนเป็นผู้หญิง และหลายคนก็เป็นทั้งสองอย่าง” เชตเตอร์ลีย์เรียนการเงินในมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย
ทำงานอยู่วอลสตรีทพักใหญ่ ก่อนจะย้ายมาสายสื่ออินเทอร์เน็ต
เธอกับสามีอาศัยอยู่ในเม็กซิโกตอนผุดไอเดียเขียนหนังสือเล่มนี้ขณะกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อบทสนทนาวนเวียนไปถึงสาวๆ “คอมพิวเตอร์” ซึ่งมีส่วนช่วยให้นักบินอวกาศ
จอห์น เกล็น ได้โคจรรอบโลก “ทำไมเราไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย” เชตเตอร์ลีย์นึกสงสัยและถามแม่เธอ
“แม่ฉันพูดขึ้นว่า ‘เอางี้ เราโทรหา แคทเธอรีน
จอห์นสัน แล้วไปคุยกันที่บ้านเธอ’ นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อ
โดโรธี วอแฮน จอห์นสันบอกว่าหล่อนเป็นคนฉลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ” เชตเตอร์ลีย์พูดถึงต้นกำเนิดของหนังสือ “ฉันดีใจมากที่หาสำนักพิมพ์ได้” แต่ไม่ใช่แค่นั้น
ตัวแทนเธอ แม็คเคนซี เบรดี้ วัตสัน ยังนำเรื่องราวไปเสนอกับผู้อำนวยการสร้าง ดอนนา
กิกลิอตติ ซึ่งเคยทำหนังฮิตชิงออสการ์อย่าง Silver Linings Playbook,
Shakespeare in Love และ The Reader “เธอโทรหาฉันแล้วบอกว่า ‘ฟังให้ดี
เราจะดัดแปลงมันเป็นหนัง’” เชตเตอร์ลีย์กล่าว “ฉันตอบไปว่า ‘หา หนังสือยังไม่ตีพิมพ์เลย คุณจะเอาไปสร้างเป็นหนังแล้วเหรอ’”
Hidden Figures ไม่เพียงมุ่งหวังที่จะเปิดเผยเรื่องราวคาดไม่ถึง
ซึ่งน้อยคนจะรับรู้ แต่ยังสะท้อนภาพสังคมอเมริกาขณะเผชิญทางแยกอันท้าทายอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวสี หรือความเข้มข้นของสงครามเย็นจนเกือบจะนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์
หนังพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกฝ่ายโดยไม่จำเป็นเพศ
หรือพื้นเพ (“นาซาไม่สนว่าคุณจะมีเพศอะไร
ถ้าคุณคำนวณเลขได้ คุณก็มีค่าต่อองค์กร จอห์นสันเป็นอัจฉริยภาพด้านคณิตศาสตร์
สมองเธอทำงานในระดับเดียวกับ จอห์น แนช และ สตีเวน ฮอว์กิน
เธอคิดเหนือตัวเลขขึ้นไปอีกขั้น” ผู้กำกับเมลฟีกล่าว) “เราไม่ได้พยายามจับยัดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอคติทางสีผิว
ทุกคนรู้เรื่องราวนั้นอยู่แล้ว” เฮนสันพูด “ตรงกันข้าม Hidden
Figures พูดถึงการรับมือกับปัญหาดังกล่าวและก้าวข้ามมันเพื่อมนุษยชาติ”
“ตอนได้อ่านบทครั้งแรก
ฉันตื่นเต้นมากที่ได้เห็นตัวละครผู้หญิงแอฟริกัน-อเมริกันมีอาชีพอื่นนอกจากคนรับใช้ ฉันยังนึกว่ามันเป็นเรื่องแต่งซะอีก” โมเน
ศิลปินอาร์แอนด์บีที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง กล่าว “พวกเธอขับรถคันเดียวกันไปทำงานทุกวัน
พวกเธอผูกพันกันเหมือนพี่น้อง ทุกคนมีลูก มีชีวิตนอกนาซา
ฉะนั้นมันจึงน่าสนใจที่ได้เห็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเธอไปพร้อมๆ กัน”
บางทีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ Hidden Figures ทั้งในแง่คำวิจารณ์และการทำเงินอาจมีส่วนช่วยให้เหล่าผู้บริหารชายของสตูดิโอก้าวข้ามคติโบราณของฮอลลีวู้ดที่ว่าหนังซึ่งนำแสดงโดยผู้หญิง
หรือคนผิวสีไม่มีโอกาสสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ หรือปราศจากฐานคนดูที่กว้างพอ เช่นเดียวกับนาซา
พวกเขาควรพิจารณาจาก “แก่น” ซึ่งก็คือความน่าสนใจของตัวเรื่องและความสามารถของเหล่าทีมงาน
แทนการโฟกัสไปยัง “เปลือก”
La La Land
ทุกวันนี้การจะหาหนังเพลงในรูปแบบของยุคทองฮอลลีวู้ดถือเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าหาขุมทรัพย์
ถ้ามันไม่ได้ปรากฏตัวในรูปของการดัดแปลงละครเพลง เช่น Into
the Woods ก็จะเป็นหักหลบให้พอสัมผัสกลิ่นอาย เช่น หนังประเภท Magic
Mike ที่ดนตรีและการเต้นรำถูกประยุกต์ให้ร่วมสมัย รวมถึงตัดทอน
“ความไม่สมจริง” ของหนังเพลงแท้ๆ ออกไป
ฉะนั้น อาจพูดได้ว่า La La Land เป็นความเสี่ยงทางด้านการลงทุน
เพราะถึงแม้ฉากหลังของหนังจะเป็นยุคปัจจุบัน แต่เห็นได้ชัดทั้งในแง่เนื้อหาและรูปแบบ
ผู้สร้างจงใจที่จะพาคนดูหวนกลับไปหาความนุ่มนวลชวนฝันแห่งยุคสมัยของ เฟร็ด แอสแตร์
กับ จิงเจอร์ โรเจอร์ส
หนังอเมริกันร่วมสมัยควรมีสไตล์ “เหนือจริง”
ในรูปแบบของหนังเพลงและเต้นรำให้มากขึ้น แทนการยึดติดกับรูปแบบเหมือนจริงอันแห้งแล้งและแฟนตาซีซูเปอร์ฮีโร่ที่ซ้ำซาก
หนึ่งในความรื่นรมย์ของการนั่งชมหนังเพลง คือ
แม้จะมีการจัดวางท่าเต้นอย่างเป็นระเบียบ พวกมันกลับพาคนดูให้หลุดพ้นจากกรงขังแห่งกิจวัตรอันน่าเบื่อหน่าย
นำเสนอให้เห็นว่าทุกคนสามารถค้นพบความสุขจากช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตได้ เช่น
การเดินตากฝนไปตามท้องถนนแบบเดียวกับ จีน เคลลี ใน Singing in the
Rain
เดเมียน ชาเซลล์ เรียนภาพยนตร์อยู่ที่ฮาร์วาร์ดตอนเขาตกหลุมรักหนังเพลงของแอสแตร์กับโรเจอร์ส
เขาชื่นชอบ อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อค และหนังของผู้กำกับรุ่นเฟรนช์นิวเวฟ
ก่อนจะเริ่มศึกษาหนังอาวองต์การ์ดของอเมริกาในเวลาต่อมา เขาเคยดูหนังเพลงตั้งแต่เด็กๆ
รู้สึกตื่นตะลึงที่ได้เห็นแอสแตร์กับโรเจอร์สเต้นรำใน Top
Hat พร้อมกับดูหนังของ ฌอง-ลุก โกดาร์ด
และ มายา ดาเรน ที่ฮาร์วาร์ดความหลงใหลในหนังเพลงของชาเซลล์ยิ่งเจริญงอกงาม
เขาหลงใหล It’s Always Fair Weather ของ จีน เคลลี และ
สแตนลีย์ โดเนน หนังเพลงเกี่ยวกับความสูญเสีย ความผิดหวัง และความเป็นชาย
จากนั้นก็เริ่ม วางโครงการสร้างหนังธีซิส ซึ่งกลายมาเป็นผลงานกำกับหนังชิ้นแรกของเขาเรื่อง Guy
and Madeline on a Park Bench จุดกำเนิดของหนังเริ่มจากบทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนนักศึกษา
จัสติน เฮอร์วิทซ์ (ทั้งคู่ตั้งวงร็อกด้วยกัน) “ผมถามเขาว่า ‘ถ้าฉันจะทำหนังแนวๆ หนังเพลงแต่ไม่ใช่หนังเพลงซะเดียว
และต้องการเพลงใหม่ไปใส่ในหนัง นายจะช่วยแต่งเพลงให้ได้ไหม’ ” จัสตินตอบตกลง
หนัง “แนวๆ” หนังเพลงเรื่องนี้เล่าถึงหนุ่มนักดนตรีแจ๊สกับแฟนสาวรักอิสระ
ซึ่งแยกทางกันก่อนหนังจะเปิดเรื่อง ดนตรีแจ๊สและการถ่ายทำด้วยฟิล์มขาวดำ 16 มม. ทำให้คนดูนึกถึงหนังของ จอห์น คาสซาเวทส์ ขณะที่ฉากร้องเพลงก็กรุ่นกลิ่นอาย Band
of Outsiders ของโกดาร์ด “ผมคิดเสมอว่า Guy
and Madeline ไม่ได้เป็นหนังเพลงเต็มตัว” ชาเซลล์กล่าว “แต่เป็นหนังซึ่งค่อยๆ
กลายพันธุ์เป็นหนังเพลง” เสน่ห์อย่างหนึ่งของหนัง คือ
เมื่อเขาเล่นดนตรี ส่วนเธอก็ร้องเพลงและเต้นรำ ทั้งสองได้ค้นพบตัวเองผ่านเสียงเพลง
การผันชีวิตประจำวันไปสู่การเต้นแท็ป ฉากร้องรำทำเพลงใน Guy
and Madeline ถือเป็นคุณสมบัติหลักของหนังเพลง ซึ่งผสมปนเปโลกแห่งความจริงที่ตัวละครเดินเหิน
พูดคุย มีปฏิสัมพันธ์ เข้ากับโลกแห่งเสียงเพลงและเต้นรำ ใน Top Hat แอสแตร์กับโรเจอร์สเริ่มเต้นรำในศาลาระหว่างหลบพายุเกือบจะโดยความบังเอิญ
เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่เน้นย้ำความธรรมดาสามัญ จนกระทั่งเขาเริ่มร้องเพลง Isn’t
This a Lovely Day (to Be Caught in the Rain) ใน La La
Land ฉากเพลงถูกสอดแทรกเข้ามาในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ
ราวกับมันเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะกระโดดขึ้นเต้นแท็ปบนม้านั่ง
และเช่นเดียวกับหนังเพลงคลาสสิกทั้งหลาย คู่พระนางในหนังต่างรู้จังหวะเต้นของกันและกันอย่างน่าอัศจรรย์
เช่นเดียวกับฉากศาลาใน Top Hat ซึ่งดึงดูดให้ตัวละครของแอสแตร์กับโรเจอร์สใกล้ชิดกัน
ฉากเต้นรำในสวนสาธารณะของ La La Land ได้เปลี่ยนการจีบกันของหนุ่มสาวให้กลายเป็นการแสดงโชว์
ตลอดทั้งเรื่อง ชาเซลล์อาศัยภาพจำอันคุ้นเคยจากแนวทางหนังเพลง
ไม่ว่าจะเป็นการเต้นคู่โดยไม่โดนตัวกัน ฉากจูบที่โดนขัดจังหวะกลางคัน
ความพร้อมเพรียงของท่วงท่า การเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อสร้างความรู้สึกสนุกสนานและแปลงโฉมชีวิตประจำวันให้กลายเป็นสิ่งที่เขาเรียก (ทั้งขำๆ และจริงจังในเวลาเดียวกัน) ว่า “มหากาพย์”
ฉากเพลงหลายฉากถ่ายทำที่ ฮอลลีวู้ด เซ็นเตอร์ สตูดิโอ ซึ่งเป็นโรงถ่ายเดียวกับที่แอสแตร์ทำ
Second Chorus และ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ทำ One
From the Heart “เราต้องยกเครนขึ้นสูงในตอนจบช็อต” ชาเซลล์ตะโกนสั่งตากล้องที่นั่งอยู่บนปลายเครนขนาดยักษ์ ขณะคนคุมเครนอยู่อีกด้าน
คติพจน์ประจำใจเขา คือ “ต้องเป็นภาพแบบเต็มตัว” ซึ่งแอสแตร์คงเห็นชอบ
แอสแตร์ชิงชังการตัดภาพเป็นส่วนๆ ในฉากเพลงของ บัสบี เบิร์คลีย์ ที่ทำให้รูปร่าง
สรีระของคนกลายเป็นเหมือนชิ้นส่วนเครื่องจักร พร้อมกับยืนกรานว่า “ไม่กล้องก็ผมที่ต้องเต้น”
แน่นอนในหนังเพลงชั้นยอดทั้งหลาย มันเป็นส่วนผสมของทั้งสองอย่าง
ชาเซลล์ส่งสองนักแสดงนำไปอยู่ในความดูแลของนักออกแบบท่าเต้น แมนดี้
มัวร์ ก่อนเปิดกล้อง พร้อมทั้งกำชับให้ดูหนังโปรดของเขาอย่าง The
Band Wagon และ The Umbrellas of Cherbourg ทุกคนพยายามจะหา “อากัปกิริยา” เล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวละคร แล้วผันมันให้กลายเป็นฉากเพลง กอสลิงเป็นนักแสดงตั้งแต่วัยเด็ก
เขามีมาดนักเต้นและท่าเดินสวยสง่า ส่วนสโตนก็เพิ่งรับบทนำในละครเพลงบรอดเวย์เรื่อง Cabaret ทั้งสองร้องเพลงและเต้นรำได้ดีพอจะทำให้ฉากเพลงใน La La
Land ลื่นไหล ขณะที่ความไม่สมบูรณ์แบบก็ช่วยให้พวกเขาติดดินและเข้าถึงได้
มีหลายเหตุผลที่ทำให้หนังเพลงของอเมริกาค่อยๆ เสื่อมความนิยม
ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงของระบบสตูดิโอ ไปจนถึงรสนิยมคนดูที่หมุนเวียนตามเวลา หนังเพลงถือกำเนิดจากอุดมคติ
หนึ่งในความเพลิดเพลินของหนังเพลงยุคคลาสสิก คือ การได้ดูร่างกายทำสิ่งมหัศจรรย์สารพัด
(ลองนึกถึงฉากเต้นของ โดนัลด์ โอ’คอนเนอร์ ใน Singing
in the Rain) เยื้องย่าง
เคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงได้อย่างสง่างาม หนังเพลงเปรียบเสมือนการปลดปล่อย เมื่อ
จูดี้ การ์แลนด์ ร้องเพลง Over the Rainbow เธอกำลังบอกผู้ชมให้ก้าวข้ามช่วงเวลาอันยากลำบาก (หนังออกฉายในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ)… ด้วยเหตุนี้ในยุคสมัยแห่ง
โดนัลด์ ทรัมป์ บางที La La Land อาจเป็นหนังที่มวลชนกำลังต้องการ
Hell or High Water
การชนะเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา
เป็นผลพวงจากความคับแค้นต่อโครงสร้างสังคมที่จัดสรรอำนาจได้อย่างอยุติธรรม
และแน่นอนว่าย่อมจะต้องส่งผลต่ออนาคตทั้งในแง่การเมือง เศรษฐกิจ และสภาพสังคมอย่างยิ่งใหญ่
เราใช้เวลา 4 ปีกว่าจะได้ชมสองภาพยนตร์ชั้นยอดเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11
ผ่านงานกำกับของ สตีเวน สปีลเบิร์ก แม้โดยเปลือกนอก War of
the Worlds และ Munich จะไม่ได้พูดถึง 9/11
โดยตรงก็ตาม ฉะนั้นกว่าปรากฏการณ์ทรัมป์จะเริ่มเผยแง่มุมบนจอภาพยนตร์อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี
เพราะหนังใช้เวลาสร้างยาวนานและไม่มีใครล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
แต่ก็มีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่พูดถึงประเด็นเกี่ยวพันได้อย่างน่าประหลาด
นั่นคือ Hell or High Water ของ เดวิด แม็คเคนซี
ซึ่งใช้ทุนสร้าง 12 ล้าน แต่สามารถเก็บเงินในอเมริกาได้ 31
ล้าน หนังออกฉายในช่วงซัมเมอร์ท่ามกลางหนังภาคต่อที่น่าผิดหวังและหนังฟอร์มยักษ์ขายเทคนิคพิเศษ
ด้วยความช่วยเหลือของทีมนักแสดงชั้นยอด แม็คเคนซีได้แปลงบทอันคมคายของ เทย์เลอร์
เชอริแดน ให้กลายเป็นหนังชั้นเลิศ เป็นความบันเทิงประเทืองปัญญาสำหรับผู้ใหญ่
เล่าถึงชีวิตของสองพี่น้อง
ซึ่งตัดสินใจร่วมมือกันปล้นธนาคารเพื่อหาเงินมาใช้เจ้าหนี้ (ธนาคาร)
ก่อนที่ดินของพวกเขาจะถูกยึด แต่ Hell or High Water เป็นมากกว่าแค่หนังปล้นธนาคารเพื่อความบันเทิง มันยังสะท้อนให้เห็นสภาพเศรษฐกิจในวงกว้าง
ผ่านฉากหลังเป็นเมืองในรัฐเท็กซัสตะวันตก คนดูจะเห็นป้ายโฆษณาหนทางปลดหนี้
บ้านที่หลุดจำนอง ฟาร์มที่ถูกปล่อยรกร้างแทบทุกหนแห่ง เช่นเดียวกับหนังสองเรื่องของสปีลเบิร์ก
ในเชิงนัยยะ Hell or High Water เป็นเหมือนภาพวาดของหายนะอันเกิดจากวิกฤติการเงินในปี
2008
แทนการแจกแจงให้เห็นต้นเหตุของความฟอนเฟะเหมือนใน The
Big Short และ Inside Job หนังของแม็คเคนซีเลือกจะพาคนดูไปสำรวจผลกระทบอันน่าเศร้าในเมืองเล็กๆ
หลายแห่งของรัฐเท็กซัส ไม่ใช่ในฐานะบทเรียนประวัติศาสตร์ หรือจุดประเด็นโต้เถียง
วิเคราะห์หาสาเหตุ แต่เพื่อวางรากฐานตัวละคร
พล็อตหนังทั้งเรื่องถือกำเนิดขึ้นจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจอันเป็นผลจากวิกฤติการเงิน
ความยากลำบากของสองตัวละครเอก การพังทลายของความหวังต่ออนาคตที่ดีกว่า และกลวิธีนอกกฎหมายที่พวกเขาเลือกใช้เพื่อแก้ปัญหาล้วนสะท้อนให้เห็นการพังทลายของระบบการเงินในอเมริกาเมื่อแปดปีก่อนอย่างชัดเจน
เชอริแดนเขียนบทหนังเรื่องนี้และ Sicario ด้วยความตั้งใจจะให้มันเป็นส่วนหนึ่งของไตรภาคเกี่ยวกับ
“ชายแดนอเมริกาแห่งยุคปัจจุบัน” เขาบอกว่า
“หลายอย่างเปลี่ยนไปในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา
แต่หลายอย่างก็ยังคงเดิม ผมอยากสำรวจจุดจบของวิถีชีวิตดั้งเดิม ตลอดจนผลกระทบอันหนักหน่วงจากวิกฤติซับไพร์มในเท็กซัส”
ไม่นานหลังเกิดวิกฤติเชอริแดนได้เดินทางไปเยี่ยมเยียน อาร์เชอร์
ซิตี้ เมืองบ้านเกิดของ แลร์รี แม็คเมอร์ไทร์ ผู้เขียนนิยายเรื่อง Hud และ The Last Picture Show “เมืองทั้งเมืองเหมือนถูกปล่อยร้าง
‘ช่างเหมาะกับการบุกปล้นเสียจริง’ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเขียนเรื่องราวโดยมีตัวเอกเป็นโจรปล้นธนาคาร”
หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน
หลายคนวิเคราะห์ว่าลิเบอรัลและเหล่าบรรดาชนชั้นสูงทั้งหลายคาดเดาผลการเลือกตั้งผิดพลาดเพราะพวกเขาไม่เข้าใจ
“ชนชั้นแรงงานผิวขาว”
ที่กระจายตัวอยู่ตามชนบท พร้อมเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ บอกให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับคนยากคนจนพวกนี้
ราวกับว่าพวกเราไม่เคยพบเห็นพวกเขามาก่อน ซึ่งนั่นไม่ตรงกันความจริงสักเท่าไหร่
หนังอย่าง Hell or High Water บ่งชี้ให้เห็นว่าคนอเมริกันเข้าใจสังคมอเมริกันในมุมกว้างมากพอจะวางฉากหลังของหนังในลักษณะที่เห็น
ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงการเข้าใจว่าคนที่ยากจนกว่าเราโดนผลกระทบหนักสุดจากวิกฤติการเงิน
เพราะตามข้อเท็จจริงแล้วคนยากคนจนผิวดำก็ไม่ได้โหวตเลือกทรัมป์ ภาวะแบ่งแยกในสังคมอเมริกันดูจะบาดลึกยิ่งไปกว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
Hell or High Water เข้าฉายก่อนหน้าทรัมป์จะชนะเลือกตั้ง
และผุดเป็นไอเดียก่อนเขาจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในแวดวงการเมืองด้วยซ้ำ แต่มันสะท้อนให้เห็นการแบ่งแยกในอเมริกาได้อย่างชัดเจน
ตัวละครของ เจฟฟ์ บริดเจส เป็นตำรวจเท็กซัสที่ชอบเล่นมุกเหยียดเชื้อชาติอินเดียนแดงกับเพื่อนคู่หูเชื้อสายอินเดียนแดง
(ที่เขานับถือและชื่นชม) ตลอดทั้งเรื่อง
เขาเป็นผู้ชายหลงยุค ไม่ใช่เพียงเพราะวัยอันแก่ชราใกล้เกษียณเท่านั้น
แต่เพราะโลกได้หมุนไปไกลเกินกว่าเขาจะไล่ตามได้ทัน ทั้งในแง่สังคมและในแง่ทัศนคติด้านเชื้อชาติ
เขารู้ว่ามุกตลกของเขาไม่เหมาะสม แต่เขาก็ยังพูดมันออกมาอยู่ดี เขายึดมั่นอยู่กับมาตรฐานในอดีต
ความหลงยุคของเขายังหมายรวมไปถึงแง่มุมทางเศรษฐกิจอีกด้วย ทุกเมืองที่เขาแวะเวียนไประหว่างภารกิจตามล่าสองโจรปล้นธนาคารตอกย้ำถึงอดีตอันเคยรุ่งโรจน์
ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพียงซากปรักหัก รอวันตายจากไปตลอดกาลในอีกไม่ช้า
โจรปล้นธนาคารสองพี่น้อง ซึ่งรับบทโดย คริส ไพน์ และ เบน ฟอสเตอร์
ก็ประสบภาวะเดียวกัน คนแรกมีความฝันที่จะเป็นเจ้าของที่ดิน
เก็บเกี่ยวพืชผลเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ท่ามกลางความล่มสลายของชนบทรอบนอก
ความหวังเป็นสิ่งเดียวที่เขาพยายามไขว่คว้าไว้ ในฉากสุดท้ายของหนัง เจฟฟ์ บริดเจส
ยืนอยู่บนระเบียงบ้านของ คริส ไพน์ จ้องมองผู้ชาย ซึ่งแรงจูงใจในการปล้นมีน้ำหนัก
และทำสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ราคาที่ต้องจ่าย คือ การพังทลายของความศิวิไลซ์
ใบหน้าของบริดเจสสะท้อนความเคารพนับถือและขยะแขยงในเวลาเดียวกัน มันมีความแตกต่างระหว่างการโหยหาอดีตที่ไม่อาจหวนคืนกับการลุกขึ้นมากระทำสิ่งหยาบช้าเพื่อความหวังที่จะรักษามันไว้
ตัวละครของบริดเจสเลือกจะยอมรับชะตากรรม แต่ไม่ใช่ตัวละครของไพน์
มองเช่นนี้แล้ว Hell or High Water ทำนายเส้นทางสู่อำนาจของทรัมป์ได้อย่างชัดเจน
มันเป็นหนังที่วาดภาพพลังทำลายล้างของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งยัดมั่นในสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของพวกเขาโดยชอบธรรม
ประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติถูกวางไว้อย่างชัดเจน แม้จะไม่ได้บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ดังจะเห็นได้ว่าสุดท้ายแล้วตัวละครที่เหลือรอดมาได้ คือ ชายผิวขาวสองคน
บางทีความสำเร็จของหนัง (ซึ่งออกฉายตั้งแต่เดือนสิงหาคม)
บนเวทีออสการ์ท่ามกลางภาพยนตร์เข้าชิงรางวัลสาขาสูงสุดอีกแปดเรื่องที่ออกฉายช่วงปลายปีทั้งหมด
อาจเป็นมาตรวัดได้ว่าเนื้อในของหนังบาดลึกเข้าถึงความรุนแรงของสถานการณ์ปัจจุบันในอเมริกามากแค่ไหน
Lion
เรื่องราวสุดเหลือเชื่อใน Lion เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
และการบอกเล่ามันเป็นภาพยนตร์ก็ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง “อันตรายอยู่ตรงที่มันอาจจะอ่านสนุกในรูปบทความ ดูดีเวลาอยู่บนหน้ากระดาษ”
ผู้กำกับ การ์ธ เดวิส กล่าว “แต่ถ้าจะสร้างเป็นหนังคุณจำเป็นต้องหารายละเอียดที่ลึกลงไป
ต้องเพิ่มความซับซ้อนให้เรื่องราวและตัวละคร ซึ่งเราทุกคนต่างตระหนักในจุดนี้ดี”
Lion ดัดแปลงจากหนังสือบันทึกชีวิตของ ซารู
เบรียร์ลีย์ ซึ่งเกิดในอินเดีย แต่พลัดพรากจากครอบครัวขณะอายุได้ 5 ขวบ ก่อนต่อมาจะถูกรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมโดยสองสามีภรรยาออสเตรเลีย จอห์น
กับ ซู เบรียร์ลีย์ เวลาผ่านไป 25 ปี ซารูได้ใช้
กูเกิล เอิร์ธ และความทรงจำจากวัยเด็กในการตามหาเมืองบ้านเกิดจนกระทั่งได้พบกับแม่แท้ๆ
ของเขาอีกครั้ง ทันทีที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ สองผู้อำนวยการสร้าง
เอียน แคนนิง และ อีมิล เชอร์แมน คิดว่ามันเหมาะจะนำมาสร้างเป็นหนังแล้วให้ การ์ธ เดวิส
นั่งเก้าอี้ผู้กำกับ นี่อาจเป็นผลงานกำกับหนังขนาดยาวเรื่องแรกของเดวิสก็จริง
แต่เขาได้พิสูจน์ฝีมือเป็นให้ที่ประจักษ์มาบ้างแล้วจากการทำหนังโฆษณาและร่วมกำกับซีรีย์ Top
of the Lake กับ เจน แคมเปี้ยน จนประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม
ผลงานในอดีตที่เดวิสภูมิใจที่สุด ได้แก่ Alice หนังสั้นเกี่ยวกับครอบครัวชาวออสเตรเลียซึ่งสูญเสียลูกไป
“สงสัยจะเป็นรสนิยมส่วนตัวผมเวลาสร้างหนัง” เดวิสพูดถึงประเด็นสอดคล้องกันระหว่างหนังสั้นของเขากับหนังยาวเรื่องแรก
หลังจากได้ลิขสิทธิ์หนังสือของเบรียร์ลีย์ A
Long Way Home เดวิสก็ตัดสินใจเดินทางไปอินเดียร่วมกับคนเขียนบท ลุค
เดวีส์ เพื่อสัมผัสบรรยากาศในโลกของเบรียร์ลีย์ พวกเขาพูดคุย ปรึกษาหารือเกี่ยวกับโครงสร้างหนังและวิธีเล่าเรื่อง
พร้อมกับใช้เวลาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ในสถานที่จริงตามท้องเรื่อง
แล้วจินตนาการว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตัวละครเอก สำหรับเดวีส์
สิ่งสำคัญสุดที่เกิดขึ้นในทริปนี้ คือ การได้พบปะแม่แท้ๆ
ของซารูเป็นเวลาสามชั่วโมง “ผมอ่านหนังสือจบแล้วและทึ่งจนพูดอะไรไม่ออก
หัวใจหลักของหนังอยู่ตรงการกลับมาเจอกันอีกครั้งของสองแม่ลูก นั่นเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวผม
แต่การได้มาเจอเธอช่วยให้ผมเข้าถึงอารมณ์ของเรื่องราวอย่างแท้จริง
ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้า ความทุกข์ทรมาน
และความหวาดวิตกที่เธอต้องเผชิญตลอด 25 ปี”
“ผมอยากให้บทเกิดขึ้นจากมุมมองของการกำกับด้วย”
เดวิสกล่าว “มีแง่มุมด้านภาพและบรรยากาศ
ผมคิดว่ามันจำเป็นที่เราต้องเห็นตรงกันก่อนจะเริ่มจรดปากกาลงบนกระดาษ” หนึ่งในข้อตกลงร่วมกันของทั้งสอง คือ เล่าเหตุการณ์โดยเรียงลำดับตามเวลา
เปิดเรื่องด้วยการพลัดหลงของเบรียร์ลีย์แทนการใช้วิธีแฟลชแบ็ค
และนั่นนำไปสู่การตัดสินใจว่าตลอดครึ่งแรกของหนังจะพูดภาษาฮินดู “นายทุนคงไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
ถ้าคุณทำหนังครึ่งแรกโดยใช้ภาษาต่างประเทศเกือบทั้งหมด” เดวิสกล่าว “แต่มันต้องเป็นแบบนั้น
เพราะเราอยากให้คนดูสัมผัสถึงความขัดแย้งระหว่างชีวิตของซารูในอินเดียกับชีวิตในออสเตรเลีย”
เรื่องที่ท้าทายไม่แพ้กัน คือ การหาตัวเด็กชายมารับบทเป็นซารูวัย 5 ขวบ พวกเขาทดสอบหน้ากล้องเด็กนับพันกว่าจะพบ ซันนี พาวาร์ ซึ่งไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนและไม่เคยดูหนังสักเรื่องจนกระทั่งเขามาร่วมงานรอบพรีเมียร์ของ Lion ในอเมริกา “เราใช้เวลาตามหาอยู่ 5 เดือน เรียกได้ว่าเป็นงานช้างเลยล่ะ” เดวิสกล่าว
“เราคัดจนเหลือแค่สองสามร้อยคน แต่แล้ววันหนึ่งผมก็เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ
คนนี้มายืนอยู่ในห้อง ในใจผมคิดว่า ‘พระเจ้า
นี่ไง ซารู’ ผมใช้เวลาสร้างภาพตัวละครตัวนี้ในหัวมานาน
จินตนาการว่าเขาต้องมีบุคลิก ความคิดความอ่านอย่างไรถึงเอาตัวรอดเรื่องเลวร้ายต่างๆ
มาได้ และผมรู้สึกว่าซันนีตรงกับภาพในหัวผมทุกอย่าง” เทคนิคหนึ่งที่ทีมงานใช้เพื่อช่วยให้พาวาร์รู้สึกเชื่อมโยงทางอารมณ์
คือ ทำหนังสือเด็กที่เล่าเรื่องราวในหนังเป็นภาษาฮินดู พร้อมสรรพด้วยภาพประกอบ
ภาพถ่ายของสถานที่ถ่ายทำ รวมไปถึงภาพจากขั้นตอนการซ้อม
เดวิสมองหนังเป็นสองส่วน “การเดินทางภายนอกในช่วงครึ่งแรกและการเดินทางภายในช่วงครึ่งหลัง
แต่ในบางช่วงสองส่วนนี้จะซ้อนทับ เชื่อมโยงไปมา” เขาอยากสร้างสิ่งที่เขาเรียกว่า
“สัมผัสคล้องจอง” เหมือนภาพสะท้อน โต้ตอบกันระหว่างหนังสองส่วน
ซึ่งถ่ายทอดออกมาในลักษณะภาพแฟลชแบ็คที่วูบไหวในใจตัวละครเอก เมื่อบางอย่างกระทบใจเขาให้หวนนึกถึงชีวิตวัยเด็ก
ซารูในวัยหนุ่มปรับตัวเป็นชาวออสเตรเลียนได้อย่างราบรื่น (อย่างน้อยก็โดยภายนอก) เขาลงเรียนวิชาการโรงแรม
สร้างสัมพันธ์แนบแน่นกับพ่อแม่บุญธรรม แต่ลึกๆ แล้วเขายังไม่อาจตัดขาดจากอดีต “การที่คนดูได้เห็นก่อนว่าอะไรบ้างที่เขาต้องประสบ
และแบกรับไว้ในรูปของความทรงจำย่อมช่วยเพิ่มพลัง ความหนักแน่นให้กับหนัง”
เดวิสกล่าว “การออกเดินทางเพื่อตามหาครอบครัวของเขาในช่วงครึ่งหลังหาใช่การทำเพื่อตัวเองเท่านั้น
แต่เขาคิดว่าแม่กับพี่ชายเขาก็คงต้องกำลังตามหาเขาอยู่เหมือนกัน”
บทสรุปของ Lion พิสูจน์ให้เห็นถึงมหัศจรรย์แห่งเทคโนโลยีและความรักอันไม่เสื่อมคลายของมารดา
แต่เรื่องราวหลังตอนจบของหนังยังคงดำเนินต่อไป
เดวิสอยู่ที่อินเดียในวันที่แม่ทั้งสองของซารูได้พบกันครั้งแรก
และถูกถ่ายทอดผ่านรายการ 60 Minutes “มันเหลือเชื่อมาก”
เดวิสกล่าว “ผมจะยืนอยู่หลังกล้องเพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเขาตลอดการสัมภาษณ์”
Lion เปิดโอกาสให้คนดูได้จินตนาการต่อถึงปมปัญหาที่ยังไม่ได้รับการสะสาง
แตกแขนงสู่ตัวละครอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น น้องชายบุญธรรมของซารู ซึ่งตอนนี้กำลังพยายามค้นหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาเช่นกัน
ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ของครอบครัวเบรียร์ลีย์ “หนังสร้างจากเรื่องจริง” เดวิสกล่าว “แต่ชีวิตจริงยังไม่ได้จบลงพร้อมกับหนัง”
Arrival
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในยานอวกาศ มีเพียงแผงกั้นใสเหมือนกระจกคั่นกลางระหว่างเธอกับสัตว์ต่างดาวขนาดยักษ์
เธอถอดชุดป้องกันสารเคมีออก แล้วก้าวเดินเข้าไปใกล้สัตว์ต่างดาว ก่อนจะวางฝ่ามือบนแผงกั้น
นั่นคือภาพของ “วีรกรรม” และความกล้าหาญในหนังเรื่อง
Arrival
เธอมีชื่อว่า ลูอิส แบงค์ส นักภาษาศาสตร์ซึ่งรับบทโดย เอมี อดัมส์
เธอได้ถูกคัดเลือกจากกองทัพสหรัฐอเมริกาให้พยายามสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเพื่อค้นหาว่าพวกเขาเดินทางมาโลกเพื่ออะไร Arrival เป็นหนังไซไฟที่ตัวละครเอกไม่ใช้อาวุธ ขับยานอวกาศ หรือชนะสงคราม
ตรงกันข้าม ดร.แบงค์สช่วยพิทักษ์โลกจากหายนะด้วยเทคโนโลยีเก่าแก่
แต่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง นั่นคือ การพูดคุย
เอเลียนสื่อสารด้วยภาษาที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาษาพูดหรือภาษาเขียนบนโลก เพราะมันอ้างอิงกับหลักการที่ว่าเวลาหาได้เป็นเส้นตรงอย่างที่มนุษย์ส่วนใหญ่เข้าใจ
ดร.แบงค์สถอดรหัสสัญลักษณ์ภาษาเขียนของเอเลียนได้ไม่ยาก
แต่เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขาเดินทางมายังโลกด้วยจุดประสงค์ใด พร้อมทั้งหยุดยั้งเหล่าผู้นำประเทศต่างๆ
ไม่ให้ก่อสงครามกับเอเลียน เธอจำเป็นต้อง “เข้าถึง”
เวลาในแบบเดียวกับเอเลียน ภารกิจดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความเห็นอกเห็นใจและความเข้มแข็งทางอารมณ์ในระดับเหนือมนุษย์
ปกติความอ่อนไหวทางอารมณ์ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติหลักของเพศหญิง
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเธอถึงไม่ค่อยถูกนำเสนอในฐานะวีรสตรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังแนวนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งครอบงำโดยเพศชายเป็นหลัก
ในช่วงหลังๆ คนดูอาจได้เห็นผู้หญิงถือปืนลุยระห่ำมากขึ้น เช่น สตาร์บัค (เคที แซ็คออฟ) ใน Battlestar Galactica และ อิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา (ชาร์ลิซ เธรอน)
ใน Mad Max: Fury Road แต่สิ่งที่เราแทบจะไม่ได้เห็น
คือ ตัวละครเอก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ที่แก้ปัญหาด้วยวิธีการอื่นนอกจากพะบู๊
ตัวละครในหนังแนวไซไฟยุคหลังเพียงคนเดียวที่หลุดจากกรอบข้างต้น คือ มาร์ค วัทนีย์ (แม็ท เดมอน) นักพฤกษศาสตร์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดบนดาวอังคารโดยใช้ความรู้และสติปัญญาไหวพริบใน The
Martian
แต่เขาไม่ได้เป็นผู้นำในแบบ ดร.แบงค์ส
ภารกิจกอบกู้โลกของเธอต้องพึ่งพาทักษะในการสื่อสารกับเอเลียนและกับมนุษย์ด้วยกันเอง
เมื่อเผชิญสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เธอต้องเลือกใช้ข้อความที่เหมาะสมพูดกับบุคคลที่เหมาะสม
แล้วช่วยโลกให้พ้นภัยโดยไม่จำเป็นต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว เธอคือต้นแบบของฮีโร่ในชีวิตจริง
เมื่อทักษะสำคัญสูงสุดของผู้นำ คือ เรียนรู้ รับฟัง และสื่อสาร
นี่เป็นประเด็นที่ทำให้ Arrival สร้างอารมณ์ร่วมสมัย
และอาจกระทบใจชาวอเมริกันในห้วงยามนี้เป็นพิเศษ หลังประเทศกำลังถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายผ่านความไม่สามารถที่จะสื่อสารถึงกันได้
Arrival เป็นหนังไซไฟสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ชื่นชอบหนังเกี่ยวกับเอเลียนเป็นพิเศษ
เนื้อหาที่แตกต่างในบทของ อีริค ไฮสเซอเรอร์ (Light Out, The
Thing) คือสิ่งที่ดึงดูดใจ เอมี อดัมส์ ให้มารับบทนำ “ตอนอ่านบทฉันคิดว่า ถ้าทำได้ตามนี้ มันจะต้องเป็นหนังที่พิเศษมาก”
เธอกล่าว “แต่ถ้าไม่ มันจะกลายเป็นหายนะ”
ไฮสเซอเรอร์ ซึ่งควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร
บอกว่าการเดินทางของ Arrival จากหน้ากระดาษมาสู่จอเงินเป็นเหมือน “สงครามที่ยืดเยื้อ” เขาตกหลุมรักเรื่องสั้นของ
เท็ด เชียง Story of Your Life และพยายามเข็นโครงการให้กลายเป็นหนังมาหลายปี “ผมประทับใจเรื่องสั้นมาก” เขากล่าว “มันเป็นเรื่องราวแสนวิเศษและประเทืองปัญญา”
แต่เมื่อเขานำไอเดียไปเสนอเหล่าโปรดิวเซอร์ พวกเขากลับหยุดชะงัก “พอผมพูดว่า ‘หนังมีตัวเอกเป็นผู้หญิง
และพูดถึงประเด็นด้านภาษาศาสตร์’ ผมจะเห็นแววตาพวกเขาล่องลอยไปไกล” ไฮสเซอเรอร์กล่าว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเสี่ยงด้วยการลงมือเขียนบทโดยไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะถูกสร้าง
แต่ความดีงามของบทดึงดูดทุนสร้างจากบริษัทอิสระ และผู้กำกับ เดนิส วิลเนิฟ ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ 2014 เกิดการประมูลแย่งซื้อสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันระหว่างสตูดิโอห้าแห่ง
ก่อนสุดท้ายพาราเมาท์จะคว้าชัยชนะไปด้วยยอด 20 ล้านเหรียญ
อดัมส์เป็นตัวเลือกแรกของไฮสเซอเรอร์ในการสวมบทบาทเป็นดร.แบงค์ส “เธอเป็นนักแสดงที่คนดูสามารถอ่านความคิดตัวละครได้จากดวงตาเธอ” เขากล่าว “นอกจากนั้นเธอยังเป็นคนที่น่าคบหา
เพื่อนผมบอกว่าเธอทำตัวเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองเป็น เอมี อดัมส์” อดัมส์บอกว่าเธอเตรียมตัวสำหรับบทด้วยการเรียนรู้เรื่องภาษาศาสตร์และร่วมงานกับโค้ชการแสดงเพื่อถ่ายทอดแง่มุมจิตวิทยาของตัวละคร
แต่เธอเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าไม่ได้เข้าใจแง่มุมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และธรรมชาติของเวลาในหนังเท่าไหร่
“ตลกดีที่คนชอบถามฉันถึงประเด็นนี้” เธอกล่าวถึงตรรกะทางวิทยาศาสตร์ในหนัง “ถ้าฉันสามารถอธิบายได้ ฉันคงไม่มาเป็นนักแสดงหรอก”
ความสำเร็จอันหาได้ยากยิ่งของ Arrival อยู่ตรงที่มันผสานสไตล์สุดล้ำลึก
รวมถึงคำถามอันยิ่งใหญ่แบบหนังนิยายวิทยาศาสตร์ทั่วไปเข้ากับพลังทางอารมณ์อันหนักแน่น
เปี่ยมล้น มันเป็นหนังที่ท้าทายคนดูให้มองไปข้างหน้า เปิดตัวเองรับความเปราะบาง
การเสียสละ และกล้าเสี่ยงที่จะวิ่งเข้าหาความแตกต่างรอบตัวเรา
แม้ว่าผลลัพธ์อันเลวร้ายอาจตามมาอย่างที่เราหวาดกลัวก็ได้
จุดนี้เองที่ทำให้มันก้าวข้ามแนวทางไซไฟ หรือกระทั่งความเป็นภาพยนตร์
นี่เป็นสารที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคสมัยซึ่งผู้คนพากันวาดฝันถึงอดีตอันไม่อาจเรียกคืนและยืนกรานที่จะสร้างกำแพงขึ้นล้อมรอบตัวเองเพื่อปลอบประโลมให้รู้สึกปลอดภัย
Hacksaw Ridge
ดูเหมือน Hacksaw Ridge ของ เมล กิ๊บสัน จะพยายามเดินตามรอยความสำเร็จของ American
Sniper เมื่อสองปีก่อน
ทั้งจากเนื้อในของหนังไปจนถึงวิธีการโปรโมต บนเวทีออสการ์หนังก้าวไปไกลกว่าหนึ่งขั้นด้วยการหลุดเข้าชิงในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมแบบสุดเซอร์ไพรส์
(กิ๊บสันหยุดสร้างหนังไป 10 ปี แม้จะมีงานแสดงอยู่บ้าง เช่น The Beaver และ Get the
Gringo หลังพฤติกรรมอื้อฉาวของเขาถูกบันทึกภาพไว้) แต่ในแง่ของการทำเงิน มันไม่สามารถไต่ระดับไปเทียบผลงานกำกับของ คลินต์
อีสต์วู้ด ซึ่งโกยเงินทั่วโลกได้มากถึง 547 ล้านเหรียญ
หนังสร้างจากเรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเช่นเดียวกับ American
Sniper มุ่งเน้นศึกษาสภาพจิตใจของตัวละครและจำกัดประเด็นการเมืองให้เหลือเพียงน้อยนิด
บางคนตีความ Hacksaw Ridge ว่าเป็นหนังต่อต้านสงคราม
ขณะที่บางคนก็รู้สึกฮึกเหิมกับความยิ่งใหญ่ของกองทัพอเมริกา “มันเป็นหนังเกี่ยวกับคนรักสันติที่เลือดสาดที่สุด” หนึ่งในนักวิจารณ์กล่าวถึงหนัง และความก้ำกึ่งตรงนี้เองที่จุดประกายให้ American
Sniper กลายเป็นหนังฮิตในวงกว้าง กระนั้นตัวแปรที่อาจมีส่วนหยุดยั้ง Hacksaw
Ridge ไม่ให้กลายเป็นหนังฮิตระดับเดียวกัน คือ
ความรุนแรงแบบถึงเลือดถึงเนื้อ แก่นเกี่ยวกับศาสนา และทัศนคติคนดูต่อพฤติกรรมในอดีตของกิ๊บสัน
แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ รับบท เดสมอนด์ ที. ดอส ชายหนุ่มที่นับถือคริสต์นิกายเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์อย่างเคร่งครัดและเคยมีประวัติชักชวนให้เหล่าสมาชิกร่วมนิกายยกเลิกการถือครองอาวุธ
เมื่อดอสถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมรบในมหาสงคราม หลังเพิร์ลฮาร์เบอร์โดนทิ้งระเบิด
เขายืนกรานตามความเชื่อด้วยการปฏิเสธที่จะพกอาวุธปืน
หลังจากต้องทนโดนล้อจากคนรอบข้าง
ดอสได้รับสถานะผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรมและเข้าประจำกองแพทย์ไม่ติดอาวุธในระหว่างการรบหลายสมรภูมิ
หนึ่งในนั้น คือ เหตุการณ์นองเลือดเพื่อบุกยึดเกาะโอกินาว่า ซึ่งเขาช่วยแบกนายทหารหลายนายที่ได้รับบาดเจ็บ
ท่ามกลางห่ากระสุน ให้พ้นจากอันตราย “พลทหารดอสเป็นวีรบุรุษตัวจริงที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง”
บิล เมคานิก ผู้อำนวยการสร้างของหนังกล่าว “เราไม่ได้พยายามจะสะสางความขัดแย้งเหล่านั้นในหนัง”
ในส่วนของกิ๊บสันเอง เขาไม่ได้ตั้งใจวางจุดยืนให้ก้ำกึ่ง
ขึ้นอยู่กับว่าคนดูแต่ละคนจะตีความตามความเชื่อของตนอย่างไร “ผมคิดว่าการรักษาสมดุลเป็นสิ่งสำคัญ” เขาพูดถึงการที่ Hacksaw Ridge ร้อยเรียงความโรแมนติกเข้ากับฉากสู้รบและประเด็นทางศาสนา “แต่ผมไม่ได้พุ่งเป้าหมายหลักไปยังการทำหนังเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มคนดูที่แตกต่าง
ผมแค่อยากเล่าเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม” จากนั้นเขาก็เสริมว่า
“บางคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ทำแบบเดียวกับที่หนังยุคก่อน นั่นคือ เล่าเรื่องราว
แล้วปล่อยให้คนดูตีความตามต้องการ”
เพื่อสร้างกระแสปากต่อปาก สตูดิโอ ไลออส์เกท ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังทุนสร้าง 40 ล้านเหรียญเรื่องนี้ ได้เปิดฉายรอบพิเศษตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อหวังกระแสปากต่อปาก
เช่น ในเดือนสิงหาคม กิ๊บสันเดินทางเพื่อนำหนังไปฉายที่งานคอนเวนชันของเหล่าทหารผ่านศึกพิการในเมืองแอตแลนตา “คนพวกนี้หลีกเลี่ยงหนังสงคราม เพราะกลัวว่ามันจะทำออกมาไม่สมจริง หรืออาจไปกระตุ้นบาดแผลทางจิตใจ”
แดน แคลร์ ซึ่งเคยรับใช้กองทัพอากาศในสงครามอิรัก
แต่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสื่อสารของกลุ่มทหารผ่านศึก กล่าว “พวกเขาเซอร์ไพรส์กับหนังมาก
ส่วนใหญ่เห็นว่ามันสะท้อนภาพการสู้รบในสมรภูมิได้สมจริง
เป็นหนึ่งในหนังสงครามไม่กี่เรื่องเลยก็ว่าได้ และเห็นชอบกับวิธีที่หนังถ่ายทอดภาวะความเครียดทางใจหลังประสบภัยรุนแรงในชีวิต
กล่าวโดยสรุป คือ หนังเรื่องนี้นำเสนอประสบการณ์ของพวกเขาได้แม่นยำ ซึ่งแตกต่างจากหนังฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่”
แดน เวเบอร์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารของคริสตจักรนิกายเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ในอเมริกาเหนือ
ซึ่งมียอดสมาชิกทั้งสิ้น 1.2 ล้านคน ให้สัมภาษณ์ในลักษณะคล้ายกัน “ผมดูหนังเรื่องนี้สามรอบแล้ว และมันทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการนำเสนอมุมมองของพวกเรา”
แน่นอน คริสตจักรยืนกรานว่าสมาชิกทุกคนรักความสงบ “บางคนที่ได้ดูหนังบอกว่าถึงแม้ความรุนแรงในหนังจะทำให้พวกเขาไม่สบายใจอยู่บ้าง
แต่หนังก็สะท้อนให้เห็นว่าศรัทธาของ เดสมอนด์ ดอส ถูกทดสอบอย่างรุนแรงแค่ไหน”
ก่อนจะสรุปปิดท้ายว่า “หนังเข้าถึงคนที่อยู่ข้างกองทัพ
คนต่อต้านสงคราม คนยึดมั่นศาสนา คนไม่มีศาสนา มันเป็นหนังสำหรับทุกคน”
Hacksaw Ridge ถือเป็นการคัมแบ็คอย่างสวยงามของ
เมล กิ๊บสัน อดีตซูเปอร์สตาร์ที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด และเคยคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับมาครองจาก Braveheart แต่ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของเขากลับพังทลาย
ถูกกัดกร่อนจากข่าวอื้อฉาวไม่เว้นแต่ละวัน โดยเหตุการณ์ขึ้นชื่อและสร้างความฮือฮาได้มากสุด
คือ ปี 2006 เมื่อเขาถูกจับในข้อหาเมาแล้วขับ
ตามมาด้วยปี 2011 เมื่อเขาถูกตั้งข้อหาว่าใช้กำลังกับอดีตแฟนสาว
งานกำกับชิ้นล่าสุดของเขาเรื่อง Apocalypto หนังแอ็กชั่น/เขย่าขวัญเลือดท่วมเกี่ยวกับชนเผ่ามายา ออกฉายเมื่อ 10 ปีก่อน ส่วนผลงานกำกับอีกชิ้น คือ The Passion of the
Christ สามารถทำเงินทั่วโลกได้มากถึง 612ล้านเหรียญ
หนังเปิดตัวที่เวนิซ และในรอบพรีเมียร์คนดูพากันลุกขึ้นยืนปรบมือนาน 10 นาที แต่ความแตกต่างจาก American Sniper ซึ่งดัดแปลงจากหนังสืออัตชีวประวัติขายดีชื่อเดียวกันของ
คริส ไคลน์
วีรบุรุษจากสงครามในอิรักและอัฟกานิสถานที่เสียชีวิตในรัฐเท็กซัสเมื่อปี 2012 อยู่ตรงที่ Hacksaw Ridge เป็นหนังพีเรียด
และชื่อของพลทหารดอสไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปสักเท่าไหร่ และที่สำคัญ หนังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายศาสนา
ทั้งภาพพิธีล้างบาป การคัดลอกคำพูดจากไบเบิล ในฉากหนึ่งพลทหารดอสถึงกับร้องตะโกนถามพระเจ้าว่า “พระองค์ต้องการอะไร ลูกไม่ได้ยิน”
เดวิด เพอร์มัต อีกหนึ่งโปรดิวเซอร์ของหนังกล่าวว่า “การซื่อตรงต่อตัวละครเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับเราทุกคน
และ เดสมอนด์ ดอส เป็นชายที่ยึดมั่นในศาสนา แต่ขณะเดียวกันนี่เป็นหนังเกี่ยวกับผู้ชายที่พยายามทำทุกอย่างตามความเชื่อของตนโดยไม่หวั่นเกรงผลลัพธ์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถอินได้ไม่ยาก ไม่ว่าคุณจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับศาสนา”
Fences
เมื่อปี 1991 เส้นทางสู่จอเงินของบทละครชนะรางวัลพูลิทเซอร์ของ
ออกัสต์ วิลสัน ประสบอุปสรรคมากมาย แต่หลังจากความพยายามอยู่นาน 4 ปีในการเข็นโครงการ สุดท้ายก็เริ่มจะเห็นแสงแห่งความหวังรำไรอยู่ปลายอุโมงค์
ปรากฏว่าแสงดังกล่าวเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะต้องใช้เวลาอีก 25 ปีกว่าบทละครเรื่องนี้จะกลายเป็นภาพยนตร์
มหากาพย์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1987 เมื่อ
เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ ซึ่งขณะนั้นเป็นซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของฮอลลีวู้ด
ได้ดูละครบรอดเวย์เรื่อง Fences เกี่ยวกับอดีตนักเบสบอสบอลในลีกคนดำ (รับบทโดย เจมส์ เอิร์ล โจนส์) ที่ห้ามไม่ให้ลูกชายรับทุนนักกีฬาฟุตบอลเพราะปมขมขื่นจากอดีตของตนเอง
เมอร์ฟีย์กำลังมองหาโอกาสที่จะพลิกบทบาทมาเล่นหนังดรามาจริงจัง และบทลูกชายใน Fences
คือบทที่เขาหมายตา พาราเมาท์ซื้อลิขสิทธิ์ด้วยเงินมากกว่าหนึ่งล้านเหรียญ
ซึ่ง ณ เวลานั้นถือเป็นค่าลิขสิทธิ์บทละครเวทีที่แพงที่สุดเรื่องหนึ่ง ภารกิจติดพันทำให้เวลาล่วงเลยมาถึงต้นปี
1989 เมื่อพาราเมาท์ยื่นข้อเสนอให้ แบร์รี เลวินสัน
ซึ่งเพิ่งจะทำหนังดังสองเรื่องอย่าง Good Morning Vietnam และ Rain Man มาเป็นผู้กำกับ
เลวินสันจริงจังกับโครงการนี้มากถึงขั้นบินไปพบวิลสันด้วยตัวเอง แต่ในเดือนมกราคม 1990 วิลสันได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาอยากได้ผู้กำกับผิวสีมากกว่า “ถ้าฮอลลีวู้ดไม่เคยคิดจะจ้างผู้กำกับผิวดำมากำกับ เดอ นีโร หรือ เรดฟอร์ด
อย่างน้อยคนผิวสีก็ควรได้สิทธิ์ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขา” นักเขียนบทละครกล่าว
“ผมคิดว่าพาราเมาท์หวั่นเกรงคำเรียกร้องของออกัสต์
อาจหงุดหงิดบ้าง แต่ก็เคารพความคิดเห็นของเขา” จอห์น
เบรกีโอ ทนายความของวิลสันกล่าว “มันเป็นช่วงเวลาน่าอึดอัด
แต่ไม่มีใครอยากขัดใจออกัสต์” เบรกีโอได้ขอให้โปรดิวเซอร์
วอร์ริงตัน ฮัดลิน รวบรวมรายชื่อผู้กำกับผิวดำที่มีเครดิตพอจะทำโครงการนี้
และวิลสันก็ได้พบปะพูดคุยกับหลายคน สไปค์ ลี ติดงานและไม่สนใจ บิล ดุค
นักแสดงที่กำลังจะผันตัวมาอยู่หลังกล้องครั้งแรกใน A Rage in
Harlem กลายเป็นมือวางอันดับหนึ่ง เขานั่งรถไฟไปพบวิลสันที่พิทส์เบิร์ก
บ้านเกิดนักเขียนที่ถูกใช้เป็นฉากหลังส่วนใหญ่ในบทละคร 10 เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนผิวสีในศตวรรษที่ 20 ของเขา “ตอนนั้นการจะดัดแปลงบทละครของคนผิวสีให้เป็นหนังไม่ใช่เรื่องง่าย”
ดุคกล่าว “เราคุยกันแล้ว พยายามกันแล้ว แต่ไม่สำเร็จ”
หลังงานกำกับชิ้นแรกเรื่อง Boyz N the Hood จอห์น
ซิงเกิลตัน ก็สนิทสนมกับวิลสัน ตลอดสองปีต่อมาทั้งสองได้นัดพบเพื่อพูดคุยว่าดัดแปลง Fences เป็นหนังอย่างไร แต่มันไม่เคยพัฒนาไปสู่พันธะผูกพันจริงจัง
นอกจากนั้นหลายคนเชื่อว่าตัวผู้บริหารสตูดิโอเองก็ไม่กระตือรือร้นจะสร้างหนังเท่าไหร่ด้วย
กาลเวลาผันผ่านจนเมอร์ฟีย์แก่เกินกว่าจะรับบทวัยรุ่นอายุ 17 ปี โครงการจึงถูกเก็บขึ้นชั้นไปโดยปริยาย “ต้องเข้าใจก่อนว่าสมัย
สไปค์ ลี โด่งดังและผมเริ่มกำกับหนัง ผู้กำกับผิวสีถือเป็นเรื่องแปลกใหม่”
ซิงเกิลตันกล่าว
จากนั้นในปี 1997 โปรดิวเซอร์ชื่อดัง สก็อต รูดิน ก็ซื้อลิขสิทธิ์ Fences ต่อจากบริษัทของเมอร์ฟีย์ บทหนังหลายร่างถูกแก้ไขดัดแปลงโดยวิลสัน
แต่โครงการก็ไม่ขยับคืบหน้าและหาผู้กำกับไม่ได้ จนกระทั่งวิลสันเสียชีวิตในปี 2005 สี่ปีต่อมารูดินปัดฝุ่นโครงการด้วยการส่งบทไปให้ เดนเซล วอชิงตัน
ซึ่งเคยได้ดูละครเวทีเวอร์ชั่นต้นฉบับในปี 1987 พร้อมกับขอให้เขารับหน้าที่กำกับและนำแสดง
วอชิงตันตอบตกลง แต่ก่อนอื่นเขาอยากทำ Fences เวอร์ชั่นละครเวทีก่อน
ฉะนั้นในปี 2010 รูดินจึงจัดสร้างโปรดักชั่นบรอดเวย์ละครเรื่องนี้โดยมีวอชิงตัน
กับ ไวโอลา เดวิส นำแสดง กว่าโครงการหนังจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างก็ใช้เวลาอีก 5 ปี แต่ปัญหาอยู่ตรงที่บทหนังยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นในช่วงต้นปี 2016 รูดินจึงจ้าง โทนี คุชเนอร์
มาทำงานร่วมกับวอชิงตันเพื่อขัดเกลาบทหนังของวิลสัน
วอชิงตันบอกว่าทุกคำพูดในหนังเดินตามรอยบทพูดที่เขียนโดยวิลสันราวกับคำภีร์ไบเบิล “ถ้าหนังมีคำพูดทั้งหมด 25,000 คำ 24,900 คำเป็นฝีมือของออกัสต์” ความท้าทายสำคัญ คือ
จะดัดแปลงบทละครที่ดำเนินเหตุการณ์ตลอดทั้งเรื่องในสวนหน้าบ้านให้กลายเป็นหนังที่มีชีวิตชีวาได้อย่างไร
“คำพูดอาจเป็นของวิลสันแทบทั้งหมด แต่วิธีที่เราถ่ายทอดคำพูดเหล่านั้นต่างหากที่แตกต่าง”
วอชิงตันอธิบาย
ท่ามกลางกระแสนิยมของหนังซูเปอร์ฮีโร่และแฟรนไชส์หนังภาคต่อ
การที่หนังเรื่อง Fences สามารถถือกำเนิดขึ้นได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อยู่ในตัว “การจะดัดแปลงบทละครอย่าง Fences ให้กลายเป็นหนังต้องอาศัยพลังดาราของคนอย่างเดนเซล”
เบรกีโอกล่าว “มันเป็นเรื่องยากสำหรับตอนนั้น
และที่มันเป็นไปได้ในตอนนี้ก็เพราะเดนเซลคนเดียวเลย” สุดท้ายวิลสันก็สมหวังดังใจ
เขาได้ผู้กำกับผิวดำมาดัดแปลงบทละครชิ้นเอกของเขา “ในความเห็นผม” เจมส์ เอิร์ล โจนส์ กล่าว “ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการดัดแปลงละครเรื่อง Fences มันจะให้ความรู้สึกร่วมสมัยรึเปล่าถ้าถูกสร้างในปี 1991 ไม่มีใครสามารถเดาได้”
Moonlight
คงมีหนังแค่ไม่กี่เรื่องที่ทุกคนจะพร้อมใจลงความเห็นว่ามันสมบูรณ์แบบ และปีนี้ตำแหน่งดังกล่าวคงตกเป็นของ
Moonlight ผลงานกำกับของ แบร์รี เจนกินส์
ที่ทุกคนพากันตกหลุมรัก เล่าถึงเรื่องราวการเติบใหญ่ของเด็กชายผิวดำคนหนึ่งในไมอามีชื่อว่าไชรอน
เขาเติบโตมาในความยากจนข้นแค้น... และเขาเป็นเกย์ มหัศจรรย์ของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงที่มันหาได้สนใจวิเคราะห์เจาะลึกประเด็นต่างๆ
เหล่านั้น เพราะสิ่งเดียวที่มันสนใจคือธรรมชาติของมนุษย์ จะมีหนังเกี่ยวกับชายผิวดำสักกี่เรื่องกันเชียวเป็นแบบนี้
จริงอยู่นักดูหนังส่วนใหญ่อาจรู้สึกคุ้นตา หรือถึงขั้นเบื่อหน่ายบรรดาตัวละครผิวดำที่ซ้ำซาก
ขายยา ติดยา ยากจน แต่ไม่ใช่ในลักษณะที่เน้นย้ำความเป็นมนุษย์แบบที่เห็นในหนังเรื่องนี้
ทั้งแง่มุมที่งดงาม เช่นเดียวกับทุกข์ทรมาน ปัญหาและความล้มเหลวของพวกเขาถูกสะท้อนเด่นชัด
แต่ด้วยสัมผัสอันนุ่มนวล
การอธิบายว่า Moonlight เป็นหนังเกี่ยวกับการเติบโตมาเป็นเกย์ผิวดำในครอบครัวยากจนมีความถูกต้องในระดับหนึ่ง
และมันก็ไม่ผิดหากจะบอกว่าหนังพูดถึงปัญหายาเสพติดและความรุนแรงในโรงเรียน
แต่คำอธิบายเหล่านั้นไม่พอที่จะนิยามความงามของหนัง อาจสอดคล้องกับอารมณ์และจิตวิญญาณของหนังมากกว่าถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้พูดถึงการสอนเด็กว่ายน้ำ
การปรุงอาหารให้เพื่อนสนิท สัมผัสของผืนทรายและเสียงคลื่นแห่งท้องทะเลยามค่ำคืน
จูบแรก ตลอดจนความเสียใจที่ไม่เคยจางหายไป Moonlight ดัดแปลงจากบทละครเรื่อง In Moonlight Black Boys Look
Blue ของ ทาเรล อัลวิน แม็คเครนีย์
แบ่งเรื่องราวตามสามช่วงชีวิตของไชรอน และความหมายของการเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว คือ
หนึ่งในคำถามที่เจนกินส์ให้ความสนใจ คุณจำเป็นต้องแกร่งแค่ไหน โหดร้ายแค่ไหน
อ่อนโยนแค่ไหน กล้าหาญแค่ไหน และคุณจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ไชรอนเริ่มต้นเรียนรู้ผ่านความกลัวและความสับสน
เขาปรากฏตัวครั้งแรกบนจอขณะวิ่งหนีจากกลุ่มเด็กเกเร เขาตัวเล็กกว่าคนอื่นๆ จึงถูกล้อเลียนด้วยสมญานามว่า
ลิตเติล แต่ยังมีความแตกต่างอีกด้านของเขาด้วย และความพยายามที่จะทำความเข้าใจต่อ “ความแตกต่าง” ดังกล่าวจะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
อีกแง่มุมชีวิต ซึ่งเจ็บปวดและซับซ้อนไม่แพ้กันของไชรอน คือ
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ (นาโอมิ แฮร์ริส) ซึ่งค่อยๆ
ปล่อยตัวถลำลึกสู่การครอบงำของยาเสพติดพ่อค้ายาที่คุมละแวกบ้านของไชรอน คือ ฮวน
(มาเฮอร์ชาลา อาลี) ซึ่งต่อมากลายเป็นเหมือนพ่อที่ไชรอนไม่เคยมี
เขาอาศัยอยู่กับแฟนสาว เทเรซา (เจเนล โมเน)
ในบ้านหลังโต ซึ่งกลายเป็นเหมือนแหล่งพักพิงทางใจสำหรับไชรอน แต่เด็กชายหาได้มืดบอดต่อความยอกย้อนแห่งชะตากรรม
“แม่ผมติดยาใช่มั้ย” เขาถามฮวนที่โต๊ะอาหาร
“คุณขายยาใช่มั้ย” ใบหน้าของเด็กชายขณะเขาปะติดปะต่อเรื่องราวและปฏิกิริยาของฮวนอาจทำให้คุณหัวใจสลายได้ง่ายๆ
มีเสียงต่อต้านจากคนบางกลุ่มซึ่งอ้างว่า Moonlight
คุกคามภาพลักษณ์ความเป็นชายของคนผิวสี เสียงสะท้อนนี้ดูจะสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ก่อนหน้าของ
เน็ด พาร์คเกอร์ นักแสดงนำ/ผู้กำกับ The Birth of a
Nation หนังซึ่งถูกเก็งตั้งแต่ตอนต้นปีว่าจะเป็นตัวแทนคนผิวสีบนเวทีออสการ์
เขาบอกว่าเขาไม่คิดจะสวมบทเป็นตัวละครเกย์เพราะเขาอยาก “อนุรักษ์ภาพลักษณ์ความเป็นชายของคนผิวดำ”
ไว้ “ตอนเด็กๆ คุณจะพูดถูกกรอกหูเสมอว่าคนผิวดำจะต้องอยู่เหนือคนผิวขาว”
เทรแวนต์ โรเดส
อดีตนักกีฬาที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงและทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในบทไชรอนวัยหนุ่ม
กล่าว “ต้องเข้มแข็งกว่า แมนกว่า และทรงพลังกว่าตลอดเวลา มันฝังหัวไปโดยอัตโนมัติว่าคุณไม่สามารถแสดงความอ่อนแอ
หรือเปราะบางให้ใครเห็นได้” เจนกินส์เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว
“ผมคิดว่าสังคมอเมริกันผลักดันให้ชายผิวดำปลุกใจตัวเองให้ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด
และยิ่งคุณพยายามปลุกใจตัวเองให้เข้มแข็งเท่าไหร่
คุณก็ยิ่งเก็บกดความอ่อนแอเอาไว้ภายในให้ลึกลงไปอีก ผมคิดว่ามันเชื่อมโยงกันอยู่”
ธีมดังกล่าวปรากฏให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง เมื่อเด็กชายที่ชอบเต้นรำเติบใหญ่กลายเป็นวัยรุ่นที่หวาดกลัวและผู้ชายที่พยายามวางมาดว่าเป็นอาชญากรใจหิน
“เราทุกคนล้วนมีทั้งความเป็นหญิงและชายอยู่ในตัว”
นาโอมิ แฮร์ริส กล่าว “เราเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง
ฉันคิดว่านี่เป็นสารอันทรงพลังของหนัง
เพราะสุดท้ายแล้วเราอยากให้คนพยายามดิ้นให้หลุดจากกรอบที่สังคมบีบบังคับ
และการเป็นมนุษย์หมายความว่าคุณสามารถอ่อนแอและเข้มแข็งได้พร้อมๆ กัน”
ทีมงานตระหนักดีว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายในช่วงเวลาที่วิกฤติความรุนแรงของตำรวจต่อชายหนุ่มผิวดำในอเมริกากำลังเข้มข้นถึงขีดสุด
ขับเคลื่อนจากอคติทางสีผิว
และตอกย้ำด้วยภาพลักษณ์แบบเหมารวมที่มักจะเห็นตามสื่ออย่างทีวีและภาพยนตร์ “ล่าสุดผมไปถ่ายหนังที่เวอร์จิเนีย และถูกตำรวจตามสอดส่องเพียงเพราะผมยกหมวกฮู้ดขึ้นมาคลุมหัว”
โรเดสเล่า “มันเหลือเชื่อมาก และน่าเป็นห่วงที่เหตุการณ์แบบนี้ยังคงอยู่”
สำหรับเจนกินส์การทำให้ตัวละครอย่างไชรอนเป็นที่รู้จักในวงกว้างคือสิ่งสำคัญสูงสุด
“เราไม่ค่อยได้เล่าเรื่องราวของคนเหล่านี้และไม่มีโอกาสมอบเลือดเนื้อให้กับพวกเขา
สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”
บางทีสิ่งที่สวยงามที่สุดเกี่ยวกับ Moonlight อาจอยู่ตรงคุณสมบัติแบบปลายเปิด ความยับยั้งชั่งใจที่จะตีตรา
หรือแบ่งกลุ่ม เช่นเดียวกับหนังที่เปี่ยมเอกลักษณ์ ท้าทายคนดูเรื่องอื่นๆ ประเด็นเนื้อหาเป็นสิ่งที่ยากจะชี้ชัดลงไป
แต่สิ่งหนึ่งที่คนดูสามารถตระหนัก นอกเหนือจากวิบากกรรมสารพัดของไชรอน คือ
เขาเป็นอิสระในท้ายที่สุด เด็กชายซึ่งถูกทอดทิ้ง กลั่นแกล้งได้เติบใหญ่กลายเป็นชายหนุ่มผู้เข้าใจตนเอง
ตลอดจนโลกรอบข้าง ถึงแม้เราคนดูจะรู้สึกเจ็บปวดจากการเฝ้าสังเกตขั้นตอนการเติบใหญ่ของเขา
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็น่าตื่นเต้นมาก มีเพียงผลงานศิลปะชั้นยอดเท่านั้นที่คลุกเคล้าอารมณ์ทั้งสองได้อย่างกลมกลืนและเสียดแทง
Manchester by the Sea
Manchester by the Sea ไม่ใช่หนังที่รื่นรมย์
เปี่ยมสุขสักเท่าไหร่ คุณอาจรู้สึกอยากกอดใครสักคนหลังดูจบ หนังซึ่งนุ่มนวล
ละเอียดอ่อนเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของ ลี แชนด์เลอร์ (เคซีย์
อัฟเฟล็ค) ชายหนุ่มที่เก็บตัวตามลำพังเนื่องจากบาดแผลทางใจ
หลังพี่ชายเขา (ไคล์ แชนด์เลอร์) เสียชีวิตและระบุในพินัยกรรมให้เขาดูแลลูกชายวัยรุ่น
(ลูคัส เฮดเจส) ความสัมพันธ์อันกระท่อนกระแท่นระหว่างน้าหลานก็เริ่มต้นขึ้น...
ด้วยความไม่เต็มใจของทั้งสองฝ่าย แต่ทุกข์ไม่ได้จบลงแค่นั้น
ลีถูกบีบให้ต้องกลับมายังบ้านเกิดและหวนรำลึกโศกนาฏกรรมในอดีต เมื่อปมดังกล่าวถูกเปิดเผย
อารมณ์ทั้งหลายก็พลันไหลทะลักส่งผ่านจากตัวละครมาถึงคนดู ผู้กำกับ เคนเน็ธ โลเนอร์แกน
ไม่เคยกังวลว่าหนังของเขาจะสลดหดหู่เกินไป “เราทุกคนล้วนเคยประสบเหตุการณ์บางอย่างที่เหลือจะทน
ไม่ผิดอะไรถ้าเราจะจำลองเหตุการณ์แบบนั้นมาไว้ในหนัง” เขากล่าว
นักวิจารณ์ดูเหมือนจะเห็นด้วย
เพราะหนังของเขาเดินหน้ากวาดรางวัลมากมายก่อนจะลงท้ายด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์
6 สาขา โลเนอร์คุ้นเคยกับความสำเร็จเป็นอย่างดี ตอนอายุ
20 กว่าๆ เขาหาเลี้ยงตัวเองด้วยการเขียนก็อปปี้โฆษณา
ตามมาด้วยบทละครเวทีเรื่อง This Is Our Youth ในปี 1996
ซึ่งกวาดคำชมท่วมท้นเกี่ยวกับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ
เขาเขียนบทหนังอยู่หลายเรื่อง (Analyze This, The Adventures of Rocky
& Bullwinkle) และผันตัวมากำกับหนังเรื่องแรก You Can
Count On Me ซึ่งได้เข้าชิงออสการ์สองรางวัล หนึ่งในนั้น คือ
สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสำหรับโลเนอร์แกน
ความคิดในการสร้าง Manchester by the Sea เริ่มต้นจาก
จอห์น คราซินสกี้ กับเพื่อนของเขา แม็ท เดมอน ทั้งสองมีไอเดียคร่าวๆ
เกี่ยวกับหนังและต้องการให้โลเนอร์แกนเป็นคนเขียนบท แรกทีเดียวเดมอนตั้งใจว่าจะกำกับและนำแสดงเอง
แต่เนื่องด้วยตารางเวลาไม่ลงตัว
เขาจึงเสนอให้โลเนอร์แกนโดดมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับแทน เดมอนบอกว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำแบบนั้นเพราะเขาและคนอื่นๆ
ต่างเป็นห่วงโลเนอร์แกน (หลังเหตุหายนะที่ชื่อว่า Margaret
ซึ่งลงเอยด้วยการโรงขึ้นศาล) เขาอยากให้โลเนอร์แกนกลับมาเขียนบทหารายได้ให้ตัวเองอีกครั้ง
“ก็ใช่” โลเนอร์แกนยอมรับ
แม้จะเห็นว่ามันไม่จริงเสียทั้งหมดก็ตาม “ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วงผมและผมก็ดีใจ
มันเป็นช่วงตกต่ำอย่างแท้จริง แต่ผมก็ยังเขียนบทละครเรื่อง The Starry
Messenger ในปี 2009 แล้วก็เขียนบทและกำกับละครเรื่อง
Medieval Play ในปี 2011 จริงอยู่ตอนนั้นผมร้อนเงินเพราะมีหนี้สินท่วมหัว
และ Manchester by the Sea ก็เป็นงานที่ให้เงินดีมาก
แต่จริงๆ แล้วผมก็ชอบไอเดียตั้งแต่แรก เพราะถ้าไม่ชอบผมคงไม่ตกลงใจทำ”
เมื่อเดมอนไม่ว่างมาเล่น โลเนอร์แกนจึงเลือกอัฟเฟล็ค และงานแสดงอันลุ่มลึก
แต่ทรงพลังของเขาในบทชายหนุ่มที่ปิดกั้นตัวเองจากทุกคนรอบข้างกวาดคำชมและรางวัลนักวิจารณ์อย่างเป็นเอกฉันท์
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลานชายมีช่วงเวลาที่อ่อนโยน แต่ก็เต็มไปด้วยอุปสรรค
เนื่องจากความมุ่งมั่นของลีที่จะเก็บงำความรู้สึกไว้ข้างใน โลเนอร์แกนรักษาความสมจริงของเรื่องราวเอาไว้โดยตลอด
ไม่มีฉากจบแบบฮอลลีวู้ด ไม่มีการคลี่คลายที่ง่ายดาย แต่นำเสนอการปลดปล่อยทางอารมณ์
มิเชลล์ วิลเลียมส์ ซึ่งรับบทเป็นอดีตภรรยาของลี บอกว่าโลเนอร์แกนร้องไห้หลังถ่ายฉากดรามาหนักๆ
บางฉากจบ และเมื่อหนังเข้าฉาย หลายคนบอกว่ามันช่วยให้พวกเขาได้ปลดปล่อย “พวกเขาพูดว่า ‘นี่เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อฉันเลย’
หรือ ‘เราก็เคยเจอกับอะไรแบบนี้’ ”
โลเนอร์แกนกล่าว “ผมถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วยความระแวดระวังพอสมควร
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังซีเรียสกว่าทุกอย่างที่ผมเคยเจอมา ผมต้องการเคารพในตัวเรื่อง
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาก็ตาม
แต่สำหรับหลายคนมันเป็นสิ่งที่พวกเขาเคยเผชิญ
ฉะนั้นผมจึงรู้สึกซาบซึ้งมากเวลามีคนบอกว่าพวกเขาเคยผ่านอะไรแบบนี้และรู้สึกดีกับหนัง”
อะไรทำให้หนังเรื่องนี้เข้าถึงใจผู้คน “ผมคิดว่าคงเพราะอย่างน้อยหนังจริงใจกับเรื่องราว ไม่เสแสร้งว่าเราสามารถทำใจลืมโศกนาฏกรรมแบบนี้ได้
ไม่มีคำโป้ปดแบบที่เห็นในหนังบีบน้ำตาทางทีวี
คนมากมายเคยทนทุกข์แบบเดียวกันและไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร
คงเป็นความรู้สึกอุ่นใจที่ได้เห็นภาวะแบบเดียวกันสะท้อนออกมาในหนัง
เพราะมันทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยว” โลเนอร์แกนอธิบาย
แม้จะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
แต่ Manchester
by the Sea ไม่ใช่หนังมืดหม่น อารมณ์ในหนังอาจดิบ เสียดแทง
และเหลือจะทนได้ในบางครั้ง ฉากระหว่างอัฟเฟล็คกับ มิเชลล์ วิลเลียมส์ สามารถทำให้คนดูถึงกับร้องสะอื้นได้ไม่ยาก
แต่สุดท้ายแล้วหนังกลับให้ความรู้สึกอิ่มเอิบอย่างประหลาด โล่งใจเหมือนได้ปลดปล่อยบางอย่างลงจากบ่า
“ลีอาจมีปัญหาในการเผชิญชีวิต แต่เขาก็เป็นคนตลก
ไอเดียของหนังคือคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เมื่อคุณเปิดโอกาสให้ใครสักคนเข้ามาในโลกของคุณ
คุณก็ต้องรับมือกับคนๆ นั้น ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดี” หนังสะท้อนให้เห็นความแข็งแกร่งของจิตใจมนุษย์
ความสุขจากการได้อยู่ร่วมกัน และความพยายามที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า