วันพฤหัสบดี, มีนาคม 14, 2556

Oscar 2013: Best Actress



เอ็มมานูเอล ริวา (Amour)

ถึงแม้ครั้งหนึ่งเธอจะเคยเป็นสัญลักษณ์ของกระแส French New Wave ในยุค 1960 แต่นักแสดงมากประสบการณ์อย่าง เอ็มมานูเอล ริวา ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องชื่อเสียง หรือความสำเร็จมากนัก หรือกระทั่งพยายามขวนขวายหาบทนำในหนังหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 20 ปีโดยมีแค่บทสมทบเล็กๆ ใน Three Colors: Blue และ Venus Beauty Institute พอให้คนไม่หลงลืมเธอ แต่เมื่อ ไมเคิล ฮาเนเก้ ผู้กำกับชาวออสเตรียซึ่งเธอชื่นชมผลงานมานาน ขอร้องให้เธอร่วมแสดงในผลงานชิ้นล่าสุดของเขาเกี่ยวกับความรักและความตายเรื่อง Amour นักแสดงวัย 85 ปีกลับตอบตกลงในทันที

ถึงแม้บทครูสอนดนตรีวัยเกษียณ ที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพหลังเส้นเลือดในสมองแตก ส่งผลให้ริวากวาดคำชม ตลอดจนรางวัลมากมายมาครอง แต่นักแสดงระดับตำนานกลับไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องอายุ หรือการคัมแบ็คทางด้านอาชีพนักแสดงแต่อย่างใด เธอยังชื่นชอบชีวิตเรียบง่าย หรือสิ่งธรรมดาสามัญที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อนกพิราบบินมาเกาะตรงหน้าต่างอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเธออาศัยมานานเกือบ 50 ปี หรือภาพวาดทิวทัศน์ที่แขวนประดับตามฝาผนัง ควบคู่กับภาพวาดสัตว์ต่างๆ รวมถึง ทีทิน แมวที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอ ฉันไม่เคยต้องการจะโด่งดัง เธอกล่าว ฉันแค่อยากทำในสิ่งที่ฉันมีความสุขที่จะทำ และฉันจำเป็นต้องทดลองหลายสิ่งที่แตกต่างกันไป ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการเห็นนักแสดงรับเล่นบทเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกวันนี้เธอใช้ชีวิตโดยปราศจากโทรศัพท์มือถือและโทรทัศน์ (เธอไม่มีลูก ส่วนคู่ชีวิตของเธอจากไปเมื่อปี 1999) และยืนกรานจะใช้ชีวิตดุจคนธรรมดาต่อไป แม้ว่าหนังเรื่อง Amour จะทำให้ชื่อเสียงของเธอกลับมาโด่งดังอีกครั้ง

นับตั้งแต่วัยเด็กริวาชื่นชอบการแสดงเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าการยึดอาชีพนี้ถือเป็นเรื่องไกลเกินฝันสำหรับสาวบ้านนอก (เมืองเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกของฝรั่งเศส) จากครอบครัวชนชั้นล่าง (พ่อของเธอทำงานเป็นช่างทาสี) ด้วยเหตุนี้ เธอจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมาทำงานเป็นช่างเย็บผ้าอยู่หลายปี ก่อนสมัครเข้าเรียนการแสดงในกรุงปารีสหลังเห็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และได้งานแสดงแรกเป็นละครเวทีเรื่อง Arms and the Man ในปี 1954 “ฉันอยากใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไปหลายๆ ชีวิตในเวลาเดียวกันริวากล่าว งานแสดงช่วยให้คุณได้ใช้ชีวิตเป็นคนหลายคน จากนั้นอีก 5 ปีต่อมา ชื่อเสียงซึ่งเธอไม่เคยถวิลหาก็พุ่งตรงมาโดยไม่ตั้งตัว เมื่อเธอรับบทนำในหนังคลาสสิกเรื่อง Hiroshima Mon Amour

ริวายอมรับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอตอบปฏิเสธมากพอๆ กับตอบตกลง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงห่างหายจากวงการหนังไปเป็นเวลานาน และอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับละครเวที รวมถึงการเขียนบทกวี ซึ่งจนถึงปัจจุบันได้รับการรวบรวมตีพิมพ์ทั้งหมดสามเล่ม สิ่งที่ดึงดูดใจเธอให้ตกลงรับเล่นหนังเรื่อง Amour คือ ภาพสะท้อนอันอ่อนโยน (ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่ปกติสำหรับหนังของฮาเนเก้) แต่ปราศจากการโน้มนำทางอารมณ์เกี่ยวกับชีวิตในวัยใกล้ฝั่ง ขณะเดียวกันการสะท้อนความเสื่อมถอยของสภาพร่างกาย ตลอดจนความตายอย่างตรงไปตรงมาของฮาเนเก้ก็ไม่ทำให้เธอนึกหวั่นเกรงแต่อย่างใด คำแนะนำแรกที่ฉันได้ คือ อย่าดรามาเธอกล่าว นับจากนั้นฉันก็เข้าใจและมองเห็นภาพชัดเจนว่าทุกอย่างจะดำเนินไปทางไหนเธอทุ่มเทให้กับบท และยินดีปรับโฉมตัวเองให้ดูแก่กว่าความเป็นจริง เธออาศัยสัญชาตญาณเพื่อเข้าถึงตัวละครมากกว่าจะเตรียมตัวค้นคว้าหาข้อมูล พร้อมทั้งพยายามขับไล่ความกลัวของตัวเองเกี่ยวกับความตาย อิสซาเบลล์ อูแปรต์ ซึ่งรับบทเป็นลูกสาวของเธอในเรื่องบอกว่า หนังของฮาเนเก้ คนดู คือ ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่ใช่นักแสดง ซึ่งริวาก็เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว


เจสซิก้า แชสเทน (Zero Dark Thirty)

ในการรับบทมายา นักวิเคราะห์ข้อมูลประจำหน่วย CIA ซึ่งทุ่มเทเวลากว่า 10 ปี ตามล่าบุคคลอันตรายที่อเมริกาหมายหัว โอซามา บินลาดิน เจสซิก้า แชสเทน ต้องวาดมาดแกร่ง แต่ซุกซ่อนความเปราะบางเอาไว้ เธอสบถคำหยาบภายใต้ภาพลักษณ์ของเด็กผู้หญิง และสะท้อนอารมณ์เปลี่ยวเหงา แต่ในเวลาเดียวกันก็เด็ดเดี่ยว รอบคอบในหน้าที่จนเป็นที่ยอมรับในหน่วยงานซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชายและบรรยากาศแห่งลัทธิชายเป็นใหญ่ เพื่อให้เข้าถึงแก่นแห่งตัวละคร แชสเทนเลือกใช้วิธีค้นหาข้อมูลก่อน ทุกครั้งที่รับบทเป็นตัวละครใดก็ตาม ฉันจะเริ่มต้นด้วยการเขียนรายการต่างๆ อันดับแรก คือ ตัวละครอื่นในหนังพูดถึงตัวละครที่ฉันต้องแสดงไว้ว่าอย่างไร และสำหรับหนังเรื่องนี้ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามายาเป็นเลิศในสิ่งที่เธอทำแชสเทนกล่าว

คนเขียนบท มาร์ค โบล เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าแจสซิก้าถ่ายทอดความมุ่งมั่นและการเสียสละของเจ้าหน้าที่ CIA ได้หมดจด และในชีวิตจริงเจ้าหน้าที่ CIA หลายคนก็มักจะมีบุคลิกโดดเด่นสะดุดตา ประเด็นดังกล่าวสะท้อนชัดผ่านหนึ่งในฉากที่ถูกพูดถึงมากที่สุดใน Zero Dark Thirty นอกเหนือจากฉากการทรมานนักโทษ เมื่อมายาตอกกลับคำถาม คุณเป็นใครของผู้อำนวยการ CIA ท่ามกลางการประชุมสุดเครียดเกี่ยวกับการบุกถล่มแหล่งกบดานของบินลาเดนว่า ฉันเป็นอีดอกที่เจอแหล่งกบดานแห่งนี้... ค่ะ ถึงแม้แชสเทนจะไม่เคยพบมายาตัวจริง แต่เธอเข้าใจว่าทำไมหล่อนจึงเลือกใช้ภาษาแบบนั้น คนรอบข้างบอกว่ามายาดูเหมือนเด็กหญิง ไม่ใช่ผู้หญิงเต็มตัว ฉันคิดว่ามันเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจมาก เพราะรูปลักษณ์แบบนั้นทำให้ผู้คนไม่ค่อยตระหนักถึงศักยภาพของเธอ นอกจากนี้เสียงของเธอยังเหมือนเด็กๆ ต่อมาฉันพบว่าเธอชอบสบถคำหยาบแบบเดียวกับคนขับรถบรรทุก สาเหตุเป็นเพราะใครๆ ก็มักจะมองข้ามหัวเธอในแวบแรก เธอต้องการให้คนรับฟัง ดังนั้นจึงเลือกสบถคำหยาบเพื่อช็อกพวกเขา

จากพื้นฐานการเลี้ยงดูแบบบ้านๆ แออัดด้วยพี่น้องอีก 4 คน ทำให้บางครั้งแชสเทนนึกประหลาดใจในโชคชะตา เมื่อสาวฮิปปี้ไม่ทานเนื้อสัตว์จากเมืองทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียได้รับโอกาสให้สวมบทบาทเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลใน The Debt และเจ้าหน้าที่ CIA ใน Zero Dark Thirty นั่นยังไม่รวมถึงการเดินพรมแดงเข้างานแจกรางวัลออสการ์ในฐานะผู้เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิงจาก The Help ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาว่า 2 ปีก่อน เธอยังเป็นแค่นักแสดงโนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก

แชสเทนเชื่อว่าจุดผกผันของตัวละครมายาเริ่มต้นจากมิตรภาพระหว่างเธอกับเพื่อนร่วมงานหญิง ซึ่งมุ่งมั่นในหน้าที่ไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้มายาเป็นพวกรักสันโดษ เธอไม่มีแฟน และใช้เวลาทั้งหมดพยายามบรรลุเป้าหมายโดยอาศัยมันสมอง ไม่ใช่ความเป็นหญิง ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังการนัดพบกับผู้ก่อการร้ายที่ค่ายแชปแมนอันห่างไกลจบลงด้วยหายนะ นับแต่นั้นมันกลายเป็นภารกิจส่วนตัว เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวละคร ฉากถัดมาเราจะเห็นเธอในสภาพไม่แต่งหน้า สวมเสื้อผ้าเหมือนผู้ชาย จริงอยู่ก่อนหน้านี้เธอเห็นเป็นหน้าที่ในการปกป้องประเทศ แต่หลังจากหายนะที่ค่ายแชปแมน เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกเลือกมาเพื่อให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง นั่นแหละมายา เธอมีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม และใครก็ไม่สามารถหยุดยั้งเธอได้เธอกล่าว

น้ำตาของมายาในฉากจบเป็นทั้งน้ำตาแห่งความสมหวังและความเวิ้งว้าง ว่างเปล่า ภารกิจเธอเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เธอได้พิสูจน์ตัวเองกับคนรอบข้างแล้ว แต่ขณะเดียวกัน เธอทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อการตามล่านี้ เมื่อมันจบลง ความรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจย่อมเกิดขึ้นตามมา เพราะเธอไม่รู้ว่าชีวิตต่อจากนี้ไปเธอจะทำอย่างไร... ไม่ต้องสงสัยว่าภาวะดังกล่าวห่างไกลจากจุดที่แชสเทนยืนอยู่มากแค่ไหน เพราะตอนนี้เธอกำลังพิสูจน์ฝีมือทางการแสดงในละครบรอดเวย์เรื่องThe Heiress และเพิ่งจะปิดกล้องหนังอินดี้เรื่อง The Disappearance of Eleanor Rigby ข้อเสนออาจยิ่งหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นอีก หากในอนาคตอันใกล้ เช่น หนึ่งเดือนข้างหน้าเธอได้เปลี่ยนสถานะจากผู้เข้าชิงเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์


เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Silver Linings Playbook)

ภาพลักษณ์บนจอของเธออาจดูเป็นหญิงแกร่ง พูดน้อยต่อยหนัก หรือถึงขั้นแข็งกระด้างในบางครั้ง แต่ตัวตนจริงๆ ของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กลับเรียกได้ว่าตรงกันข้าม เธอเปี่ยมอารมณ์ขัน พูดจากระโชกโฮกฮากเหมือนเด็กเกรียน แต่มีใบหน้าอ่อนหวานดุจเทพีงานพรอมในยุค 1970 และภายในช่วงเวลาแค่ 2 ปี เธอไต่เต้าจากนักแสดงหญิงดาวรุ่งในแวดวงหนังอินดี้มาเป็นซูเปอร์สตาร์จากหนังสุดฮิตอย่าง The Hunger Games โดยไม่สูญเสียบุคลิกติดดินและเป็นกันเอง อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียง ความโด่งดังไม่ได้ทำให้เธอหยุดมองหาบทที่น่าสนใจเพื่อลับคมทักษะและพัฒนาพรสวรรค์ หนึ่งในนั้น คือ การแสดงเป็นแม่ม่ายจิตตก ที่พยายามบำบัดความหดหู่ด้วยการมีเซ็กซ์เพื่อนร่วมงานทุกคน ในหนังตลกที่ผสมผสานแง่มุมอันมืดหม่นเอาไว้อย่างกลมกลืนเรื่อง Silver Linings Playbook

ผู้กำกับ เดวิด โอ รัสเซลล์ มีอิสระเต็มที่ในการคัดเลือกนักแสดง แต่เขาต้องงัดข้ออยู่พักใหญ่กับโปรดิวเซอร์ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ซึ่งถือลิขสิทธิ์นิยายของ แม็ทธิว ควิก และนำมาเสนอให้รัสเซลล์ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะสร้างหนังเข้าชิงออสการ์เรื่อง The Fighter ด้วยซ้ำ เนื่องจากไวน์สตีนเห็นว่าลอว์เรนซ์เด็กเกินกว่าจะเล่นเป็นคู่รักของ แบรดลีย์ คูเปอร์ (37 ปี) แต่นักแสดงสาววัย 22 ปีเอาชนะใจรัสเซลล์ได้จากการทดสอบหน้ากล้องทางสไกป์ ใบหน้าและดวงตาของเธอถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างชัดเจน เป็นธรรมชาติ ในขณะที่นักแสดงหลายคนต้องออกแรงพยายาม หลังจากนั้นอายุก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไปรัสเซลล์กล่าว

ตัวละครทิฟฟานีถูกปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปจากเดิมเช่นกัน ระหว่างการทดสอบหน้ากล้องครั้งแรก เจนนิเฟอร์แต่งหน้าจัดสไตล์โกธิค ย้อมผมดำ และสวมชุดแบบสาวพังค์ ซึ่งเล่นเอาฮาร์วีย์ขนหัวลุกรัสเซลล์เล่า พร้อมกับเสริมว่าสุดท้ายแล้วลอว์เรนซ์เลือกจะเก็บรายละเอียดบางอย่างไว้ (ผมดำและอายไลน์เนอร์จัดๆ) “ทิฟฟานีเป็นตัวละครที่มีปมปัญหาขั้นรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ลอว์เรนซ์ยกเครดิตให้รัสเซลล์ในการช่วยเหลือเธอให้ค้นพบบุคลิกของทิฟฟานี เขาบอกเธอให้พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะลอว์เรนซ์ไม่เคยชอบเสียงธรรมชาติของตัวเองสักเท่าไหร่ เธอบอกว่ามันฟังดูเหมือนเสียงของคนติดบุหรี่ นอกจากนี้ เขายังขอให้เธอเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกด้วย ซึ่งเธอยินดีจะทำเช่นกันเพราะ มันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นในฮอลลีวู้ดรูปร่างสูงใหญ่ (5 ฟุต 9 นิ้ว) มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ซึ่งทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเข้าฉากในหนังที่ใช้ชื่อว่า “The Hunger Games” ทำให้เธอรู้สึกประหม่ากับฉากเต้นรำ เวลาเต้น ฉันดูเหมือนคุณพ่อในงานพรอมของลูกสาวเธอกล่าว ฉันไม่เคยบังคับแขนกับขาให้ทำงานได้อย่างต้องการ นับแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น ฉันรู้สึกเหมือนเราไม่เข้าใจกันและกันเลย

การเติบโตมาในฟาร์มเลี้ยงม้าและท่ามกลางพี่น้องผู้ชายทำให้สมัยเด็กๆ ลอว์เรนซ์มีบุคลิกคล้ายทอมบอย ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในคอนโดที่แอลเอ และเพิ่งประกาศเลิกลากับนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษ นิโคลัส โฮลท์ (ทั้งสองพบกันในกองถ่ายหนังเรื่อง X-Men: First Class และกำลังจะร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ) เธอเซ็นสัญญาเล่นหนังชุด The Hunger Games ต่ออีก 3 เรื่อง นั่นคือ Catching Fire และ Mockingjay Part 1 และ 2 ทั้งหมดกำกับโดย ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (I Am Legend) ชื่อเสียงอันโด่งดังในชั่วข้ามคืนทำให้เธอต้องรับมือกับปาปารัซซี ซึ่งบางครั้งก็สร้างความกดดันอย่างมหาศาล และบรรดาแฟนหนังที่ตรงเข้ามาทักด้วยประโยคว่า ขอให้โชคเข้าข้างคุณตลอดไปซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจมากกว่าหงุดหงิดรำคาญ... บางทีถ้าโชคเข้าข้าง ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เธออาจทำสถิติเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์สาขานำหญิงที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 2 รองจาก มาร์ลี แม็ทลิน (Children of  a Lesser God) ก็ได้


นาโอมิ วัตส์ (The Impossible)

ในช่วงต้นเรื่องของ The Impossible คนดูจะเห็น นาโอมิ วัตส์ นอนพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์ระหว่างช่วงวันหยุดยาวกลางรีสอร์ทริมทะเลสุดหรู นั่นให้ความรู้สึกผิดหูผิดตาชอบกล แต่ไม่กี่นาทีต่อมา ท้องฟ้าก็เริ่มครึ้ม ฝูงนกบินหนีอย่างแตกตื่น แล้วทันใดนั้นคลื่นสึนามิขนาดยักษ์ก็พัดถล่มชายหาดจนทุกอย่างพังราบเป็นหน้ากลอง ตอนนี้คนดูจะเห็น นาโอมิ วัตส์ ในสภาพที่คุ้นเคย ร่างกายสะบักสะบอม กรีดร้องอย่างหวาดผวา และผลุบๆ โผล่ๆ ท่ามกลางกระแสน้ำอันเกรี้ยวกราด ขณะพยายามหาทางช่วยเหลือลูกชาย ซึ่งถูกพัดไปอีกทาง

วัตส์มักจะรับบทเป็นตัวละครที่ต้องเผชิญความทรมานแสนสาหัส ไม่ว่าจะทางร่างกาย หรือจิตใจ และแน่นอนทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บปวด หดหู่ คับแค้นของตัวละครมายังคนดูได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในหนังเรื่อง 21 Grams เธอเล่นเป็นแม่ม่ายติดยา ใน Funny Games เธอต้องต่อสู้กับสองฆาตกรโรคจิตที่บุกรุกบ้านของเธอ ใน The Ring ศัตรูของเธอ คือ ผีเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความแค้น ส่วน King Kong เองก็หาใช่หนังตลก-โรแมนติกแต่อย่างใด กระทั่ง นิโคล คิดแมน เพื่อนสนิท (ทั้งสองพบกันในกองถ่ายหนังเรื่อง Flirting) และหนึ่งในนักแสดงหญิงรุ่นเดียวกันเพียงไม่กี่คนที่มักจะได้บทนำเด่นๆ อยู่เสมอ ก็ยังมีชั่วโมงผ่อนคลายกับผลงานแบบ Bewitched แต่สำหรับวัตส์ บทบาทที่เบาสบายที่สุดของเธอในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา คือ หนังเมอร์แชนท์-ไอวอรี เรื่อง Le Divorce เธอให้เหตุผลในการรับเล่นบทหนักๆ เหล่านั้นว่า เพราะพวกมันเป็นเรื่องราวที่ทรงคุณค่า และฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีความลุ่มหลงในภาพยนตร์ และมีวิสัยทัศน์ที่เป็นเลิศ

น่าตลกตรงที่ ตัวจริงของวัตส์กลับดูบอบบางและปราศจากมาดสาวแกร่งอย่างสิ้นเชิง ฉันกลัวแทบทุกอย่างในโลกนี้นักแสดงวัย 44 ปี กล่าว ฉันกลัวแทนลูกๆ ตลอดเวลา แต่ฉันพยายามตระหนักในความกลัวเหล่านั้นเพื่อให้สามารถก้าวผ่านมันไปได้เธอบอกว่าสาเหตุที่ตอบตกลงเล่นหนังเรื่อง The Impossible คือ โอกาสในการถ่ายทอดความหวาดกลัวสูงสุดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคน ซึ่งได้แก่ การต้องพลัดพรากจากลูกๆ หนังดัดแปลงจากเหตุการณ์จริงของครอบครัวชาวสเปน (เปลี่ยนมาเป็นครอบครัวชาวอังกฤษในหนัง) ที่ต้องเดินทางออกตามหากันและกันเป็นเวลาหลายวันหลังจากเกิดสึนามิ ผู้กำกับชาวสเปน เจ. เอ. บาโยนา (The Orphanage) บอกว่าเขาวาดภาพวัตส์ในหัวตั้งแต่แรก เธอกล้าที่จะไปให้ถึงขีดสุด และกระทั่งก้าวข้ามมันไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงทำงานได้เข้าขากับผู้กำกับชาวละติน (เช่น อเลฮานโดร อินอาร์ริตู ซึ่งผลักดันให้เธอได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจาก 21 Grams) พวกเราเอาจริงเอาจังไม่แพ้เธอ

ก่อนจะมายืนอยู่แถวหน้าเช่นทุกวันนี้ วัตส์ต้องเวียนว่ายอยู่กับการถ่ายโฆษณาและรับงานแสดงในหนังอย่าง Children of the Corn IV เธอเคยถังแตกจนไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า หรือประกันสังคม และเคยคิดจะโบกมือลาการแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอหลงรัก แบบถาวรอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งรูปถ่ายของวัตส์เกิดไปสะดุดตา เดวิด ลินช์ ระหว่างคัดเลือกหานักแสดงนำหญิงในหนังเรื่อง Mulholland Dr. และทันทีที่หนังเปิดฉายในเมืองคานส์ กวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างท่วมท้น วัตส์ในวัย 32 ก็กลายเป็นนักแสดงที่ใครๆ ก็อยากจะร่วมงานด้วย โดยล่าสุดเธอจะสวมบทบาทเป็น ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ในหนังชีวประวัติเรื่อง Diana ซึ่งโฟกัสไปยังช่วงสองสามปีสุดท้ายก่อนเธอจะเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์


คัวแวนจาเน วอลลิส (Beasts of the Southern Wild)


ตอนได้รับเลือกให้รับบทนำในหนังเรื่อง Beasts of the Southern Wild คัวแวนจาเน วอลลิส อายุแค่ 5 ขวบ เธอต้องฟันฝ่าผ่านกลุ่มเด็กหญิงรุ่นๆ เดียวกันมากกว่า 4,000 คนกว่าจะได้บทนี้มาครอง โดยฝ่ายแคสติ้งและผู้กำกับ เบน ไซท์ลิน ได้แจกจ่ายใบปลิวตามโรงเรียน โบสถ์ ตลาด และศูนย์ชุมชนกว่า 8 เขตทางตอนใต้ของรัฐลุยเซียนาเป็นเวลานานกว่า 9 เดือนเพื่อค้นหาเด็กหญิงอายุระหว่าง 6-9 ขวบที่จะมารับบทเป็นฮัชพัพพี ตัวละครเอกของหนังอินดี้ทุน 1.5 ล้านเหรียญที่ผสมผสานความสมจริงเข้ากับตำนานและความเชื่อ แม่ของวอลลิสได้รับแจ้งข่าวเรื่องประกาศรับสมัครจากเพื่อนคนหนึ่ง และตัดสินใจพาลูกสาวไปลองคัดเลือก แม้ว่าเธอจะอายุแค่ 5 ขวบก็ตาม วอลลิสต้องผ่านการทดสอบหน้ากล้องถึง 5 ครั้งกว่าจะได้เจอตัวผู้กำกับ เธอได้รับแจ้งข่าวดีว่าเป็นผู้ชนะขณะกำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้านในเมืองนิวออร์ลีน หนูตะโกนว่า เยส!” แล้วก็กระโดดขึ้นเต้นไปรอบห้องเด็กหญิง ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมที่อายุน้อยที่สุด กล่าว

ใครก็ตามที่ได้ชม Beasts of the Southern Wild อาจรู้สึกช็อกเมื่อทราบว่านี่เป็นการแสดงครั้งแรกของทั้งวอลลิส และ ดไวท์ เฮนรี ผู้รับบทพ่อของเธอ (ในชีวิตจริงเขาเปิดร้านขายเบเกอรีในนิวออร์ลีนส์) เพราะทั้งสองทำให้คนดูเชื่อในตัวละครได้อย่างสนิทใจ และสะเทือนใจไปกับชะตากรรมที่พวกเขากำลังประสบ โดยแรกเริ่มเดิมทีไซท์ลินตั้งใจจะให้หนังของเขามีโทนอารมณ์ขันมากกว่านี้ แต่ทันทีที่ได้เห็นวอลลิสในระหว่างการทดสอบหน้ากล้อง เขาก็เชื่อตัวเองได้ขุดพบบ่อทองขนาดใหญ่ เนื่องจากเธอมีพลังดึงดูดใจบางอย่าง และสะท้อนความหนักแน่นจนเขาเชื่อมั่นว่าเธอจะสามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้ สุดท้ายโทนอารมณ์โดยรวมจึงค่อนข้างเข้มข้น จริงจังมากกว่าความตั้งใจแรกของเขาค่อนข้างมาก เมื่อถูกถามว่าเธอมีบุคลิกใกล้เคียงกับตัวละครฮัชพัพพีมากน้อยแค่ไหน คำตอบของวอลลิส คือ เราไม่เหมือนกันสักนิด เธอไม่ได้สวมกางเกงเหมือนฉัน ในช่วงต้นเรื่องฮัชพัพพีใช้เวลาส่วนใหญ่เดินคลุกโคลนโดยสวมรองเท้าบู๊ท เสื้อยืดมอมๆ และกางเกงในสีส้ม

วอลลิสบอกว่าในอนาคตเธออยากมีอาชีพเป็นนักแสดง พิจารณาจากผลงานใน Beasts of the Southern Wild  ฝันนั้นอาจกลายเป็นจริงได้ไม่ยาก เนื่องจากพรสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่เธอขาดแคลน (พิสูจน์ได้จากฉากสำคัญในหนังซึ่งเธอต้องร้องไห้ และฉากดังกล่าวน่าจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์) ที่เหลือคงเป็นแค่โอกาสและโชคอีกนิดหน่อย ไซท์ลินยอมรับว่าการร่วมงานกับวอลลิสนั้นค่อนข้างราบรื่น ไม่ประสบปัญหาใดๆ แม้กระทั่งในฉากที่ต้องเรียกร้องทักษะการแสดงอย่างหนัก ตรงกันข้าม ความยากสูงสุดกลับเป็นฉากที่เธอจะต้องมอมแมม เราเกลี้ยกล่อมโดยเริ่มจากการค่อยๆ ทาดินที่มือเธอ แล้วบอกว่ามันไม่เจ็บหรอกเขาเล่า แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาเข้าฉาก เธอก็ยินดีกระโดดลงไปคลุกโคลนแบบเต็มตัว แค่ต้องใช้เวลาบิวท์นิดหน่อย

ไม่ต้องสงสัยว่าชื่อเสียงในชั่วข้ามคืนสร้างความประหลาดใจให้วอลลิสมากแค่ไหน หนังเริ่มต้นด้วยการคว้ารางวัลจากซันแดนซ์ ตามมาด้วยเสียงตอบรับอย่างอบอุ่นที่คานส์ (และรางวัล Camera d’or) โดยคนดูถึงกับลุกขึ้นยืนปรบมือให้หนังนานถึง 9 นาที หนูได้ยินแต่เสียงคนตะโกนเธอบรรยายความรู้สึกในขณะนั้น แต่แน่นอนเธอชอบประสบการณ์ดังกล่าวมาก อายุ 8 ขวบ แต่ได้ไปฝรั่งเศส และยืนอยู่ตรงนั้น ให้สัมภาษณ์ ถ่ายรูป และออกรายการโทรทัศน์ มันเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยคาดฝันมาก่อน

ไม่มีความคิดเห็น: