ถ้าเทียบกับหนัง LGBT ชื่อดังเรื่องอื่นๆ ของปี 2017
ด้วยกัน อาจพูดได้ว่า
God’s Own Country ลดทอนแง่มุมความกดดัน ตลอดจนอคติในสังคมต่อเพศทางเลือกมากที่สุดจนแทบจะกลายเป็นศูนย์
เพราะแม้กระทั่งหนังซึ่งจงใจรีดบริบททางสังคมออกจนหมด เหลือไว้เพียงอารมณ์ความรู้สึกของการตกหลุมรักอย่าง
Call Me by Your Name คนดูยังไม่วายตระหนักถึงแง่มุมส่วนนี้ได้จากการตัดสินใจในตอนท้ายของโอลิเวอร์
นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนังที่ตีแสกหน้าประเด็นดังกล่าวอย่าง Beach Rats, A Fantastic Woman และ BPM
(Beats Per Minute) น่าสังเกตว่าถึงแม้ จอห์นนี
จะใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อบอวลไปด้วยความเป็นชายระดับเข้มข้น
(เช่นเดียวกับตัวเอกใน Beach Rats) แต่เขากลับไม่เคยพยายามจะปกปิดเพศวิถีของตนเองสักเท่าไหร่ กระทั่งเพื่อนสาวสมัยมัธยมก็ดูจะตระหนักดีว่าเขามีรสนิยมเช่นใด
ส่วนพ่อกับย่าของเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจอร์จี้มากนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของเหล่าตัวละครรอบข้างแจ็คและเอนนิสในหนังซึ่งมักจะถูกยกมาเปรียบเทียบอยู่เนืองๆ
อย่าง Brokeback Mountain
ตอนที่หนังเรื่อง Brokeback Mountain เข้าฉาย บล็อกเกอร์บางคนวิจารณ์ความไม่สมจริงของเรื่องราวว่าเหตุใดตัวละครเอกจึงไม่ตัดสินใจย้ายเข้าเมือง
แล้วใช้ชีวิตเกย์อย่างอิสระ มีความสุข เหมือนเกย์อีกจำนวนมากในยุค 70-80 ที่อพยพจากเขตรอบนอกเข้าสู่มหานคร อาทิ นิวยอร์ก
ซานฟรานซิสโก พวกเขามองข้ามแก่นสำคัญจริงๆ ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ตรง “สถานที่” เท่านั้น (ถ้าบ้านนอกใจแคบก็ย้ายเข้าเมืองซึ่งวัฒนธรรมรักร่วมเพศเจริญรุ่งเรืองสิ) หากแต่อยู่ตรงจิตใจภายใน เอนนิส เดลมาร์
ถูกเลี้ยงดูและปลูกฝังว่าความสัมพันธ์แบบชายรักชายเป็นความผิด เป็นเรื่องน่าละอาย
และสุดท้ายอาจนำไปสู่ความตาย ความหวาดกลัว สับสนในลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้
ไม่ว่าจะในเมืองหรือชนบท ในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่เชื่อให้ลองดูตัวละครเอกจาก Beach Rats เป็นตัวอย่าง เขาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ริมชายฝั่ง สามารถหาเซ็กซ์ฉาบฉวยได้ตามเว็บไซต์สารพัด
แต่ยังจำทนกับชีวิตกำมะลอไปวันๆ พยายามปกปิดความต้องการแท้จริงทั้งจากตัวเองและคนรอบข้าง
ต่างจากจอห์นนี ผู้มีอาชีพใกล้เคียงกับตัวละครเอกใน Brokeback Mountain แต่จิตใจเขากลับปราศจากตราบาปแห่งรักร่วมเพศ
เช่นเดียวกับ Call Me by Your Name ปมของตัวละครอย่างจอห์นนีเป็นปมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
ไม่จำเพาะเจาะจงแต่กับรักร่วมเพศเท่านั้น (แต่อารมณ์รักร่วมเพศอาจทำให้ปมดังกล่าวมีความเข้มข้น
ซับซ้อนมากขึ้น) ผู้กำกับ ฟรานซิส ลี เคยให้สัมภาษณ์ว่า
“Brokeback Mountain พูดถึงฉากหลังและช่วงเวลาอันจำเพาะเจาะจง
ตัวละครเอกทั้งสองไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะอคติทางสังคม ใน God’s Own Country ประเด็นคือการปิดกั้นตัวเอง”
จอห์นนีเป็นชายหนุ่มที่เติบโตมาไม่แตกต่างจากสภาพภูมิประเทศรอบตัว แห้งแล้ง หนาวเหน็บ หยาบกร้าน แม่ทอดทิ้งเขาให้อยู่ตามลำพังกับพ่อและย่าในชนบทอันห่างไกล ที่ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
ชีวิตเขาเต็มไปด้วยภาระหนักอึ้งในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเขาต้องแบกรับเพียงลำพังหลังจากพ่อป่วยหนัก เขาถูกคาดหวังให้เป็นเหมือนพ่อ นั่นคือ ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงวัวฝูงแกะเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อจอห์นนีบังเอิญเจอเพื่อนสมัยมัธยมในฉากหนึ่ง คนดูสามารถสัมผัสได้ถึงความขมขื่นของชายหนุ่มผู้ติดกับอยู่ในชีวิตที่เขาไม่ต้องการ
ความจริงของชีวิตอันโหดร้ายทำให้จิตใจเขาพลอยหยาบกระด้าง เขาดื่มเหล้าเพียงเพื่อให้เมาหมดสติ มีเซ็กซ์เพียงเพื่อระบายความใคร่ และกินอาหารเพียงเพื่อไม่ให้อดตาย ความรัก ความอ่อนโยนเป็นสิ่งที่จอห์นนีไม่รู้จัก และในแง่หนึ่งพยายามปฏิเสธมาตลอดเพราะคิดว่ามันเป็นสิทธิพิเศษที่เขาไม่คู่ควร หรือไม่อาจเติบโต เบ่งบานได้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ จนกระทั่งเขาได้พบกับจอร์จี้ คนงานชาวโรมาเนียที่พ่อจ้างมาช่วยงานจอห์นนี
ขณะที่จอห์นนีมองยอร์คเชอร์และฟาร์มปศุสัตว์เป็นเหมือนเรือนจำ
กักขังเขาจากอิสรภาพ ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย
แล้วกลับมาเยี่ยมบ้านเหมือนเป็นการพักร้อนจากชีวิตเมืองกรุง จอร์จี้กลับมองเห็นความงามของยอร์คเชอร์
และอาจเหมารวมถึงประเทศอังกฤษว่าเป็นเหมือนโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่
เพราะประเทศบ้านเกิดเขา “ตายไปแล้ว” จากความยากแค้นทั่วทุกหัวระแหง ถึงตรงนี้จึงอาจพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า God’s Own Country ปราศจากบริบททางสังคม การวางตัวละครอย่างจอร์จี้ให้เป็นคนงานชาวโรมาเนียสะท้อนถึงการไหลบ่าของผู้อพยพมายังประเทศอังกฤษ
ซึ่งแน่นอนว่าย่อมนำไปสู่ความหวาดกลัว วิตกกังวลในหมู่กลุ่มอนุรักษ์นิยมขวาจัดจนลงเอยด้วยปรากฏการณ์
Brexit น่าสนใจว่าในหนังจอห์นนีไม่ต้องเผชิญกับอคติทางเพศ
แต่กลับเป็นจอร์จี้ที่โดนจอห์นนีทึกทักแบบเหมารวม (ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก) ว่าเป็นคนปากีฯ ก่อนต่อมาจะล้อเลียนเขาว่าเป็นพวกยิปซี ต่อมาในฉากหนึ่งช่วงท้ายเรื่อง
ลูกค้าบาร์เหล้าก็เหมือนจงใจหาเรื่องจอร์จี้เพียงเพราะเขาพูดจาติดสำเนียง มองในแง่นี้อาจพูดได้ว่า
จอห์นนี ตลอดจนเมืองยอร์คเชอร์
เป็นผลพวงตกค้างจากยุคเก่า เป็นตัวแทนความรุ่งเรืองในอดีต ซึ่งกำลังผุกร่อน ล่มสลายไม่ต่างจากสภาพร่างกายของพ่อจอห์นนี
(ฟาร์มคงไม่มีทางไปรอดหากยังดื้อดึงจะทำตามรูปแบบเดิมๆ) ส่วนจอร์จี้เปรียบเสมือนตัวแทนยุคสมัยแห่งการผสมผสาน เป็นอนาคตที่เปี่ยมความหวัง
เช่นเดียวกับเหล่าผู้อพยพที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น
หนีความยากไร้ ภัยสงครามมาหาความสงบสุข โอกาสในการอยู่รอด จอร์จี้ไม่เพียงจะมองเห็นและชื่นชมความงามของทิวทัศน์อันหนาวเหน็บ
แห้งแล้งของยอร์คเชอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกๆ สิ่งรอบข้างอีกด้วย ความละเอียดอ่อนของเขาถูกสะท้อนผ่านรายละเอียดเล็กๆ
น้อยๆ ซึ่งหนังอาจนำเสนอแบบผ่านๆ โดยไม่เน้นย้ำ แต่นำไปสู่ภาพรวมอันเป็นเอกภาพ
ไม่ว่าจะเป็นฉากเขาถอดหลอดไฟเปลือยมาติดโคม ใส่เครื่องปรุงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
เติมเกลือในพาสต้า จัดดอกไม้ใส่แจกันประดับโต๊ะอาหาร หรือทำชีสจากนมแกะ
สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นบุคลิกที่แตกต่างกันราวน้ำกับไฟระหว่างจอห์นนีกับจอร์จี้
เมื่อลูกแกะคลอดออกมาในสภาพอ่อนแอ จอห์นนีเลือกจะถอดใจ ขณะจอร์จี้กลับพยายามทำทุกทางจนช่วยชีวิตมันได้สำเร็จ เขามอบความเอาใจใส่ให้ลูกแกะ เหมือนที่เขาหยิบยื่นความอ่อนโยนให้จอห์นนีอย่างไม่ย่อท้อ ทั้งสองช่วยกันซ่อมแซมกำแพงหินรอบฟาร์ม ขณะที่กำแพงในใจจอห์นนีก็ค่อยๆ พังทลายลงทีละชั้น ฉากเซ็กซ์ครั้งแรกเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน รุนแรง แต่ความวาบหวามแท้จริงเริ่มต้นเมื่อจอห์นนีตระหนักถึงพลังแห่งสัมผัส ความใกล้ชิด
และรสจูบอันดื่มด่ำ ดุจเดียวกับสัตว์ที่เพิ่งเรียนรู้อิสรภาพจากการหัดเดินเป็นครั้งแรก เขาค่อยๆ เปิดรับความรักเข้าสู่หัวใจ ปล่อยให้มันหลั่งไหลเข้าเติมเต็มพื้นที่ว่างแห่งความโดดเดี่ยว ทดแทนความขมขื่น คับแค้น หนังถ่ายทอดพัฒนาการในความสัมพันธ์ดังกล่าวได้อย่างงดงามโดยไม่ต้องอาศัยบทสนทนาใดๆ
ในฉากรักครั้งที่สอง สายตาและภาษาท่าทางของทั้งสองนักแสดงบ่งบอกให้เห็นชัดเจนว่าขณะฝ่ายหนึ่งพยายามเร่งรีบเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
อีกฝ่ายกลับยืนกรานให้เขาค่อยๆ ดื่มด่ำกับช่วงเวลา กับรสสัมผัส เซ็กซ์หาใช่แค่แรงหื่นกระหายทางกายอีกต่อไป
ในเช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสองได้พูดจาเปิดใจกัน ก่อนจอร์จี้จะพาจอห์นนีไปชมทิวทัศน์บนยอดเขา
ซึ่งเคยผ่านตามาแล้ว แต่ไม่เคยชื่นชม ซึมซับอย่างแท้จริง ความรักที่งอกงามทำให้จอห์นนีตระหนักเป็นครั้งแรกว่าเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ฟาร์มแห่งนี้ได้
“ผมขอโทษ ผมทำอย่างที่พ่อต้องการไม่ได้ เราจะไปกันรอด แต่ต้องในแบบของผม
ไม่ใช่ของพ่อ” ตามท้องเรื่องจอห์นนีหมายถึงการดูแลไร่ปศุสัตว์ แต่ในเชิงนัยยะมันอาจเหมารวมถึงชะตากรรมของประเทศอังกฤษ นี่เปรียบเสมือนคำประกาศกร้าวของคนรุ่นใหม่เพื่อคัดค้านแนวทางอันคับแคบของคนรุ่นเก่า
ซึ่งดึงดันจะขีดเส้นทางอนาคตทั้งที่พวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่ต้องเผชิญผลพวงภายหลัง การที่พ่อของจอห์นนีตกอยู่ในสภาพพิการ ต้องนั่งรถเข็น
สะท้อนให้เห็นว่ายุคสมัยเขากำลังสิ้นสุดลง และเขาควรส่งมอบอิสรภาพในการตัดสินใจให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสค้นหาหนทางในแบบของเขา ด้วยเหตุนี้เองฉากสุดท้ายของหนังจึงให้ความรู้สึกอิ่มเอมที่ลึกซึ้งมากกว่าแค่ความรักอันสุขสมหวัง
3 ความคิดเห็น:
18/8/2562
เพิ่งได้โหลดมาดูจา่กเน็ท และดูในคืนนั้น แม้จะฟังภาษาท้องถิ่นออกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่ภาษาภาพที่สวยสดงดงามก็อธิบายความหมายออกมาให้เข้าได้อย่างชัดแจ้ง ดูจบนอนไม่หลับเพราะมันอิ่มเอมในหัวใจมาก จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ไม่ไ้ดปลื้มในความเป็นชายรักชาย แต่มันตอบโจทย์ความเปลี่ยวเหงาในหัวใจได้เป็นอย่างดี สำหรับผมถือว่าเรื่องนี้เป็นหนังอาร์ตชั้นดีเลิส ใช้ภาพเล่าเรื่องเป็นหลักและให้ประสิทธิภาพสูงสุด จนต้องตามค้นหาต่อใน google และมาได้พบกับบทความนี้ ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับหนังเพิ่มเติมอีก และรักหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ขอบคุณมากครับ
ปล. God's Own Country ทำให้ Brokeback Mountain กลายเป็นเด็กอนุบาล 1
เป็นการให้ความรุ้ที่ดีมากเลยนะครับ
หวยมาเลย์
หวยไทย
หวยฮานอย
หวยหุ้น
หวย
ขอบคุณมากๆครับบบบบบบบบบ
แสดงความคิดเห็น