ตอนที่หนังเรื่อง
Moonlight
เข้าฉาย ผมบังเอิญไปอ่านเจอความเห็นของนักดูหนังชาวไทยคนหนึ่งที่บอกว่าหนังดูไม่ค่อย
“สมจริง” เท่าไหร่ตรงที่ไชรอนถูกกลุ่มนักเลงล้อว่าเป็นตุ๊ด
ทั้งที่ตัวละครในเรื่องไม่ได้ออกอาการกระตุ้งกระติ้งมากพอจะถูกกล่าวหาเช่นนั้น
ถ้าเจ้าของความเห็นดังกล่าวได้มาชม Handsome Devil สุดท้ายเขาจะเข้าใจว่า
“ตุ๊ด” ไม่ใช่คำด่า/ล้อที่ใช้กับตุ๊ด/เกย์จริงๆ เท่านั้น
แต่ยังถูกใช้เหมารวมไปยังคนที่ไม่อยู่ในกรอบ “มาตรฐานความเป็นชาย”
อีกด้วย เช่น คนไหนไม่ชอบเล่นกีฬา = ตุ๊ด
คนไหนชอบดูละครเพลง = ตุ๊ด
ซึ่งในบางกรณีคนเหล่านั้นอาจเป็นเกย์จริง แต่ก็ไม่เสมอไป ดังจะเห็นได้ว่าตัวละครเอกใน
Billy Elliot ก็ถูกล้อว่าเป็นตุ๊ดเช่นกันทั้งที่ไม่ได้เป็นเกย์เพียงเพราะเขาเลือกเต้นบัลเล่ต์แทนการชกมวย
บุคลิกกระตุ้งกระติ้งไม่ใช่ภาคบังคับของการถูกล้อด้วยคำว่าตุ๊ด ก็เหมือนที่ เน็ด (ฟีออน โอ’เชีย) อธิบายผ่านเสียงวอยซ์โอเวอร์ในช่วงต้นเรื่อง
“เกย์หมายถึงห่วยแตก ทุเรศ หรือไม่ก็แตกต่าง
และความกลัวว่าตัวเองไม่เหมือนใครแผ่ปกคลุมไปทั่วโรงเรียนของเรา”
เช่นเดียวกับไชรอน
เน็ดตกเป็นเหยื่อโอชะของกลุ่มนักเลงเพียงเพราะเขา “แตกต่าง” จากเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียนประจำชายล้วนที่หมกมุ่นอยู่กับกีฬารักบี้
รูปร่างที่ผอมแห้งกับหัวสีแดง เมื่อผนวกเข้ากับบุคลิกเรียบร้อย รักเสียงเพลง
และไม่สู้คนยิ่งทำให้เขาโดนหมายหัวมาแต่ไกล ความจริงแล้วเน็ดไม่ได้เกลียดรักบี้
แต่มันแค่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ ซึ่งนั่นถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงของโรงเรียนแห่งนี้
ในช่วงต้นเรื่อง
เน็ดเปรียบโรงเรียนวู้ดฮิลว่ามีสภาพไม่ต่างจากคุก
อาจไม่ใช่ในแง่รูปธรรมเสียทีเดียว (เพราะมันดูจะไม่แตกต่างจากโรงเรียนเอกชนสำหรับชนชั้นกลางระดับสูงสักเท่าไหร่)
แต่เป็นในแง่นามธรรมตรงที่ทุกคนถูกบังคับให้ต้องทำอะไรเหมือนๆ กัน
ไปจนถึงขั้นชอบอะไรเหมือนๆ กันด้วย เช่น การต้องเลิกเรียนกลางคันเพื่อไปเข้าห้องซ้อมเชียร์ก่อนการแข่งรักบี้ในรอบชิงชนะเลิศ
สำหรับ วู้ดฮิล คอลเลจ ถ้วยแชมป์รักบี้ดูเหมือนจะมีความสำคัญเหนือการศึกษา จึงไม่แปลกที่เด็กหนุ่มผู้รักเสียงเพลงอย่างเน็ดจะรู้สึกโดดเดี่ยว
และพยายามเรียกร้องความสนใจด้วยการคัดลอกเนื้อเพลงมาส่งแทนเรียงความในวิชาภาษาอังกฤษ
แต่อาจารย์แก่หง่อม ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใดๆ เกี่ยวกับนักเรียนตัวเอง
หรือความเป็นไปในโลกปัจจุบันกลับดูไม่ออกและให้เกรดเอเขา จากที่เริ่มต้นด้วยการเป็นมุกตลกประชดประชันกลับกลายเป็นความขมขื่น
เมื่อเน็ดตระหนักว่าไม่มีใครรู้จักเพลงที่เขาชื่นชอบ
และที่สำคัญดูเหมือนจะไม่มีใครแคร์มันด้วยซ้ำ
จนกระทั่งการมาถึงของคุณครูสอนภาษาอังกฤษคนใหม่
แดน เชอร์รี (แอนดรูว์ สก็อตต์) ซึ่งไม่เพียงจะเก็ทมุกตลกของเน็ดเท่านั้น
แต่ยังรู้สึกขุ่นเคืองอีกด้วย ไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มลอกผลงานของคนอื่นมาส่ง แต่เพราะเขาไม่เห็นความสำคัญของการเป็นตัวของตัวเอง
“ถ้าเธอเสแสร้งเป็นคนอื่น แล้วใครจะเป็นเธอ” เขาตะโกนถามโดยไม่ได้เจาะจงแค่เน็ดเท่านั้น
แต่ยังเหมารวมถึงเด็กทุกคนในชั้นเรียน และบางทีอาจเป็นคำถามสำหรับตัวเขาเองด้วย
น่าตลกตรงที่เน็ดไม่เคยเสแสร้งเป็นคนอื่น
เขาเปิดเผยตัวตนชัดเจนว่าแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในโรงเรียน
เขาไม่เคยแสดงความสนใจที่จะไปเชียร์กีฬา เขาติดโปสเตอร์อัลบั้มของวง Suede ไว้หราบนผนัง
แม้ว่ามันจะยิ่งเข้าทางพวกนักเลง เขาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่มีความสุขกับโรงเรียนที่มองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาสนใจ
หรือหลงใหล และใฝ่ฝันอยากจะหนีออกจากเรือนจำแห่งนี้ไปให้ไกล ตรงกันข้ามกับ คอเนอร์
(นิโคลัส กาลิทไซน์) เด็กใหม่ที่กลายมาเป็นดาวเด่นในทีมรักบี้
ซึ่งพยายามปกปิดรสนิยมทางเพศของตัวเองด้วยการใช้กำลัง ตลอดจนพรสวรรค์ทางกีฬาเพื่อหวังว่าจะสามารถกลมกลืนกับคนส่วนใหญ่ได้อย่างราบรื่น
เขาพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่ตุ๊ดด้วยการโชว์แมน ไล่กระทืบทุกคนที่พูดความจริง
ก่อนจะย้ายโรงเรียนหนีเมื่อพบว่าตนไม่อาจปิดบังความลับไปได้ตลอด
ถ้ามองผ่านเลนส์
LGBT อาจกล่าวได้ว่าความคลั่งไคล้กีฬารักบี้ใน วู้ดฮิล คอลเลจ
ก็คงไม่ต่างจากมาตรฐานของรักต่างเพศในสังคมโลก ซึ่งครอบงำ บงการความคิดทุกคนมาหลายชั่วอายุคนว่านี่เท่านั้นคือความ
“ปกติ” นี่เท่านั้นคือครรลองที่ควรเป็น
และใครก็ตามที่ไม่เข้าพวกจะถูกกีดกันให้เป็นคนนอก ถูกล้อเลียน กลั่นแกล้ง
หรือกระทั่งบีบให้ต้องปกปิดตัวเองเพื่อจะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด
“เด็กผู้ชายบางคนก็ไม่เล่นรักบี้ เคยคิดถึงพวกเขาบ้างไหม” เชอร์รีถามครูใหญ่ วอลเตอร์ (ไมเคิล
แม็คเอลฮัตตัน) อย่างเหลืออด โดยคำถามดังกล่าวสามารถเปลี่ยนเป็น
“เด็กผู้ชายบางคนก็ไม่ชอบผู้หญิง” ได้ไม่ยาก นี่เป็นคำถามที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปยังตัวละครวอลเตอร์เท่านั้น แต่ยังอาจมีนัยเหมารวมถึงคนดูรักต่างเพศอีกจำนวนมากด้วย
เพราะความยากลำบากในชีวิตที่กลุ่ม LGBT ต้องเผชิญหาได้เกิดขึ้นจากภัยคุกคามในรูปอคติเด่นชัดอย่าง
วีเซล (รอรี โอ’คอนเนอร์)
และ ปาสคัล (โม ดันฟอร์ด) เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความมืดบอด ไม่ตระหนัก
หรือสนใจจะให้พื้นที่กับความแตกต่างอย่างวอลเตอร์อีกด้วย
บรรดาคนที่อ้างว่าไม่ได้รังเกียจ หรือดูถูกรักร่วมเพศ
แต่ก็เห็นชอบให้มันถูกเก็บซ่อนอย่างมิดชิด อย่าได้เสนอหน้า
หรือกู่ก้องตะโกนร้องหาสิทธิความเท่าเทียมใดๆ
Handsome
Devil เชิดชูการเปิดเผยตัวเอง (coming out) เลิกที่จะใช้ชีวิตอย่างหลบๆ
ซ่อนๆ เลิกที่จะวิ่งหนีความจริง ซึ่งไม่ใช่วิกฤติสำหรับเกย์วัยรุ่นอย่างคอเนอร์เท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงเกย์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วมากมายอย่างเชอร์รีด้วย
เขาสั่งสอนคอเนอร์ว่าพอโตขึ้นแล้วทุกอย่างก็จะ “ดีขึ้น”
เอง ซึ่งก็เป็นจริงในแง่ที่ว่าเราเริ่มเรียนรู้ที่จะไม่ใส่ใจคำพูด
หรือการกระทำของคนบางคนมากเท่าตอนยังเป็นวัยรุ่นที่อ่อนไหวต่อความกดดันของสังคม
แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ถูกผลักให้ต้องกลับเข้าตู้ (closet)
อีกครั้ง ให้ต้องโกหก ให้เก็บทุกอย่างเป็นความลับ
ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสรีเพียงเพื่อรักษาอาชีพการงาน พลางปลอบประโลมตัวเองว่าต้องจำทนเพราะมันเป็น
“สัจธรรมอันน่าเศร้าของชีวิต” แน่นอนคำสอนของเชอร์รีในชั้นเรียนเกี่ยวกับการเลิกเสแสร้งเป็นคนอื่นได้ตามกลับมาหลอกหลอน
สะท้อนให้เห็นความย้อนแย้งของสิ่งที่เขาพยายามเสนอแนะให้คอเนอร์ทำในช่วงท้ายเรื่อง
“แล้วครูไปถึงจุดนั้นหรือยัง” คอเนอร์ตอกกลับเชอร์รีอย่างเจ็บแสบเมื่อฝ่ายหลังบอกว่าพอเขาโตขึ้นกว่านี้เขาก็จะไม่ต้องโกหกอีกต่อไป
ในกรณีของคอเนอร์
วิกฤติของเขาหนักหนาสาหัสเป็นสองเท่าเพราะเขาเป็นนักกีฬารักบี้
ซึ่งคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายเทสโทสเตอโรนหลายเท่าเมื่อเทียบกับกีฬาประเภทกระโดดน้ำ
หรือวอลเลย์บอล เขาต้องก้าวข้ามอคติเกี่ยวกับเกย์ (อ่อนแอ
หรือมีความเป็นหญิงมากกว่าชายทั่วไป) ในหมู่นักกีฬา ขณะเดียวกันก็ต้องก้าวข้ามอคติเกี่ยวกับนักกีฬาในหมู่เด็กเซ็นซิทีพแบบเน็ด
(ไม่ค่อยฉลาด ชอบใช้กำลัง และขาดความอ่อนไหวทางอารมณ์)
ดูเหมือนไม่ว่าจะมองไปทางไหนเขาก็ต้องพบเจอแต่กำแพงที่คอยขวางกั้นไม่ให้คนเข้าถึงกัน
เหมือนสารพัดข้าวของและโต๊ะตู้ที่เน็ดจัดแจงนำมากั้นห้องเพื่อแบ่งเป็นสัดส่วนทันทีที่พบว่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเขาเป็นนักรักบี้ดาวเด่น
เขาด่วนตัดสินคอเนอร์แบบเดียวกับที่วีเซลด่วนตัดสินเขาว่าเป็นเกย์เพียงเพราะชอบฟังเพลงและไม่สนใจกีฬา
แต่กำแพงสร้างขึ้นได้ก็ถูกพังลงได้
หากเราเรียนรู้ที่จะเปิดใจเข้าหากัน ดังจะเห็นได้จากมิตรภาพระหว่างคอเนอร์กับเน็ดซึ่งเบ่งบานท่ามกลางความแตกต่างทางบุคลิก
โดยทั้งสองมีจุดร่วมของความเป็นคนนอกเหมือนๆ กัน และความรักในเสียงเพลง
มิตรภาพดังกล่าวทำให้คอเนอร์เลิกที่จะวิ่งหนี แล้วกล้าพอจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้าความจริง
กล้าพอจะเป็นตัวของตัวเองในตอนนี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอ 5 ปีหรือ
10 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม
การที่หนังไม่ได้จำกัดรสนิยมทางเพศของเน็ดให้แน่ชัด แล้วโฟกัสไปยังมิตรภาพแทนการพัฒนาไปสู่อารมณ์โรแมนติก
(เข้าใจได้ว่าเขาคงเป็นชายรักหญิงเพราะไม่มีจุดไหนของหนังที่บ่งชี้เป็นอื่น) ทำให้ประเด็นเนื้อหาของ Handsome Devil สื่อนัยยะไกลและกว้างกว่าการเป็นหนังเกย์
coming out ทั่วไป (ขณะเดียวกันกลุ่ม LGBT
ก็อาจมองว่านี่เป็นหนึ่งในหนังที่พยายาม “พาสเจอร์ไรซ์”
รักร่วมเพศสำหรับตลาดกระแสหลักไปพร้อมๆ กันจากการที่มันปราศจากแม้กระทั่งฉากจูบ
และหลายครั้งก็แทนคำว่า “เกย์” ด้วยคำว่า
“the thing” ราวกับจะพาเราย้อนไปสู่ยุคของความรักที่ไม่กล้าเอ่ยนาม)
นั่นคือ การเฉลิมฉลองปัจเจกภาพ ความแตกต่าง พร้อมสะท้อนให้เห็นถึงอันตรายของการเดินตามรอยกันไม่ต่างจากฝูงแกะที่ถูกต้อนไปทุกทิศทางตามคำสั่ง
สูญเสียเอกลักษณ์และตัวตนให้กับแรงกดดันทางสังคม
กีตาร์ของเน็ดเขียนประโยคว่า
“เครื่องมือนี้ใช้ฆ่าอำนาจนิยม” และจุดมุ่งหมายของอำนาจนิยมคือล้างสมองให้ทุกคนคิดคล้ายกัน
ปฏิบัติตัวตามกัน เพราะมันง่ายต่อการควบคุม บงการ แต่แนวคิดดังกล่าวได้ทำลายแก่นอันงดงามของความเป็นมนุษย์ลงอย่างราบคาบ
ด้วยเหตุนี้ ชัยชนะของคอเนอร์ในห้องล็อกเกอร์จึงถือเป็นชัยชนะของพหุสังคมและการยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริงแบบที่สังคมสมัยใหม่ควรจะเป็น
ส่วนเผด็จการอย่างปาสคัล (“ฉันทำให้ทีมถูกปรับแพ้ได้”)
ก็ต้องล่าถอยในที่สุด มันเป็นฉากจบที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและการมองโลกแง่ดี
แม้ว่าในโลกแห่งความจริง ท่ามกลางกระแสโต้กลับของฝ่ายขวาผ่านชัยชนะของ Brexit
และ โดนัลด์ ทรัมป์ เราจะเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ไปสู่บทสรุปดังกล่าวยังมีหนทางอีกยาวไกล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น