อาจกล่าวได้ว่า The Homesman ของ ทอมมี
ลี โจนส์ มีเป้าประสงค์ที่จะลบล้างอารมณ์โรแมนติก
ฟุ้งเฟ้อเพ้อฝันของตำนานแห่งดินแดนตะวันตกในลักษณะเดียวกับหนังคาวบอยแหกคอกอย่าง The
Wild Bunch ของ แซม เพ็คกินพาห์ และ Unforgiven ของ คลินต์ อีสต์วู้ด ด้วยการพลิกตลบสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ใน 2 แง่มุมด้วยกัน แง่มุมแรก คือ
แทนการเล่าเรื่องราวผจญภัยของตัวละครจากฟากฝั่งตะวันออก ซึ่งเดินทางไปยัง Wild
West ในช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อแสวงหาโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว
หรือปราบปรามเหล่าอาชญากรใจทมิฬพร้อมช่วยเหลือหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในอันตราย หนังกลับเล่าเรื่องราวในทิศทางตรงกันข้าม ผ่านการเดินทางจากบ้านป่าเมืองเถื่อนกลับคืนสู่ความศิวิไลซ์แห่งชุมชนตะวันออก
แง่มุมที่สอง คือ แทนการเน้นย้ำเกี่ยวกับวีรกรรมกล้าหาญของเพศชาย
หนังกลับมุ่งโฟกัสไปยังความเป็นอยู่ของหญิงสาว ซึ่งมักจะถูกหลงลืมในตำนานตะวันตก หรือถูกจำกัดบทบาทให้เป็นแค่โสเภณี
หนังเปิดเรื่องด้วยชุดภาพมุมกว้าง
สะท้อนให้เห็นภูมิประเทศอันงดงาม เทือกเขาทอดยาว ท้องทุ่งโล่งโปร่งสุดลูกหูลูกตา และสีสันที่เปลี่ยนแปลงไปตามแสงอาทิตย์
ณ ริมเส้นขอบฟ้า เหล่านี้คือภาพโรแมนติกที่คนดูคุ้นเคยจากตำนานตะวันตก
สร้างขึ้นโดยนิยาย ภาพยนตร์ รวมไปถึงภาพวาดนับร้อยนับพัน
ซึ่งส่วนใหญ่หาได้สะท้อนโลกแห่งความเป็นจริงในยุคบุกเบิกดินแดนตะวันตก
ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศอันเลวร้าย โรคระบาดที่คร่าชีวิตสัตว์เลี้ยงและผู้คนจำนวนมาก
หรือความแร้นแค้น โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา
แต่ก่อนคนดูจะทันรู้สึกผ่อนคลาย
เตรียมตัวเตรียมใจเสพสูตรสำเร็จอันคุ้นเคยเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความสำเร็จ และความน่าตื่นเต้นของการผจญภัย
หนังกลับเริ่มแนะนำตัวละครเอก แมรี บี คัดดี้ (ฮิลารี สแวงค์) หญิงสาวผู้ใช้ชีวิต “ไม่ธรรมดา” เนื่องจากเธอทำไร่ไถนา เลี้ยงสัตว์ และดูแลบ้านเรือนตามลำพังในแบบ
เวิร์คกิ้ง วูเมน ยุคปัจจุบัน แต่ถึงแม้จะเธอเก่งกาจเรื่องการเกษตร สามารถดูแลตัวเองได้
หาเลี้ยงตัวเองได้ แมรี บี คัดดี้ ก็ไม่ใช่พลเมืองตัวอย่างในสายตาคนทั่วไปในยุคสมัยที่ผู้หญิงไม่มีทางเลือกมากนัก
ดังจะเห็นได้จากปฏิกิริยาที่ตามมา เมื่อเธออาสาพาหญิงวิกลจริตสามคนเดินทางจากเนบราสกากลับไปยังไอโอวา
ทั้งนี้เพราะระยะทางอันยาวไกล เต็มไปด้วยอันตรายทั้งจากสภาพแวดล้อมและอินเดียนแดง ถือว่าไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง
ซึ่งโดนตีตราให้อยู่เหย้าเฝ้าเรือน เลี้ยงดูลูกหลาน
ไม่ต้องสงสัยว่า แมรี บี
ตระหนักถึงแรงกดดันจากสังคมไม่น้อย และด้วยวัยสามสิบกว่าเวลาที่จะสร้างครอบครัวของเธอเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่ลังเลที่จะชิง “โน้มน้าว” ผู้ชายรอบข้างให้มาร่วมหอลงโรงด้วย
เริ่มต้นจากหนุ่มเพื่อนบ้าน (อีแวน โจนส์) ซึ่งตอบปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ด้วยข้ออ้างว่าเธอ“เจ้ากี้เจ้าการ” เกินไป ส่วนหน้าตาก็ยังไม่ชวนให้พิสมัยอีกด้วย
ต่อมาความสิ้นหวังของเธอค่อยๆ ทวีขึ้นตามลำดับจนถึงขั้นยื่นข้อเสนอแต่งงานกับ
จอร์จ บริกส์ (ทอมมี ลี โจนส์) ทหารหนีทัพซึ่งเธอช่วยชีวิตเอาไว้
แล้วบังคับให้ร่วมเดินทางไปไอโอวาเป็นการแลกเปลี่ยน แต่กระทั่งผู้ชายหยาบกระด้าง
ไร้ศีลธรรมจรรยาอย่างบริกส์ก็ยังปฏิเสธเธอ ด้วยข้ออ้างว่าเขาไม่ปรารถนาชีวิตชาวไร่
หรือการผูกมัดใดๆ และบางทีความเจ็บปวด อับอายดังกล่าวอาจมีส่วนชักนำเรื่องราวไปสู่จุดพลิกผัน
ซึ่งคนดูส่วนใหญ่คาดไม่ถึง
หลายคนเชื่อว่าจุดพลิกผันดังกล่าวขาดความน่าเชื่อถือ
บ้างถึงขั้นครหาว่ามันเป็นการช็อกคนดูแบบง่ายๆ
สไตล์เดียวกับมุกประเภทตุ้งแช่ในหนังผี เมื่อพิจารณาจากบุคลิกเข้มแข็ง ตลอดจนความทุ่มเทต่อภารกิจของตัวละครหลัก
ที่ถูกเน้นย้ำมาตลอดช่วงครึ่งแรก จริงอยู่ว่าหนังอาจไม่ได้อธิบายชัดเจนถึงสาเหตุที่แท้จริง
แต่ในเวลาเดียวกันก็ทิ้งเบาะแสไว้เป็นระยะก่อนหน้านี้ กล่าวคือ ชีวิตในแดนตะวันตกนั้นดูเหมือนจะยากลำบากและอ้างว้างเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวจากนิวยอร์กอย่าง
แมรี บี ดังนั้นเมื่อใดที่มีโอกาส เธอจึงมักจะพร่ำบ่นให้ใครต่อใครฟังว่าเธอคิดถึงเสียงดนตรีกับบรรดาต้นไม้เขียวชอุ่มมากแค่ไหน
แต่นั่นดูจะไม่มีความสลักสำคัญอันใดเมื่อเทียบกับภัยพิบัติอื่นๆ
ที่ประชากรละแวกนั้นจำต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นอากาศอันหนาวเย็น
หรือโรคระบาดที่คร่าชีวิตสัตว์เลี้ยงนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อเธอพยายามจรรโลงใจชายหนุ่มหลังมื้ออาหารด้วยการร้องเพลง
ซึ่งคงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในนิวยอร์ก เขากลับนั่งสัปหงกหน้าตาเฉย
ท่ามกลางความเป็นอยู่อันทุรกันดารและภาวะปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด
ทำให้เหล่าผู้คนในดินแดนตะวันตกไม่มีเวลาพอจะมานั่งชื่นชมความงามธรรมชาติ
หรือเสียงดนตรี
ไม่มีคำอธิบายชัดเจนเช่นกันว่าเหตุใด
แมรี บี ถึงเดินทางมายังดินแดนตะวันตก
แทนที่จะอาศัยอยู่นิวยอร์กแล้วแต่งงานสร้างครอบครัวแบบเดียวกับน้องสาวของเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าเปลือกนอกที่ดูห้าวหาญ
แกร่งกล้าของ แมรี บี นั้นหลายครั้งก็ไม่อาจปกปิดความเปราะบาง อ่อนไหวภายในจนสุดท้ายก็เริ่มปริแตก
เช่น เมื่อข้อเสนอขอแต่งงานของเธอถูกบอกปัด และบางครั้งก็พังทลายเป็นเสี่ยงๆ เช่น
ในฉากที่เธอรอดตายจากทะเลทรายมาอย่างหวุดหวิด... ยิ่งเวลาผ่านไปนานวันเข้าความเปลี่ยวเหงา
แห้งแล้งของชีวิตนักบุกเบิกดูจะหนักหนาสาหัสเกินกว่าเธอจะทนแบกรับไหว
อย่างไรก็ตาม
ต่อให้ไม่ต้องเผชิญความยากลำบากเพียงลำพัง ชีวิตลูกผู้หญิงในดินแดนตะวันตกก็ใช่ว่าจะสุขสันต์
ราบรื่นแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากชะตากรรมของหญิงสาวสามคนที่มีอาการเสียสติจนสาธุคุณดาวด์
(จอห์น
ลิธโกว) ต้องตัดสินใจส่งตัวพวกเธอกลับไปยังไอโอวาเพื่อรับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
บ้างอาจเป็นผลจากสภาพแวดล้อม (หนึ่งในนั้นสูญเสียลูกสามคนไปกับโรคคอตีบ) แต่บ้างก็เกิดจากน้ำมือของเพศชาย ซึ่งเห็นผู้หญิงไม่ต่างอะไรกับเครื่องผลิตลูกที่ไร้ชีวิตจิตใจ
โดยหนึ่งในฉากที่รบกวนจิตใจอย่างยิ่งของหนังเป็นตอนที่สามีเดินตรงมาร่วมเพศกับภรรยาบนเตียงทั้งที่แม่ของเธอเองก็นอนร่วมเตียงอยู่ตรงนั้น
แต่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากเบือนหน้าหนี
ผู้หญิงเปรียบเสมือนพลเมืองชั้นสองที่ไม่มีปากเสียงมีเสียงใดๆ
ความทรมานจากสภาพแวดล้อมและการถูกกดขี่ถูกสั่งสมอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งระเบิดออกมาในรูปของอาการวิปลาส
(หนึ่งในนั้นคือการทำร้ายตนเองด้วยการเอาไฟลนมือและใช้เข็มเย็บผ้าทิ่มแทงตามเนื้อตัว
ขณะอีกคนจับลูกทารกของตนลงไปโยนทิ้งส้วมหลุมราวกับเพื่อจะปกป้องเด็กน้อยจากความเหลือทนของชีวิต)
ที่สำคัญบรรดาผู้ชายเหล่านี้นอกจากจะไม่พยายามทำความเข้าใจ
หรือปลอบประโลมแล้ว พวกเขายังพร้อมจะหนีปัญหา แล้วปล่อยให้มันตกเป็นภาระของผู้อื่นด้วย (คนหนึ่งอ้างว่าไม่อาจเดินทางไปไอโอวาได้เพราะต้องดูแลไร่นา) ดังนั้นในช่วงท้ายเรื่อง บริกส์จึงได้มอบคำแนะนำแก่เด็กสาว (ไฮลีย์ สไตน์เฟลด์) ที่คอยให้บริการเขาในโรงแรมว่าเมื่อโตขึ้น
อย่าได้เผลอตกลงใจแต่งงานไปกับชายหนุ่มที่มุ่งหน้าไปยังดินแดนตะวันตกโดยอ้างว่าเขามีฟาร์มอยู่ที่นั่น
ทั้งที่เขายังไม่ได้เริ่มสร้างมันเลยด้วยซ้ำ
สถานะเพศหญิง รวมทั้งความรู้สึกต่ำต้อย
ด้อยค่าของพวกเธอได้รับการสรุปอย่างชัดเจนและเจ็บปวดในฉากสุดท้ายของหนัง
เมื่อป้ายหลุมศพของ แมรี ดี บนเรือข้ามฟากถูกเขี่ยทิ้งน้ำโดยไม่มีใครแยแสใยดี... บางครั้งสิ่งเลวร้ายที่มนุษย์พึงกระทำต่อกันต่างหาก
นั่นแหละคือความวิปลาสที่แท้จริง
น่าสนใจว่าหนังเหมือนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยในช่วงครึ่งแรกจะมี
แมรี ดี เป็นตัวเดินเรื่อง ก่อนที่ จอร์จ บริกส์ จะมารับช่วงต่อไปในครึ่งหลัง
และแน่นอนเฉกเช่นธรรมเนียมปฏิบัติของหนังบัดดี้ทั่วไป ตัวละครทั้งสองถูกวาดให้เป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
คนหนึ่งยึดมั่นในความดีงาม การเสียสละ มีบุคลิกอ่อนโยน อ่อนไหว และจิตใจเมตตาปราณี
ขณะที่อีกคนเป็นมนุษย์ผู้เห็นแก่ตัว ไร้ศีลธรรมจรรยา หรือความละเอียดอ่อนใดๆ เขาแอบอ้างไปอยู่ในบ้านของคนอื่นแบบหน้าด้านๆ
สามารถขโมยผ้าห่มคลุมศพมาใช้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
และเมื่อหญิงสาวยืนกรานว่าจะอยู่จัดการหลุมศพที่ถูกคุ้ยเขี่ยให้เรียบร้อยเพื่อเป็นเกียรติแด่คนตาย
เขาก็จัดแจงโยนพลั่วให้เธอแล้วขี่ม้าต่อไปโดยไม่คิดช่วยเหลือใดๆ สำหรับบริกส์ความรู้สึกอ่อนไหวรังแต่จะทำให้ชีวิตยุ่งยาก
และการเรียกร้องขอเมตตาธรรมในดินแดนแห่งการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดนั้นบางครั้งก็เป็นเรื่องไร้ประโยชน์
เช่น เมื่อเขาถูกปฏิเสธจากเจ้าของโรงแรมหรู (เจมส์ สเปเดอร์) ที่เห็นว่าสารรูปของบริกส์ต่ำต้อยเกินกว่าจะเข้าพัก
ถึงแม้เขาจะยืนกรานว่ามีเงินพอจ่ายก็ตาม
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้งในไอโอวา
เมื่อเงินของบริกส์ถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้ในบ่อน “ที่นี่คุณไม่เป็นที่ต้อนรับของสังคม”
คือ คำตอบซึ่งเขาได้รับ
แน่นอน
โดยเนื้อแท้แล้วบริกส์หาได้ใจทมิฬ แล้งเมตตาเสียทีเดียว
เพราะอย่างน้อยเขาก็นำส่งบรรดาหญิงสาวทั้งสามไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เขาพยายามจะเปลี่ยนแปลง
แต่ชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวทั้งสามและ แมรี บี คัดดี้
ทำให้เขาพลันตระหนักว่าหนทางอยู่รอดเดียวของเขาคือการกลับไปเป็นคนๆ เดิม...
ในโลกตะวันตกของ The Homesman ความดีงามไม่อาจเจริญงอกงาม วีรกรรมไม่ได้รับการเชิดชู เฉลิมฉลอง
และช็อตสุดท้ายของหนัง คือ ภาพเรือข้ามฟากบรรทุก จอร์จ บริกส์ ในสภาพเมามาย ค่อยๆ
ลอยห่างออกไปสู่ความดำมืดเบื้องหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น