วันอาทิตย์, ธันวาคม 19, 2564

Kill Bill: Vol. 2: จากนักฆ่าสู่ความเป็นแม่

ในฉากเปิดเรื่องของ Kill Bill: Vol. 1 หลังจาก เบียทริกซ์ คิดโด (อูมา เธอร์แมน) ถูกบิล (เดวิด คาราดีน) ยิงเจาะกะโหลก หนังขึ้นเครดิตนักแสดงพร้อมด้วยเพลงประกอบ Bang Bang (My Baby Shot Me Down) ท่วงทำนองให้อารมณ์อ้อยอิ่งเชื่องช้าคล้ายคลึงเสียงบรรเลงออร์แกนในงานศพ ก่อนจะค่อยๆ เฟดอินเป็นช็อตถ่ายย้อนแสงใบหน้าด้านข้างของเบียทริกซ์ขณะนอนนิ่งเหมือนอยู่ในโลงศพ ก่อนหนังจะตัดภาพไปยังบทที่ 1 เมื่อเธอเดินทางไปล้างแค้น เวอร์นิตา กรีน (วิเวกา เอ. ฟ็อกซ์) แต่คนดูจะได้เรียนรู้ในเวลาต่อมาอีกไม่นาน (บทที่ 2) ว่าเบียทริกซ์รอดชีวิตจากเหตุสังหารหมู่ที่โบสถ์ และช็อตย้อนแสงดังกล่าวเป็นแค่ภาพเธอนอนโคมาอยู่ในโรงพยาบาล

ถ้าภาคแรกเบียทริกซ์ได้เกิดใหม่ แล้วเปลี่ยนสถานะจากผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้กระทำ จากผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ในภาคสองเธอจะต้องเผชิญวิกฤติใกล้ตายอีกครั้ง แล้วได้เกิดใหม่ แต่คราวนี้เธอสามารถทวงคืนธรรมชาติและตัวตนที่แท้จริงของตนกลับมาได้ นั่นคือ ความเป็นหญิง ขณะเดียวกันภาพรวมของหนังเองก็สลับสับเปลี่ยนโทนจากตระกูลหนังกังฟู เต็มไปด้วยแอ็กชั่น ความรุนแรงแบบเลือดสาด มาเป็นตระกูลหนังคาวบอยตะวันตก ซึ่งให้เวลากับการตั้งคำถามด้านศีลธรรมและสภาพจิตใจของตัวละครมากขึ้น

Kill Bill: Vol. 2 เริ่มต้นด้วยการแฟลชแบ็คกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีก่อนระหว่างการซ้อมพิธีวิวาห์ที่โบสถ์เล็กๆ ในเมืองบ้านนอก (บทที่ 6: เหตุสังหารหมู่ที่ทูว์ไพน์ส) เบียทริกซ์ เจ้าสาวท้องแก่กับแฟนหนุ่ม และเพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งกำลังตกลงเกี่ยวกับรายละเอียดของพิธี ตอนที่บิลโผล่มาร่วมงาน เบียทริกซ์แนะนำอดีตคนรัก/ครู/พ่อของเด็กในท้องกับทุกคนว่าเป็นพ่อของเธอ จากนั้นกลุ่มนักฆ่า DiVAS ก็บุกเข้ามาสังหารหมู่ ก่อนหนังจะตัดกลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบัน บัด (ไมเคิล แมดเซน) บุคคลที่สามในบัญชีหนังหมาและน้องชายบิล ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในรถบ้านกลางทะเลทราย ได้รับคำเตือนจากบิลให้ระวังตัว เพราะเบียทริกซ์กำลังจะเดินทางมาตามล่าเขา บัดทำงานเป็นนักเลงคุมบาร์ระบำโป๊/ภารโรง (บทที่ 7: หลุมศพอันโดดเดี่ยวของ พอลลา ชูลท์ซ) ก่อนจะถูกเจ้านายไล่ออกเพราะมาเข้างานสายตลอด กลางดึกคืนหนึ่งเบียทริกซ์บุกมาที่รถบ้านของบัด แต่ถูกสั่งสอนด้วยปืนลูกซองกระสุนเกลือ จากนั้นก็มัดแขนขาเธอแล้วนำไปฝังทั้งเป็นโดยเขียนป้ายหลุมศพว่า พอลลา ชูลท์ซ

ระหว่างถูกฝังทั้งเป็นพร้อมไฟฉายกระบอกเดียว เบียทริกซ์หวนรำลึกถึงตำนานของไป่เม่ย (กอร์ดอน ลิว) ที่บิลเล่าให้ฟังหน้ากองไฟ (บทที่ 8: บทเรียนอันโหดร้ายของไป่เม่ย) ก่อนจะขับรถพาเธอไปฝึกวิทยายุทธกับเขา โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่เธอต้องเรียนรู้ คือ การใช้มือเปล่าชกทะลุแผ่นไม้กระดาน บทเรียนดังกล่าวกลายเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าเพราะมันช่วยให้เธอสามารถชกทะลุโลงศพ แล้วปีนขึ้นจากหลุมได้สำเร็จ เบียทริกซ์ได้เกิดใหม่อีกครั้งและพร้อมสำหรับการเดินหน้าล้างแค้นต่อไป ในบทที่ 9 (แอลกับฉัน) บัดได้ตกลงนัดซื้อขายดาบ ฮัตโตริ ฮันโซ ของเบียทริกซ์กับแอล (ดาริล แฮนนาห์) แต่เขาโดนแอลหักหลังด้วยการแอบใส่งูแบล็กแมมบาไว้ในกระเป๋าเงิน งูพิษฉกบัดตาย ก่อนเบียทริกซ์กับแอลจะฟัดกันอุตลุดในรถบ้านอันคับแคบ แอลเปิดเผยความจริงว่าตนเป็นคนวางยาพิษไป่เม่ย หลังจากเธอไปพูดจาสามหาวใส่เขาและโดนควักลูกตาเป็นการลงโทษ เบียทริกซ์ใช้วิชาที่เรียนรู้มาจากไป่เม่ยควักลูกตาข้างที่เหลือของแอล แล้วปล่อยเธอในสภาพคลั่งแค้นและน่าสมเพชไว้ในรถเทรลเลอร์กลางทะเลทราย

และแล้วเบียทริกซ์ก็เดินทางมาถึงรายชื่อสุดท้ายในบัญชีชำระแค้น (บทที่ 10: เผชิญหน้า) เธอสอบถามที่อยู่ของบิลจากเอสเตบาน (ไมเคิล พาร์คส์) เจ้าของซ่องซึ่งเปรียบเสมือนพ่อบุญธรรมของบิล แต่เมื่อเดินทางไปถึงที่นั่นเธอกลับเผชิญความประหลาดใจครั้งใหญ่ เมื่อปรากฏว่าบีบี (เพอร์ลา เฮนีย์-จาร์ดีน) ลูกสาวในท้องของเธอกับบิลยังมีชีวิตอยู่ และทั้งสองกำลังรอคอยการกลับมาของเธอ

หนังสองภาคไม่เพียงจะเล่นสนุกกับคู่แตกต่างระหว่างเพศชายกับหญิงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความเป็นตะวันออกกับตะวันตกอีกด้วย ใน Kill Bill: Vol. 2 ดาบซามูไร ซึ่งเปรียบดังสัญลักษณ์ของเพศชายและโลกตะวันออก ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป (เบียทริกซ์จะไม่ได้ใช้ดาบนั้นกำจัดศัตรูของเธออีกเลยในภาคนี้) บัดกำราบเบียทริกซ์ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้ปืนลูกซอง แล้วจัดการยึดดาบของเธอเอาไว้ เป็นการปลดเธอออกจากสัญลักษณ์แห่งเพศชาย เบียทริกซ์ตกอยู่ในภาวะถูกกระทำอีกครั้ง (สรรพนามที่บัดกับคนขุดหลุมศพใช้เรียกเธอยิ่งตอกย้ำสถานะดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น คาวเกิร์ล อีนี่ พุสซี และน้องสาว) บัดบีบให้เธอเลือกว่าอยากโดนพ่นสเปรย์พริกไทยใส่ตาจนบอด หรือจะยินยอมโดนฝังทั้งเป็นแต่โดยดี แล้วเขาจะมอบไฟฉายให้เธอหนึ่งกระบอกเป็นของรางวัล เบียทริกซ์เลือกอย่างหลัง เธอไม่ต้องการมืดบอด ขณะเดียวกันไฟฉายก็เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการบรรลุธรรม/เห็นแจ้ง

เมื่อหนังย้อนอดีตไปยังการฝึกวิทยายุทธ คนดูจะเห็นไป่เม่ยเยาะหยันทักษะการฟันดาบของเบียทริกซ์ จากนั้นเขาก็สาธิตให้เห็นการใช้มือเปล่าชกทะลุไม้กระดาน เธอเริ่มฝึกฝนจนมือถลอกปอกเปิด จนแทบจะใช้หยิบตะเกียบเพื่อคีบอาหารเข้าปากได้ บทเรียนดังกล่าวสอนให้เบียทริกซ์ตระหนักว่าพลังและความแข็งแกร่งหาได้อยู่ที่ดาบซามูไร แต่อยู่ในตัวของเราเอง พูดอีกอย่างก็คือ เธอไม่จำเป็นต้องอาศัยดาบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย ในการสร้างพลังอำนาจ ความแข็งแกร่งที่แท้เกิดจากไม่ปฏิเสธตัวตนภายใน หรือความเป็นหญิง

ในช่วงต้นเรื่องเมื่อหนังแฟลชแบ็คไปยังเหตุสังหารหมู่ในโบสถ์ เบียทริกซ์ได้ยินเสียงฟลูต และตระหนักว่าบิลหาเธอเจอจนได้ กล้องค่อยๆ ติดตามเธอไปยังประตูโบสถ์ที่เปิดกว้าง มองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกซึ่งเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง เวิ้งว้าง ทารันติโนถ่ายทำช็อตดังกล่าวโดยได้รับอิทธิพลจากช็อตเปิดเรื่องสุดคลาสสิกของ The Searchers (1956) อย่างเห็นได้ชัด หนังคาวบอยของ จอห์น ฟอร์ด เรื่องนี้ก็มีพล็อตหลักเกี่ยวกับการล้างแค้นเช่นกัน เราสามารถเปรียบเทียบเบียทริกซ์กับมาร์ธา (โดโรธี จอร์แดนเคียงข้างกัน ทั้งสองต้องเผชิญทางเลือกอันตรงข้ามกันระหว่างทะเลทรายกับบ้าน/โบสถ์ ระหว่างชายนอกกฎหมายกับสามีที่เหมาะสม แถมมันยังช่วยเกริ่นนำอยู่กลายๆ ว่าเบียทริกซ์กำลังจะถูกปรับตำแหน่งแห่งที่เมื่อเทียบกับ Kill Bill: Vol. 1 เพราะคราวนี้หนังจะหันมาสำรวจประเด็นความสัมพันธ์ ครอบครัว แล้วนำเสนอบทบาทความเป็นแม่ของเบียทริกซ์มากขึ้น ขณะเดียวกันเหยื่อที่เหลืออยู่ในกลุ่ม DiVAS ก็ล้วนผูกพันกันลึกซึ้งเกินกว่าแค่เพื่อนร่วมอาชีพนักฆ่า บัดเป็นน้องชายบิล แอลเป็นคนรักใหม่ของบิล และบิลเป็นอดีตคนรักของเบียทริกซ์ รวมถึงพ่อแท้ๆ ของลูกในท้องเธอ สายสัมพันธ์เหล่านี้ทำให้การแก้แค้นซับซ้อนขึ้น ขาดเส้นแบ่งชัดเจนเมื่อเทียบกับคู่ปรับที่ปราศจากจุดเกี่ยวดองใดๆ กันอย่างโอเรนและเวอร์นิตาในภาคแรก นอกจากนี้ฉากแอ็กชั่นหลักของหนังก็สะท้อนความแตกต่างดังกล่าวไปพร้อมกันด้วย เปลี่ยนจากพื้นที่สาธารณะ มีบริเวณเปิดโล่ง กว้างขวางอย่างร้านอาหาร/สวนญี่ปุ่นกลายมาเป็นพื้นที่ส่วนตัวอันจำกัด คับแคบอย่างรถบ้านของบัดและบ้าน/ห้องโรงแรมของบิล

การเกิดใหม่ของเบียทริกซ์เริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับการเปิดเผยชื่อจริงเธอในหนัง (ตอนแอลโทรบอกบิลว่าน้องชายเขาตายแล้วหลังเบียทริกซ์ค้นพบพลังจากภายใน เธอก็สามารถกำจัดศัตรูโดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธอย่างดาบหรือปืน ซึ่งเป็นตัวแทนของเพศชาย อีกเลย บัดถูกแบล็กแมมบา (สมญานามของเบียทริกซ์กัดตาย แอลถูกควักลูกตาข้างที่เหลือ ส่งผลให้เธอมืดบอดอย่างสมบูรณ์แบบ (เธอฝึกวิทยายุทธกับไป่เม่ยไม่จบเพราะดันลอบวางยาพิษอาจารย์เสียก่อน เธอจึงไม่อาจก้าวข้ามสู่อีกขั้นได้เหมือนเบียทริกซ์ส่วนบิลก็โดนเบียทริกซ์ใช้วิชาสกัดห้าจุดหยุดชีพจรที่จะทำให้หัวใจเขาหยุดเต้นหลังก้าวเดินไปห้าก้าว ความจริงแล้วรายละเอียดของฉากแอ็กชั่นดังกล่าวก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยตรงที่บิลเป็นคนเริ่มบุกจู่โจมก่อน เขาฟันดาบของเบียทริกซ์กระเด็นหลุดมือ แต่ขณะบิลกำลังแทงดาบเข้าใส่เธอเพื่อหวังสังหาร เบียทริกซ์ได้พลิกตัวหลบแล้วใช้ฝักดาบของเธอในมืออีกข้างสอดรับดาบของบิลเข้าฝักอย่างเหมาะเจาะก่อนจะเริ่มต้นสกัดจุดเขา มันเป็นภาพสะท้อนเชิงสัญลักษณ์ของหญิงกับชาย รุกกับรับ และจู๋กับจิ๋มได้อย่างชัดเจน (สังเกตว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเบียทริกซ์ใส่กระโปรง นอกเหนือจากชุดเจ้าสาว)

ไม่เพียงแสดงให้เห็นภาพเบียทริกซ์ค้นพบพลังจากภายในของความเป็นหญิงเท่านั้น Kill Bill: Vol. 2 ยังสะท้อนภาพลักษณ์อันน่าสมเพช กดขี่ และขี้ขลาดตาขาวของผู้ชายอีกด้วย บัดนอกจากจะสยบยอมต่อความลำเค็ญในชีวิต กลายเป็นลูกไล่ของเจ้านาย หรือกระทั่งนักเต้นระบำเปลื้องผ้าที่สั่งเขาให้ไปแก้ปัญหาส้วมตันแล้ว เขายังไม่กล้าต่อสู้กับเบียทริกซ์ซึ่งๆ หน้า แล้วเลือกใช้ปืนเพื่อกำราบเธอ แตกต่างจากคู่อริหญิงทั้งสามคนที่เบียทริกซ์ต้องประมือ ประดาบแบบตัวต่อตัวในระยะประชิด และแน่นอนเขาแสดงให้เห็นทัศนะกดขี่ เหยียดหยามเพศหญิงไม่แตกต่างจากบัค (เกิดมาฟัค) ซึ่งเราอาจเหมารวมไปถึงบิลกับไป่เม่ยได้ด้วย ใน Kill Bill: Vol. 1 บิลจะปรากฏให้เห็นแค่มือและเสียง เขาดูทรงพลังอำนาจ เป็นผู้บงการชักใยทุกอย่างดุจเดียวกับพระเจ้า หรือดุจเดียวกับสายตาของเด็กตัวเล็กๆ ที่มองพ่อของเขาอย่างเทิดทูนและหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน แต่ในภาคสองคนดูจะได้เห็นบิลในฐานะชายธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งหึงหวง โกรธแค้น และหัวใจสลาย เราได้เห็นเขาเป่าฟลูต เล่าตำนาน เล่นกับลูก และทำแซนด์วิชให้ลูกกิน เทียบแล้วคงไม่ต่างจากเด็กที่เติบใหญ่แล้วค้นพบว่าพ่อ (ในวัยชรา) ของเขาก็เป็นแค่ชายธรรมดา ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม หรือน่าเกรงขามเหมือนก่อนแต่อย่างใด จนคนดูอาจเริ่มรู้สึกสงสาร เห็นใจ และอยากจะยกโทษให้เขาต่อกรรม/ความผิดพลาดที่เขาก่อไว้

น่าตลกตรงที่ตัวละครชั่วร้ายแต่ละคนใน Kill Bill ล้วนพบจุดจบตามสมควร มือมีดอย่างเวอร์นิตาตายด้วยคมมีดปักอก โอเรนถูกฟันด้วยดาบซามูไร ชายผู้น่าสมเพช ชวนขยะแขยงอย่างบัดตายด้วยน้ำมืองูพิษ ความโง่งมของแอลเกินกว่าจะเรียนรู้แก่นคำสอนของไป่เม่ยทำให้เธอถูกควักตาสองข้างและมืดบอดตลอดกาล ส่วนบิลก็ตายด้วยอาการหัวใจสลาย

ทารันติโนเคยให้สัมภาษณ์ว่าเฟมินิสต์ไม่ใช่คำที่เขาจะใช้นิยาม Kill Bill แต่เป็นคำว่า “พลังหญิง” ต่างหาก จริงอยู่ เช่นเดียวกับหนังตารันติโนเรื่องอื่นๆ การหักหลัง ความเกลียดชัง การแก้แค้นปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ในเวลาเดียวกันคุณก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเคารพและให้เกียรติอย่างเท่าเทียมกันในหมู่ตัวละครผู้หญิง พวกเธออาจเกลียดขี้หน้ากัน แต่ก็ยำเกรงกันในฐานะเพศหญิงผู้ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจของเพศชาย โอเรนกล่าวขอโทษเบียทริกซ์ที่สบประมาทฝีมือดาบของเธอ แอลชื่นชมเบียทริกซ์ว่าเป็นนักฆ่าชั้นยอดคนหนึ่ง (แต่กลับต้องมาตายเพราะน้ำมือไอ้ขี้ขลาดอย่างบัดเมื่อลูกสาวของเวอร์นิตากลับจากโรงเรียน เบียทริกซ์ยินดีจะหยุดความแค้นต่อเวอร์นิตาไว้ชั่วคราวเพื่อไม่ให้เด็กสาวผู้บริสุทธิ์ต้องรับกรรมไปด้วย และนักฆ่าสาวที่ถูกส่งมาสังหารเบียทริกซ์ยอมละทิ้งภารกิจ หลังทราบว่าฝ่ายหลังเพิ่งตั้งท้อง ก่อนจะกล่าวลาด้วยคำว่า “ยินดีด้วย

การพูดจาเปิดใจในตอนท้ายระหว่างบิลกับเบียทริกซ์ช่วยให้คนดูตระหนักว่าทั้งสองยังมีความผูกพัน ความรักใคร่ใยดีต่อกันหลงเหลืออยู่ไม่น้อย และบางทีอาจถึงขั้นกลับมาคืนดีกันได้ แต่หนังเลือกจะตอกย้ำการเกิดใหม่ของเบียทริกซ์ในบทบาทแม่ เพื่อให้เธอปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากอิทธิพลของบิล พร้อมทั้งปฏิเสธมาตรฐานครอบครัว (พ่อ-แม่-ลูกซึ่งผูกติดกับแนวคิดชายเป็นใหญ่ เพื่อปกป้องบีบีจากโลกแห่งอาชญากรรม เบียทริกซ์ไม่ลังเลที่จะสังหารบิล แล้วหอบลูกสาวหนีไปอยู่กันตามลำพังในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว

ฉากสุดท้ายของหนัง คนดูจะเห็นเบียทริกซ์นอนอยู่บนพื้นห้องน้ำของโรงแรม แล้วปลดปล่อยอารมณ์อันขัดแย้งทั้งหมดภายในออกมา เธอร้องไห้อย่างรุนแรงราวกับเศร้าใจที่ต้องสูญเสียคนรักไป แต่เมื่อกล้องเคลื่อนเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น เรากลับได้ยินเธอพูดคำว่า “ขอบคุณ” ซ้ำไปซ้ำมา เธอหาได้โศกเศร้าเสียใจ แต่กลับโล่งอกและสำนึกในบุญคุณของพระเจ้าที่ช่วยให้เธอบรรลุจุดมุ่งหมายอันยากยิ่ง รอดชีวิต แถมยังได้ลูกสาวของเธอกลับคืนมา เธอกำลังตื้นตันกับความหวังที่จะได้เริ่มต้นใหม่ จากนั้นหนังก็ขึ้นข้อความทิ้งท้ายว่า “นางสิงห์ได้ลูกกลับคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง ชีวิตในป่าหวนคืนสู่ครรลอง

ไม่มีความคิดเห็น: