ในสถานการณ์สมมุติที่นักปรัชญานิยมยกเป็นตัวอย่างเพื่อถกเถียงถึงความซับซ้อนทางศีลธรรม
คุณเป็นคนขับรถรางที่บึ่งมาด้วยความเร็ว แต่ข้างหน้ามีคนงาน 5 คนกำลังยืนขวางรางอยู่
รถไม่สามารถหยุดได้เพราะเบรกแตก คุณรู้แน่ว่าถ้ารถรางชนคนงาน พวกเขาทั้งหมดต้องตาย
ทันใดนั้นคุณก็เหลือบไปเห็นทางเบี่ยงเลี้ยวขวา
บนรางมีคนงานยืนอยู่เหมือนกันแต่แค่คนเดียว ถ้าคุณหมุนพวงมาลัย
คนงานก็จะตายแค่คนเดียว แต่ช่วยชีวิตคนงานอีก 5 คนได้
คุณจะทำอย่างไร
แน่นอนคนส่วนใหญ่คงตอบอย่างไม่ลังเลว่า
เราควรหักรถรางให้เลี้ยวไปทางขวา เพราะการฆ่าคนบริสุทธิ์หนึ่งคนนั้นถือเป็นเรื่องน่าเศร้าก็จริง
แต่การฆ่าคนบริสุทธิ์ถึง 5
คนร้ายแรงกว่ามาก
ทีนี้ถ้าลองเปลี่ยนสถานการณ์ว่าคุณไม่ใช่คนขับรถราง
เป็นแค่คนเห็นเหตุการณ์ที่ยืนอยู่บนสะพานเหนือราง คนงาน 5 คนกำลังจะตาย
ไม่มีทางเบี่ยง ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
นอกจากคุณจะผลักชายร่างใหญ่บนสะพานลงไปขวางรถราง แล้วคร่าชีวิตชายผู้นั้น
แต่ช่วยชีวิตคนงาน 5 คนให้รอดตายได้ (คุณพินิจพิเคราะห์แล้วว่าคุณตัวเล็กเกินกว่าจะโดดลงไปขวางรถรางเองได้)
กรณีนี้คนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะไม่ผลักชายร่างใหญ่ลงไปขวางรถราง แม้ว่ามันจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันกับกรณีแรก
คือ สละชีวิตคนหนึ่งคนเพื่อช่วยคน 5 คน เพราะพวกเขามองว่าการผลักคนลงไปตายเพื่อช่วยชีวิตคน
5 คนเป็นเรื่องโหดเหี้ยม ไร้ศีลธรรม
ทำไมการแลกหนึ่งชีวิตเพื่อช่วย 5 ชีวิตในกรณีแรกถึงไม่ร้ายแรงเท่ากับกรณีหลัง
ถ้าตัวเลขเป็นเรื่องสำคัญ การช่วยชีวิตคนได้ถึง 5 คน
แล้วสละชีวิตคนแค่คนเดียวก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ
ทำไมการฆ่าคนด้วยการขับรถรางไปชนถึงให้ความรู้สึกโหดเหี้ยมน้อยกว่าการผลักคนลงไปขวางรถราง
แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องผลัก
แต่บังเอิญชายร่างใหญ่ยืนอยู่บนประตูลับที่สามารถเปิดให้คนบนสะพานหล่นลงไปขวางรางได้พอดี
คุณจะเลือกกดปุ่มเปิดประตูไหม การทำแบบนี้คุณจะ “รู้สึกผิด” น้อยลงไหม
หรือว่าในแง่ศีลธรรมมันก็ยังแย่กว่าการบิดพวงมาลัยไปยังทางเบี่ยง
ความสับสนที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะตัวอย่างข้างต้นสะท้อนหลักการทางศีลธรรมที่ขัดแย้งกันเอง โดยมุมหนึ่งสามัญสำนึกบอกว่าเราควรช่วยชีวิตคนให้ได้มากที่สุด
แต่อีกมุมหนึ่งก็บอกว่าการฆ่าคนบริสุทธิ์เป็นเรื่องผิด แม้จะมีเหตุผลที่ดีก็ตาม สุดท้ายเราแล้วจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักในแต่ละสถานการณ์ว่าทางเลือกใดเหมาะสมที่สุด
ความลำบากใจอันเกิดจากหลักการทางศีลธรรมที่ขัดแย้งกันถูกนำมาใช้เป็นโจทย์เพื่อตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของนโยบายที่เรียกกันว่า “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”
ในภาพยนตร์แนวระทึกขวัญเรื่อง Eye in the Sky โดยหนึ่งชีวิตผู้บริสุทธิ์ในที่นี้
คือ อาเลีย (ไอชา ทาโคว์) เด็กหญิงชาวเคนยาที่ออกมาขายขนมปังได้ผิดที่ผิดเวลา
จนนำไปสู่การตัดสินใจอันยากลำบากในลักษณะเดียวกับการตัดสินใจว่าคุณจะเลือกกดปุ่มเพื่อให้ชายร่างใหญ่หล่นลงไปขวางรถรางหรือไม่
แรกเริ่มเดิมทีปฏิบัติการของผู้พันแคทเธอรีน
พาวเวลล์ (เฮเลน เมียร์เรน) ที่กรุงไนโรบีมีจุดมุ่งหมายเพื่อตามจับกุมสองผู้ต้องหาก่อการร้ายคนสำคัญในกลุ่มอัล-ชาบับ รายหนึ่งเป็นชายหนุ่มชาวโซมาเลีย อับดุลลาห์ อัล ฮาดี (เดค ฮัสซัน) ส่วนอีกรายเป็นภรรยาเขาชาวอังกฤษ ซูซาน
แดนฟอร์ด (เล็กซ์ คิง) ทั้งคู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในห้างสรรพสินค้ากลางกรุงไนโรบี
ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
หน่วยข่าวกรองของอังกฤษสืบทราบว่าจะมีการนัดพบลับๆ ของกลุ่มอัล-ชาบับ ซึ่งสองสามีภรรยาจะส่งมอบสองสมาชิกใหม่ คนหนึ่งเป็นชาวอเมริกัน
อีกคนเป็นชาวอังกฤษ ไปเข้ากลุ่ม เป้าหมายของพาวเวลล์ คือ บุกเข้าล้อมจับกุมทุกคนในบ้านหลังนั้น
โดยมีโดรนจู่โจมเป็นหูเป็นตาอยู่บนท้องฟ้า แต่เนื่องจากแดนฟอร์ดกับอัล ฮาดีอยู่ท่ามกลางกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ
การบุกล้อมจับจะนำไปสู่การยิงปะทะและสูญเสียชีวิต ดังนั้นพาวเวลล์กับนายพลแฟรงค์
เบนสัน (อลัน ริคแมน) จึงเห็นชอบให้ใช้ขีปนาวุธยิงถล่ม
แต่ที่ประชุมบอร์ดของรัฐบาลไม่เห็นด้วย พวกเขายืนกรานให้ดำเนินการตามภารกิจดั้งเดิม
นั่นคือ จับเป็น
หมดยกแรกฝ่ายสิทธิมนุษยชนเอาชนะคะแนนไปอย่างเด็ดขาด
แต่ยกถัดมาสถานการณ์กลับพลิกผันในชั่วพริบตา เมื่อเดิมพันพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว หลังกล้องโดรนตัวจิ๋วเผยให้เห็นเหตุการณ์ภายในบ้านว่าคนกลุ่มนี้กำลังวางแผนจะก่อเหตุด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย
ซึ่งหากทำสำเร็จประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากจะต้องรับเคราะห์ การยึดมั่นในหลักการที่ว่า
“รัฐบาลอังกฤษไม่เคยใช้โดรนโจมตีในประเทศที่สงบสุข” เริ่มสั่นคลอนจากข้อเท็จจริงว่าหากคนร้ายแยกขึ้นรถสองคัน
โดรนซึ่งมีอยู่มีลำเดียวจำเป็นต้องเลือกตามรถแค่คันเดียว และหากเลือกผิดก็อาจทำให้การก่อวินาศกรรมครั้งสำคัญประสบผลสำเร็จ
ขณะเดียวกันถ้าให้กองทหารบุกเข้าสกัดก็อาจนำไปสู่ความสูญเสียที่ “ไม่จำเป็น” ถึงจุดนี้ดูเหมือนกองทัพจะเปลี่ยนมาถือไพ่เหนือกว่า
และคว้าชัยไปครองในที่สุดเมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศเห็นชอบให้เปลี่ยนภารกิจจับเป็นเป็นจับตาย
ย้อนกลับไปยังโจทย์สมมุติเกี่ยวกับรถราง
ถ้าหากเราทราบว่าชายร่างใหญ่บนสะพานเป็นคนบงการให้รถรางเบรกแตก เพราะคนงานทั้ง 5 เป็นศัตรูที่เขาต้องการกำจัด
หรือเปรียบง่ายๆ ว่าถ้าชายร่างใหญ่เป็นทหารนาซี และคนงานเป็นฝ่ายต่อต้านนาซี อย่างนี้แล้วเหตุผลในการผลักเขาให้รถรางทับตายเพื่อช่วยชีวิตคนงานจะพลันหนักแน่นขึ้นหรือไม่
เพราะบางทีการที่เราคาดเดาอันตรายได้ล่วงหน้า แต่ยังเลือกไม่ฆ่าคนจำนวนน้อยเพื่อช่วยชีวิตคนจำนวนมากก็อาจนำไปสู่หายนะดังเช่นที่ปรากฏในหนังเรื่อง
Lone Survivor ซึ่งสร้างจากเหตุการณ์จริงของ มาร์คัส
ลัตเทรลล์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ทหารหน่วยซีลที่ไม่อาจตัดใจฆ่าชายเลี้ยงแพะไร้อาวุธสามคนได้
ส่งผลให้เพื่อนทหารเกือบ 20 คนต้องเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยน้ำมือของนักรบตาลีบัน
ถ้ามาร์คัส “รู้แน่” ว่าจะเกิดหายนะเยี่ยงนี้
หรือถ้าเขารู้แน่ว่าชายเลี้ยงแพะเป็นสายของตาลีบัน เขายังจะตัดสินใจแบบเดิมอยู่ไหม
มโนธรรมและความหวังว่าชายเลี้ยงแพะอาจเดินกลับไปโดยไม่แจ้งข้อมูลให้ตาลีบัน
หรือต่อให้ตาลีบันได้ข้อมูล พวกเขาก็อาจสามารถหนีรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
ทำให้มาร์คัสไม่อาจตัดใจฆ่าชายเลี้ยงแพะได้
ชายเลี้ยงแพะใน
Lone
Survivor ก็คล้ายคลึงกับเด็กหญิงขายขนมปังใน Eye in the Sky ต่างกันแค่คนดูรู้แน่ว่าเด็กหญิงเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าแองเจลา (โมนิกา โดแลน)
สมาชิกเพียงคนเดียวในห้องประชุมที่คัดค้านการใช้ขีปนาวุธอย่างเต็มที่
รู้แน่ว่ากลุ่มก่อการร้ายจะทำการสำเร็จตามที่กองทัพคาดเดา เธอจะยังยืนกรานคัดค้านการใช้ขีปนาวุธอยู่ไหม
“ฉันเลือกจะโทษอัล-ชาบับว่าฆ่าเหยื่อ 80 คนแทนการแก้ต่างกองทัพในเหตุยิงระเบิดที่คร่าชีวิตเด็กผู้บริสุทธิ์” เธอให้เหตุผล แต่ทัศนคติดังกล่าวดูจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากกองทัพอังกฤษ
หรือกระทั่งนักการเมืองจากฝั่งอเมริกาดังจะเห็นได้จากความหงุดหงิดในน้ำเสียงของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ
เมื่อทราบว่า “เรื่องแค่นี้”
กลับกลายเป็นประเด็นถึงขั้นต้องโทรมารบกวนเพื่อขอคำอนุมัติจากเขา (หนึ่งในเหยื่อเป็นพลเมืองอเมริกัน) เช่นเดียวกับที่ปรึกษาอาวุโสด้านกฎหมายในสภาความมั่นคงแห่งชาติ
(ไลลา โรบินส์) ซึ่งยืนกรานให้จู่โจม
แม้กระทั่งหลังความจริงปรากฏว่าชายร่างใหญ่ (ซึ่งเป็นคนเลว) ผูกเชือกติดอยู่กับเด็กหญิงขายขนมปัง และหากผลักเขา
หรือกดปุ่มให้เขาร่วงหล่นลงไปขวางรถราง เด็กหญิงก็จะตายตกตามกันไปด้วย “คนในทำเนียบขาวคงหัวเสีย รวมถึงที่เพนตากอนและอีกหลายแห่งในโลก
ถ้าคุณปล่อยพวกเขาให้ไประเบิดห้างฯ เป็นจุล” คำตอบของเธอสอดคล้องกับความเห็นของนายพลเบนสันที่ว่า
“เด็กหญิงอีกหลายสิบอาจสังเวยชีวิตถ้าคุณกลุ่มนี้รอดไปได้” คำถามที่เขาตั้งเป็นโจทย์ขึ้นมา คือ เพียงเพราะคนที่จะโดนลูกหลงเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ
ไม่รู้อิโหน่อิเหน่หรือเปล่า พวกเขาถึงได้ลำบากใจมากขนาดนี้
ถ้าเหยื่อเป็นชายฉกรรจ์ร่างโต แต่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เช่นกัน พวกเขาจะยังลำบากใจมากขนาดนี้ไหม
หรือนั่นจะทำให้การตัดสินใจใช้ขีปนาวุธง่ายดายขึ้น
ความน่าสนใจของ
Eye in
the Sky อยู่ตรงที่หนังรักษาสมดุลก้ำกึ่งทางศีลธรรมเอาไว้โดยตลอด
หาได้โน้มเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นพิเศษ ตัวละครอย่างแองเจลาอาจเป็นเสียงของเหตุผล
สามัญสำนึก ท่ามกลางบุคลิกบ้าเลือด นิยมความรุนแรงในกองทัพซึ่งยอมทำทุกทางเพื่อกำจัดศัตรูโดยไม่คำนึงถึงชีวิตคนเล็กคนน้อย
แต่ในเวลาเดียวกันก็อาจจะเป็นเสียงของอุดมการณ์เพ้อฝัน ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงอันโหดร้าย
เธอกล่าวหานายพลเบนสันว่าไม่เห็นคุณค่าของชีวิต แล้วตัดสินชี้เป็นชี้ตายคนจากในห้องที่ปลอดภัย
หาใช่สมรภูมิรบ แต่เขาตอกกลับว่าเธอต่างหากที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง วิพากษ์วิจารณ์คนทำงานด้วยมุมมอง
“โลกสวย” ขณะที่ตัวเองไม่กล้าพอจะลงมาคลุกฝุ่นดินโคลน
แล้วตัดสินใจในเรื่องที่ยากลำบาก แต่จำเป็นต้องทำ “อย่าพูดกับทหารเหมือนเขาไม่รู้ราคาที่ต้องจ่ายของสงคราม”
เขาสรุปตบท้ายก่อนจะเดินออกจากห้อง
หนังเหมือนจะสอดแทรกแง่มุมมนุษย์ให้กับนายพลเบนสันด้วยฉากที่เขาต้องไปเลือกซื้อตุ๊กตาให้ลูกสาว
มันพิสูจน์ให้เห็นว่าถึงแม้เขาจะมี “ความเป็นทหาร” ในสายเลือดเวลาทำงาน แต่ที่บ้านเขาก็ยังเป็นพ่อคนหนึ่ง
แม้ว่าในเวลาเดียวกันมันจะเน้นย้ำให้เห็นความแตกต่างทางชนชั้นและสังคมของสองครอบครัวอังกฤษกับเคนยา
พ่อคนหนึ่งสามารถเดินช็อปปิ้งซื้อของได้อย่างสุขสบาย ส่วนพ่ออีกคนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย
นายพลเบนสันอาจตระหนักถึงราคาที่ต้องจ่ายของสงคราม
ความสูญเสียซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงเพื่อแลกมากับ “ชัยชนะ” หรือการบรรลุเป้าหมาย แต่เขาไม่ทันตระหนักว่าความอยุติธรรมเป็นเชื้อที่บ่มเพาะให้เกิดความคับแค้น
แล้วระเบิดออกมาเป็นความรุนแรงในที่สุด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการตอบโต้กลุ่มก่อการร้ายด้วยขีปนาวุธ
การจับกุมผู้ต้องสงสัยมาทรมาน ทำสงคราม ลอบสังหาร
รวมไปถึงสิ่งที่อาจจะดูเหมือนเล็กน้อยอย่างการบิดเบือนผลคำนวณโอกาสเสียชีวิตของผู้พันพาวเวลล์
ถึงไม่ได้ช่วยลดทอนเหตุวินาศกรรม แต่กลับซ้ำเติมให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย
มันเป็นเรื่องยุติธรรมหรือเมื่อพ่อคนหนึ่งจะได้ของขวัญกลับไปมอบให้ลูกสาว ขณะที่พ่ออีกคนต้องเสียลูกสาวไปพร้อมกับระเบิดซึ่งหล่นลงมาจากฟ้าโดยที่พวกเขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครเลยนอกจากแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลา
แปลกหรือไม่หากพ่อคนหลังจะโกรธแค้น
แล้วหล่อเลี้ยงวงจรอุบาทว์ให้กลายเป็นงูกินหางต่อไป พวกเขาอาจยับยั้งการก่อเหตุวินาศกรรมได้หนึ่งครั้ง
แต่ราคาของมันไม่ได้หยุดอยู่แค่ศพผู้บริสุทธิ์ที่เพิ่มมาอีกหนึ่ง (แลกกับการช่วยชีวิตคน 80 คน)
อย่างแน่นอน
หมายเหตุ: เหตุการณ์สมมุติเกี่ยวกับรถรางเบรกแตกเรียบเรียงและอ้างอิงจากหนังสือเรื่อง
“ความยุติธรรม” (Justice: What’s the Right Thing to
Do) เขียนโดย Michael J. Sandel แปลโดย สฤณี
อาชวานันทกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น