หนังเปิดเรื่องด้วยฉาก
ชาร์ลี (โจนาธาน กอร์ดอน)
เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชายที่ประดับตกแต่งกระดองเต่าด้วยเพชรนิลจินดาเพื่อความสวยงาม
แต่สุดท้ายกลับลงเอยด้วยการทำให้เต่าตัวนั้นจมน้ำตาย
เพราะไม่อาจทนรับน้ำหนักของเหล่าอัญมณีบนกระดองได้ “มันไม่ใช่ความผิดของเต่า” เขากล่าวสรุป ก่อนจะเปิดเผยภาพวาดชิ้นล่าสุดซึ่งเป็นรูปของ เซบาสเตียน (เจสัน ราล์ฟ) เพื่อนหนุ่มคนสนิทที่เขาแอบหลงรัก
หลงใหลมาหลายปี แต่ไม่อาจก้าวข้ามความเป็นเพื่อนไปสู่สถานภาพคนรักได้
เขาไม่กล้าจะสารภาพความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าเซบาสเตียนจะล่วงรู้ความต้องการของชาร์ลีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เช่นเดียวกับทุกคนรอบข้าง (ดังจะเห็นได้ว่าภาพที่ชาร์ลีวาดทั้งหมดล้วนเป็นภาพของเซบาสเตียน) และเขาตระหนักถึงแต้มต่อของตนเองดี จึงหมั่นหยอดและหล่อเลี้ยงความหวังเอาไว้เรื่อยๆ
โดยในเวลาเดียวกันก็กันตัวเองไว้แค่ความเป็นเพื่อน
ไม่ต้องสงสัยว่าเต่าในเรื่องเล่าของชาร์ลีคือเซบาสเตียน
หนุ่มไฮโซที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ซึ่งทุกคนต้องคอยพะเน้าพะนอ แม้กระทั่งหลังจากพ่อของเขาถูกจับในข้อหาฉ้อโกง
จนเป็นเหตุให้ลูกชายตัดสินใจขังตัวเองอยู่ในอพาร์ตเมนต์หรู
เพราะไม่อาจเผชิญหน้ากับนักข่าวและสายตาดูถูกเหยียดหยามจากผู้คน มันไม่ใช่ความผิดของเต่า
ที่ต้องถูกลงโทษจากการเลี้ยงดูและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมของลูกคุณหนู ก่อนจู่ๆ
ก็จะโดนฉุดกระชากให้ต้องเผชิญความเป็นจริงอันโหดร้าย
เมื่อปรากฏว่าเพชรพลอยเหล่านั้นกำลังถ่วงเขาให้จมน้ำตาย ชาร์ลีนึกสงสารและเห็นใจเต่าตัวนั้น
เขาจึงยินดีเล่นไปตามบทบาทเพื่อนผู้ภักดี แม้ว่าเพื่อนบางคนในกลุ่มจะเริ่มแยกตัวออกห่าง
เพราะการถูกโยงไปหา “ชายที่คนทั้งเมืองนิวยอร์กเกลียดชัง” อาจปิดโอกาสทางด้านอาชีพการงาน
เมื่อถึงจุดหนึ่ง
ทุกคนย่อมต้องแยกย้ายไปมีชีวิตส่วนตัว ไม่อาจหมุนวนอยู่รอบๆ
ดวงอาทิตย์อย่างเซบาสเตียนไปตลอดชาร์ลีเองก็เช่นกัน เมื่อเขาได้พบเจอกับ ทิม (ฮาซ
สไลแมน) นักเปียโนหนุ่มหล่อที่รักเขาอย่างจริงใจ
และเรียกร้องความทุ่มเทในระดับเดียวกัน แต่ก็สัมผัสได้ว่าชาร์ลีเหมือนจะลังเล
ไม่แน่ใจในตัวเอง ความผูกพัน ความรัก ความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างเขากับเซบาสเตียนคอยฉุดรั้งไม่ให้ชาร์ลีเปิดใจกับทิมได้อย่างเต็มที่
เซบาสเตียนเคยอยู่เคียงข้างชาร์ลีในยามที่เขาต้องการมากที่สุด เมื่อพ่อของชาร์ลีทอดทิ้งครอบครัวไป
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์พลิกกลับ ชาร์ลีจึงรู้สึกว่าเป็นหน้าที่เขาในการปลุกปลอบเซบาสเตียนยามที่พ่อของเขาถูกส่งตัวไปเข้าคุก
“นายหยุดรักฉันเมื่อไหร่ นายจะเห็นว่าฉันเป็นคนเลวแค่ไหน” เซบาสเตียนกล่าวกับชาร์ลีในวันที่ฝ่ายหลังไม่อาจทนกับการเป็นตัวสำรองที่ต้องคอยสแตนด์บาย
แต่ไม่มีวันได้ก้าวเข้าไปครอบครองหัวใจ “เลว” ในความหมายของเซบาสเตียนอาจพุ่งเป้าไปยังข้อเท็จจริงที่ว่าเขารู้เรื่องการฉ้อฉลของพ่อและไม่คิดจะทำอะไร
เขาเสพติดความฟู่ฟ่าหรูหรา แบบเดียวกับที่เสพติดการเอาอกเอาใจจากคนรอบข้าง
เขารู้ว่าชาร์ลีหลงรักเขามากแค่ไหนและไม่คิดจะทำอะไรให้กระจ่าง กลับยิ่งรัดปลอกคอให้แน่นขึ้นเพราะกลัวว่าวันหนึ่งชาร์ลีอาจวิ่งหนีหายไป
มันเป็นความเห็นแก่ตัวมากกว่าความรัก
ประโยคข้างต้นยังสะท้อนภาษิตที่ว่า
ความรักทำให้คนตาบอด ซึ่งคงไม่มีใครจะเข้าใจลึกซึ้งมากไปกว่าชาร์ลี เขาไม่ได้แค่หลงรักเซบาสเตียนเท่านั้น
แต่ยังหลงรัก “ความรักต่อเซบาสเตียน” ซึ่งสวยงาม เสียสละ
และบริสุทธิ์ในหัวของเขาไม่ต่างจากบรรดาเพชรนิลจินดาที่ประดับบนกระดองเต่าตัวนั้น
และเช่นเดียวกัน มันกำลังฉุดเขาให้จมน้ำ ขาดอากาศหายใจ
ในกรณีนี้มันก็อาจไม่ใช่ความผิดของเต่าเช่นกัน
เพราะใครกันจะหักห้ามใจจากความรักในอุดมคติได้ ความรักแบบที่เราได้อ่านจากนิยาย
หรือเรียนรู้จากหนังโรแมนติก มองในแง่นี้ ชาร์ลีอาจไม่ใช่แม่พระดังคำสรรเสริญของเซบาสเตียนในตอนท้าย
เขาไม่ได้เห็นความงามในสัตว์ประหลาดตาเดียว แต่มืดบอดเกินกว่าจะตระหนักถึงความอัปลักษณ์ต่างหาก
Those
People อาจไม่ใช่หนังที่จงใจนำเสนอด้านมืดชวนหดหู่เกี่ยวกับความรักขนาดนั้น
โดยเนื้อแท้แล้วมันยังคงเป็นการตอกย้ำความดีงามในเนื้อแท้มนุษย์ ศักยภาพที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาด
แล้วแก้ไข หรือไถ่บาป บทหนังสร้างและคลี่คลายปมปัญหาตามสูตร ซึ่งบางครั้งก็อาจดูง่ายดาย
หรือจงใจเกินไปบ้าง แต่งานแสดงอันหนักแน่น น่าเชื่อถือ เสน่ห์ของดารานำ
รวมไปถึงรสนิยมอันดีของผู้กำกับ โจอี้ คูห์น ทำให้ทุกอย่างสามารถไหลลื่นได้อย่างคล่องคอ
ที่สำคัญ รายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับความลุ่มหลงอันเกินพอดี ตลอดจนการเข้าถึงความเจ็บปวดอย่างแท้จริงของตัวละครในบางจังหวะ
ช่วยให้มันเสียดแทงคนดูได้มากกว่าหนังแอบรักเพื่อนทั่วๆ ไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น