วันศุกร์, เมษายน 20, 2550

Washington Square: กว่าลูกเป็ดจะกลายเป็นหงส์



นอกเหนือจากการเป็นสองผู้นำยุคบุกเบิกแห่งนิยายแนวเหมือนจริงแล้ว เฮนรี่ เจมส์ กับ เจน ออสเตน สองนักเขียนอมตะที่ผลงานมักจะถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง แทบจะไม่เหลือสิ่งใดที่ใกล้เคียงกันอีกเลย งานเขียนโดยรวมของเจมส์ค่อนข้างหดหู่ มืดหม่น สไตล์การเล่าเรื่องค่อนข้างเชื่องช้าสืบเนื่องจากทฤษฎี “พล็อตควรผูกติดกับตัวละครมิใช่เหตุการณ์ และความตื่นเต้นไม่ได้มีรากฐานมาจากคำถามว่าตัวละครจะกระทำเช่นไรในสถานการณ์นั้นๆ แต่เป็นคำถามเกี่ยวกับ (ความรู้สึกภายใน) ตัวละครเองมากกว่า” ดังนั้นนิยายของเจมส์จึงเต็มไปด้วยบทวิเคราะห์ทางจิตวิทยาอันลึกซึ้ง หนักหน่วง และหัวก้าวหน้าสูงสุดในวงการวรรณกรรมอเมริกันยุคนั้น

แม้จะนิยมใช้ตัวละครหลักเป็นเพศหญิงเช่นเดียวกับออสเตน แต่เป้าหมายหลักของพวกเธอไม่อาจสมบูรณ์ได้ด้วยการแต่งงานกับชายที่เหมาะสม(1) ตรงกันข้ามการแต่งงานในนิยายหลายเรื่องของเจมส์บ่อยครั้งเป็นแหล่งก่อกำเนิดความชั่วร้าย และโศกนาฏกรรม ดังจะเห็นได้จาก A Portrait of a Lady และ The Wings of the Dove นอกจากนั้นในตอนจบตัวเอกของเจมส์มักไม่สมหวังในรัก โดยหากไม่ถูกทอดทิ้ง ก็จะขาดกลัวกับการเริ่มต้นใหม่เพราะประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีต จนอาจกล่าวได้ว่าเจมส์กับออสเตนเปรียบเสมือนภาพสะท้อนอันตรงกันข้ามของวรรณกรรมแห่งศตวรรษที่ 19

เฮนรี่ เจมส์ ถือกำเนิด ณ.กรุงนิวยอร์ก ในครอบครัวปัญญาชน บิดาของเขา เซอร์ เฮนรี่ เจมส์ เป็นนักทฤษฎี/ปรัชญาที่โดดเด่นแห่งยุค ด้วยเหตุนี้เจมส์และพี่น้องอีก 4 คนจึงได้รับการศึกษาในระดับสูงกันถ้วนหน้า หลังจากเรียนกับครูพิเศษได้ระยะหนึ่งเขาก็ถูกส่งไปศึกษายังหลายเมืองใหญ่ในยุโรป อาทิ เจนีวา บอนน์ และปารีส เจมส์เริ่มงานเขียนบทความ บทวิจารณ์ในนิตยสารหลายเล่มก่อนจะจากอเมริกาไปยัง ยุโรปอีกครั้งเมื่อเขารู้สึกว่าดินแดนแห่งเสรีภาพตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับความคิดสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันเขาก็หลงใหลในเสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ยาวนานของยุโรปด้วย การเดินทางไปๆมาๆระหว่าง ปารีส โรม ลอนดอนเพื่อพอกพูนประสบการณ์ครั้งนี้ของเจมส์ กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในนิยายของเขาแทบทุกชิ้นทั้งใช้เป็นฉากหลัง (A Portrait of a Lady, The Wings of the Dove) และสาระหลักสืบเนื่องจากการประทะกันของคนจากสองภูมิภาค อเมริกา-ยุโรป (The American, The Europeans)

ในบรรดาภาพยนตร์สามเรื่องที่ดัดแปลงจากนิยายเจมส์ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน The Wings of the Dove ดูจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้านการนำเสนอโดดเด่นจากผลงานของ เจน แคมเปี้ยน หรือ แอ็กนีสก้า ฮอลแลนด์ ค่อนข้างชัดเจน ความจริงที่ว่า เอียน ซอฟท์ลี่ย์ เป็นผู้กำกับเพศชายคนเดียวอาจใช้เป็นเหตุผลได้ระดับหนึ่งถึงการตีความ และบุคลิกของหนังอันแตกต่าง แต่เหตุผลหลักแท้จริงอยู่ที่ ฮอสไซน์ อามินี่ นักเขียนบทผู้หลงไหลฟิล์มนัวร์เป็นชีวิตจิตใจ เขามองเห็นความเป็นนัวร์ (noirness) ในนิยายอายุกว่าศตวรรษชิ้นนี้และดัดแปลงด้วยลีลาร่วมสมัย ส่วน A Portrait of a Lady อาจให้อารมณ์ในสไตล์ costume drama มากกว่า แต่แคมเปี้ยนก็ไม่ได้ทิ้งการทดลองความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ฉากจินตนาการ ภาพขาวดำเล่าการเดินทาง และวิธีใช้สัญลักษณ์ คือ หลักฐานที่ถูกสอดใส่เข้ามาเป็นระยะๆ

Washington Square ดูเหมือนจะมีความเรียบง่ายในการนำเสนอสูงสุด ขณะเดียวกันก็ถูกวางตัวตั้งแต่แรกในฐานะงานดัดแปลงที่ "ซื่อตรง" ต่อนิยายมากกว่าเมื่อเทียบกับ The Heiress (1949) ซึ่งถูกนำเสนอในรูปเมโลดรามาสุดโต่ง เนื่องจากตัวละครส่วนใหญ่จะมีภาพลักษณ์เพียงมิติเดียวโดยเฉพาะ แคทเธอลีน (โอลิเวียร์ เดอ ฮาวิลแลนด์ ได้ออสการ์ดารานำหญิงจากบทดังกล่าว) ที่ต้องกลายเป็นทั้ง "เหยื่ออาฆาต" ของบิดา (ราล์ฟ ริชาร์ดสัน) และ "ถังข้าวสาร" ของหนุ่มนักขุดทอง (มอนท์โกเมอรี่ คลิฟท์)

อย่างไรก็ตามการซื่อตรงต่อตัวนิยายไม่ได้หมายถึงการไม่เปลี่ยนแปลงเสมอไป ตรงกันข้ามรายละเอียดหลายอย่างกลับถูกเสริมเข้ามาอย่างโดดเด่น เช่น การเปิดเรื่องด้วยช็อต long take จากยอดต้นไม้ลงมาระดับสายตาแนะนำฉากหลังของเรื่องราว (สังคมชั้นสูงแห่งนครนิวยอร์คช่วง 1830) ก่อนกล้องจะค่อยๆเคลื่อนเข้าบ้านหลังหนึ่งผ่านทางหน้าต่าง เสียงตะโกน กรีดร้องที่ดังแว่วเข้ามาบอกถึงสภาวะไม่ปกติ กล้องไล่ขึ้นไปตามขั้นบันไดเข้าไปยังห้องนอนเห็นร่างหญิงสาวสวยนอนตายบนเตียงหลังให้กำเนิดบุตรสาว สร้างความเสียใจอย่างยิ่งให้กับผู้เป็นสามี

ด้วยภาพเปิดเรื่องดังกล่าว ฮอลแลนด์ ได้แนะนำความสัมพันธ์ระหว่างสังคมในวงกว้าง กับครอบครัว และอิทธิพลของสิ่งแรกที่จะมีต่อสิ่งหลังในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันการจงใจกำหนดให้โศกนาฏกรรมของครอบครัวหนึ่งเกิดขึ้นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเวลาสุขสันต์ที่ผู้คนส่วนใหญ่จะออกมาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจนอกบ้าน ก็ยังสะท้อนถึงชะตาชีวิตที่เล่นตลกกับตัวละครก่อนหนังจะตอกย้ำความรู้สึกดังกล่าวอีกเป็นระยะๆ

ฉากปูท้องเรื่องถัดมายังคงเป็นการคิดค้นขึ้นล้วนๆจากมันสมองของ คารอล ดอยล์ ผู้เขียนบท และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ เฮนรี่ เจมส์ เขียนไว้ในในหนังสือแม้แต่น้อย โดยพูดถึงวัยเด็กของแคทเธอลีน (ซาร่า รูซิกก้า) ผู้ฉี่รดกระโปรงกลางงานวันเกิดของบิดาเธอ เพราะความกดดันกับการร้องเพลงต่อหน้าสาธารณชน และความตื่นเต้นที่จะเอาใจบิดาในวันสำคัญ เมื่อเติบใหญ่เป็นสาววัยพร้อมจะแต่งงาน แคทเธอ ลีน สโลเปอร์ (เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์) ก็ห่างไกลจากภาพลักษณ์ของสาวหัวก้าวหน้าที่ชายหนุ่มรุมกันขอแต่งงาน (หรืออีกแง่ดึงเธอลงมาให้เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาในยุคนั้น) อย่างอิสซาเบล (Portrait) ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่สาวจอมวางแผนผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก และรักษาสถานะการเงินอันไม่มั่นคงไว้อย่างเคท (Dove) ตรงกันข้ามเธอกลับเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดไม่ว่าจะในเรื่องหน้าตา มันสมอง บุคลิกภาพ หรือพรสวรรค์ จุดเด่นเพียงอย่างเดียวของแคทเธอลีนคือ ทรัพย์สินของบิดา (อัลเบิร์ต ฟินนี่ย์) ผู้เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคมชั้นสูงช่วงยุค 1840

ด้วยเหตุนี้เมื่อหนุ่มฉลาดหน้าตาดีแต่ยากจนอย่าง มอริส (เบน แชปลิน) เข้ามาแสดงท่าทีสนใจหญิงอย่างแคทเธอลีน สาเหตุเดียวที่ดร. ออสติน สโลเปอร์ พอจะนึกออกและยึดมั่นไปตลอดชีวิตเขา คือ เพื่อเงิน

ไม่ว่าจะเป็นฉากฉี่รดกระโปรง ตอนที่แคทเธอลีนจูบภาพสะท้อนตัวเองในกระจก หรือ เมื่อป้า ลาวิเนีย (แม็กกี้ สมิธ) ดมปรอยผมของมอริสอย่างสุขใจ ทั้งหมดล้วนเป็นความพยายามของฮอลแลนด์ที่จะดึง Washington Square ลงมาสู่พื้นดินที่ทั้งร่วมสมัย และเป็นธรรมชาติ ตัวละครส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคลุมเคลือ มองได้หลายด้าน ซึ่งถือเป็นข้อแตกต่างอันชัดเจนประการหนึ่งจาก The Heiress อาทิ ป้า ลาวิเลีย กับบทบาทอันก้ำกึ่งระหว่างญาติผู้ใหญ่ที่คอยสนับสนุนหลานสาวด้วยความหวังดี กับสาวแก่ผู้หวังจะใช้เหตุการณ์ดังกล่าวเติมเต็มอารมณ์อีโรติกแบบที่เธอไม่เคยประสบ ขณะเดียวกันผู้ชมยังต้องคาดเดาจุดมุ่งหมายของมอริสไปจนกระทั่งช่วงท้ายเรื่องว่าแท้จริงแล้วเขารักแคทเธอลีนจากใจจริง หรือ หวังเพียงทรัพย์สมบัติ

สุดท้าย คือ ออสติน สโลเปอร์ ที่ในฉบับนี้หาใช่ปีศาจร้ายผู้มีบุคลิกเพียงด้านเดียวอีกต่อไป เขาเป็นทั้งบิดาที่โทษลูกสาวต่อการจากไปของภรรยา บิดาผู้พยายามปกป้องลูกสาวจากความเจ็บปวด และบิดาผู้เทิดทูนความจริง(2)

ภาพลักษณ์ “a man of science and reality” ของออสติน ขัดแย้งกับภาพลักษณ์สาวช่างฝันของ แคทเธอลีน ผู้เชื่อมั่นว่าตนสามารถ "ถูกรัก" ได้โดยไม่ต้องพึ่งทรัพย์สินของบิดาอย่างสิ้นเชิง (ฉากวัยเด็กปูพื้นให้เห็นว่าแคทเธอลีนรักการอ่านนิยายโรแมนติก และพยายามทักทายบิดาด้วยภาษาวรรณกรรม) อาการต่อต้านมอริสของออสตินจึงไม่ต่างกับการพยายามจะดึงลูกสาวมาสู่ความเป็นจริง (ถึงมันจะชวนให้เจ็บปวด) ว่า ไม่มีชายมีเกียรติคนใดปรารถนาหญิงที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดแบบแคทเธอลีน

น่าเศร้าตรงที่เจมส์ไม่ใช่ เจน ออสเตน เพราะในที่สุดเขาเปิดเผยว่ามอริสหวังในทรัพย์สมบัติจริงดังข้อกล่าว หา แม้มันอาจจะไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาไม่รักแคทเธอลีน แต่คำสารภาพดังกล่าว (มันผิดศีลธรรมมากหรือที่อยากได้ทั้งตัวแคทเธอลีนและทรัพย์สินที่ติดตัวเธอมาด้วย เป็นคำถามที่มอริสตั้ง ขณะเดียวกันก็อ้างว่าเงินมรดกจากมารดาแคทเธอลีนเพียง 10,000 ต่อปีมันไม่พอสำหรับ “ชายที่หวังเงิน 50,000 ต่อปี แล้วใช้เวลาสองปีตามล่าฝันนั้น”) ได้ดึงแคทเธอลีนหล่นจากสวรรค์แห่งอุดมคติและจินตนาการ ลงมาคลุกโคลนตมบนโลกความจริงอย่างหมดท่า เมื่อเธอฟูมฟายท่ามกลางสายฝนขอร้องมอริสให้แต่งงานกับเธอ และรักเธอแบบที่เธอ "หวังและฝัน"

ความปรารถนาดีของออสตินก็ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง เมื่อเขาพยายามให้แคทเธอลีนสัญญาว่าเธอจะไม่หันไปแต่งงานกับมอริสหลังเขาเสียชีวิต แคทเธอลีนปฏิเสธ ออสตินจึงตัดสินใจแก้พินัยกรรมเพื่อกันเธอออกจากกองมรดกแล้วเหลือเพียงบ้านให้เท่านั้น ไม่มีคำอธิบายแน่ชัดในหนังว่าเหตุใดออสตินจึงทำเช่นนั้น อาจเป็นได้ว่าเขาต้องการลงโทษแคทเธอลีนที่ทำให้ตนสูญเสียภรรยา แถมตัวเธอยังเติบใหญ่ขึ้นมาโดยปราศจากเสน่ห์ความงามแบบมารดาอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย หรือ อาจเป็นเพราะเขากลัวว่าเธอจะตัดสินใจผิดพลาดซ้ำสอง สิ่งเดียวที่แน่นอน คือ พินัยกรรมดังกล่าวเปรียบดังบทพิสูจน์ศักยภาพในตัวแคทเธอลีนหลังผ่านมรสุมชีวิตมาสารพัดชนิด

แคทเธอลีนช่วงท้ายเรื่องได้เดินทางมาไกลเหลือเกินนับจากเด็กสาวที่ฉี่รดกระโปรงเพราะความประหม่า ด้วยเหตุนี้เธอจึงถึงกับหัวเราะใส่การตัดสินใจของบิดา และไม่ปรารถนาจะเรียกร้องสิทธิใดๆเพิ่มเติมตามคำแนะนำของญาติๆรอบข้าง

พัฒนาการดังกล่าวของแคทเธอลีนถูกปูพื้นไว้ได้อย่างละเอียดอ่อน ค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากเด็กสาวที่โลกทั้งใบ คือ การเอาอกเอาใจ เรียกร้องความรักจากบิดาผู้คอยตอกย้ำทำลายความมั่นใจในตัวเองของแคทเธอลีนเป็นนัยๆเสมอมา ไม่ว่าจะจากสายตาที่เขามองอาการกระตือรือร้นของลูกสาวเมื่อเห็นเขา หรือ ความเห็นเชิงเสียดสีต่อชุดที่แคทเธอลีนเลือกใส่ไปงานหมั้นของญาติ ออสตินล้อมกำแพงรอบตัวแคทเธอลีนให้เป็นเหมือนข้าทาส ด้วยความคิดว่าตัวเธอนั้นไม่มีค่าใดๆต่อชายทรงเกียรติหากปราศจากทรัพย์สินของเขา

มอริส คือ ชายผู้มาปลดปล่อยแคทเธอลีนจากความคิดดังกล่าว เขาเปิดโลกกว้างให้เธอเริ่มมองเห็นคุณค่าในตัวเองที่สามารถทำให้ "ผู้ชายมาชื่นชอบ" ได้ (ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา) ถึงตรงนี้บุคลิกแคทเธอลีนก้าวหน้าขึ้นมาหนึ่งขั้นเมื่อเธอเริ่มตั้งคำถามต่อความเป็นใหญ่ (authority) ของออสติน อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เสรีภาพสมบูรณ์แบบเพราะแคทเธอลีนยังคงมีพลังพึ่งพิงอยู่กับผู้ชาย กล่าวคือ เธอเปลี่ยนจากการเอาใจบิดามาเป็นเอาใจชายคนรักแทน เห็นได้ชัดในฉากที่แคทเธอลีนเล่นเปียโนและร้องเพลงคู่กับมอริสได้อย่างไพเราะ มั่นใจ เธอไม่ได้ตื่นเต้นหรือประหม่าเหมือนเมื่อครั้งร้องเพลงในงานวันเกิดบิดา และการมีออสตินนั่งฟังอยู่ด้วยก็ไม่ได้สร้างความกดดันให้แคทเธอลีนอีกต่อไป

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของแคทเธอลีน เริ่มขึ้นเมื่อเธอถูกมอริสทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ความเสียใจครั้งนั้นทำให้เธอมองเห็นคุณค่าลึกลงไปในตัวเองอีกขั้น คุณค่าที่ไม่จำต้องพึ่งพาใคร คุณค่าที่จะติดตัวเธอไปตลอดแม้จะไม่มีชายใดอยู่เคียงข้าง ตอนนี้แคทเธอลีนไม่ได้สำนึกเพียงว่าเธอสามารถ "ถูกรัก" จากผู้ชายได้โดยไม่จำต้องพึ่งพาทรัพย์สินของบิดาเท่านั้น แต่เธอยังสามารถมีความสุขได้โดย "ปราศจาก" ผู้ชายอีกด้วย เธอไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ชายรู้สึกเหมือน “เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในโลก” อีกต่อไป เพราะเธอเริ่มหันมารักตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแทน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เธอไม่เคยทำมาก่อนตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา บทสรุปดังกล่าวในหนังออกจะหัวก้าวหน้าอยู่ไม่น้อย และช่วยดึงให้แคทเธอลีนของฮอลแลนด์มีความร่วมสมัยกับยุค 90 มากขึ้น

ใน The Heiress วิลเลี่ยม วายเลอร์ จบหนังด้วยการให้แคทเธอลีนลงเอยไม่แตกต่างจากพ่อของเธอ (โหดร้าย เย็นชา) ฉบับของฮอลแลนด์เองก็อาจให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกัน เช่น ช่วงท้ายเรื่องเมื่อแคทเธอลีนตอกกลับคำกระทบกระเทียบของบิดาแบบไม่เกรงกลัว ต่างกันตรงที่หนังฉบับใหม่ส่งสารเชิงเฟมินิสต์โดดเด่นกว่าฉบับปี 1949 อย่างเห็นได้ชัด เพราะสุดท้ายแคทเธอลีนลงเอยด้วยการไม่ได้แต่งงานกับใครแม้จะมีผู้มาแสดงท่าทีสนใจอยู่บ้าง เธอเปิดบ้านเป็นเหมือนสถานรับเลี้ยงเด็กในยุคปัจจุบัน และผันตัวเป็นผู้หญิงทำงานอย่างเต็มตัว บทสรุปดังกล่าวพบเห็นได้ไม่บ่อยนักสำหรับหนังที่ดำเนินเรื่องช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อนขบวนการเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศจะเบ่งบานเต็มที่ เนื่องจากสตรีในยุคดังกล่าวถูกกดขี่เด่นชัดจากสังคมชายเป็นใหญ่ทั้งแง่รูปธรรมและนามธรรม งานเดียวที่มีผู้ชายทำน้อยกว่าผู้หญิงสำหรับยุคนั้น คือ โสเภณี ซึ่งก็ยังให้ความรู้สึกของการกดขี่ทางเพศอยู่ดี

ไม่น่าแปลกใจที่หนังดึงแคทเธอลีนให้มาอยู่ในสถานะเดียวกับผู้ชาย ใช้ชีวิต ทำงานหาเลี้ยงชีพ เนื่องจากก่อนหน้านี้ภาพลักษณ์ของเธอก็เจือความเป็นชายมาตลอด โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการขาดเสน่ห์ของเพศหญิงในแบบที่มารดาเธอมี กล่าวคือ เธอเหมือนพ่อมากกว่าแม่ เธอมีความเป็นชายมากกว่าความเป็นหญิง บทสรุปของฮอลแลนด์จึงวนชะตากรรมแคทเธอลีนให้มาบรรจบกับบิดาอีกครั้ง ไม่ใช่ในแง่บุคลิกเหมือนฉบับวายเลอร์ แต่ในแง่สถานะทางสังคมจากการตั้งตนเป็นปัจเจกชนเดี่ยวๆไม่ขึ้นสังกัดแก่ชายผู้ใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิง "ดีๆ" ส่วนใหญ่ในยุคนั้นเขาไม่กระทำกัน ส่งผลให้เธอกลับมาเป็น “ลูกสาวของพ่อ” อีกครั้ง หลังล้มเหลวในการเล่นบทลูกสาวของแม่ (แต่งงานสร้างครอบครัว) แต่บทก็ยังคงความเป็นหญิงแก่แคทเธอลีนไว้บ้างจากวิญญาณการเป็นแม่คน (เปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก) แม้จะไม่ครบวงจรเพราะเธอไม่มีลูกเป็นของตัวเอง

แคทเธอลีนอาจเริ่มต้นด้วยข้อด้อยกว่าสองตัวเอกใน The Portrait of a Lady และ The Wing of the Dove แต่เธอกลับพบบทสรุปที่น่าชื่นใจมากกว่า แคทเธอลีนอาจไม่มีคู่ครอง หรือทรัพย์สิน เธออาจต้องเจ็บปวดจากรักที่ไม่สมหวัง หรือสูญเสียความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาไปแบบไม่อาจทวงคืนได้อีก แต่สิ่งที่เธอได้ตอบแทนจากเหตุการณ์น่าเศร้าเหล่านั้นกลับมีคุณค่าไม่แพ้กัน… หรือบางทีอาจจะมากกว่า เมื่อแคทเธอลีนเรียนรู้ที่จะมองเห็นคุณค่าในตัวเอง คุณค่าที่พ่อเธอ หรือ มอริสมองไม่เห็น หรือ ปฏิเสธที่จะให้ความสำคัญแก่มัน แคทเธอลีนเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเอง และพอใจกับศักยภาพอันจำกัดของเธอ

ดังนั้นนอกจากจะไม่แปลกใจเมื่อแคทเธอลีนปฏิเสธข้อเสนอเพื่อเริ่มต้นใหม่ของมอร์ริสแล้ว คนดูยังพลอยยิ้มไปพร้อมกับเธอในช็อตสุดท้ายของหนังด้วย รอยยิ้มที่บ่งบอกว่าวันเวลาแห่งความพยายามจะเอาชนะใจคนรอบข้าง พร้อมกับกดตัวเองลงต่ำได้ผ่านพ้นไปแล้ว รอยยิ้มที่พิสูจน์ให้เห็นว่าลูกเป็ดขี้เหร่ได้กลายสภาพเป็นหงส์งามสง่าอย่างสมบูรณ์แบบ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินของบิดาแม้แต่สตางค์แดงเดียว

หมายเหตุ

(1) นิยายโรแมนติกเชิงสุขนาฏกรรมของออสเตน มักลงเอยด้วยการให้ตัวเอกของเธอได้แต่งงานกับผู้ชายที่คู่ควรหลังฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามมาตลอดเรื่อง การแต่งงานจึงเหมือนเป็นรางวัลตอบแทนการต่อสู้

(2) ออสตินเป็นบุตรของวิทยาศาสตร์ซึ่งพุ่งเป้าหมายไปยังการค้นหา ‘ความจริง’ เขาทำงานเป็นหมอผ่าตัดที่คนดูมีโอกาสไปเยี่ยมชมถึงสถานที่ทำงานของเขา (มิใช่เพียงคำบอกเล่าว่าเขาเป็นหมอ) ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนักในผลงานแนว costume drama ที่ดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิกเนื่องจากส่วนใหญ่จะวนเวียนอยู่กับความรัก ความฝันเชิงเทพนิยายของชนชั้นกลาง

ไม่มีความคิดเห็น: