หลายคนอาจเปรียบเทียบ
The Tribe
ผลงานกำกับเรื่องแรกของ มิโรสลาฟ สลาโบชพิทสกี กับภาพยนตร์เงียบตรงที่มันปราศจากบทสนทนา
หรือคำพูดแม้แต่คำเดียวตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่า เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดดำเนินเหตุการณ์ในโรงเรียนประจำสำหรับคนหูหนวกและตัวละครทุกคนก็สื่อสารกันด้วยภาษามือ
แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ตรงที่ The Tribe เลือกจะไม่ใส่ซับไตเติลให้กับภาษามือเหล่านั้น
ขณะที่หนังเงียบส่วนใหญ่ยังใช้คำบรรยาย (Intertitle) เป็นตัวช่วยในการเล่าเรื่อง
ดังนั้นคนดูจึงถูกปล่อยให้เติมเต็มช่องว่างในรายละเอียดต่างๆ เอาเอง โดยอาศัยเบาะแสจากภาษาท่าทางของเหล่านักแสดงสมัครเล่น
(ทั้งหมดเป็นคนหูหนวก)
หรือกระทั่งเสียงประกอบซึ่งถูกเน้นให้เด่นชัดขึ้น ทั้งนี้เพราะสลาโบชพิทสกีตัดสินใจที่จะไม่ใช่ดนตรีในการชี้นำอารมณ์คนดูอีกด้วย
พิจารณาจากฉากหลังของเรื่องราวและนักแสดง
มันเป็นเหตุเป็นผล หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นความจำเป็นด้วยซ้ำที่หนังจะปราศจากบทสนทนา
แต่การเลือกที่จะไม่ใส่ซับไตเติลอาจถือเป็น “ลูกเล่น” ของผู้กำกับเพื่อเพิ่มสีสันให้กับตัวหนังคล้ายคลึงกับการเล่าเรื่องแบบถอยหลังของหนังอย่าง
Memento กล่าวคือ แทนการนำเสนอภาพต่อจิ๊กซอว์ที่เสร็จสมบูรณ์ตามธรรมเนียมปฏิบัติ
สลาโบชพิทสกีกลับเลือกจะดึงตัวต่อบางชิ้นออก ส่งผลให้เกิดช่องว่างและความคลุมเครืออันชวนให้พิศวง
แม้ว่าโดยตัวเรื่องหลักจะค่อนข้างชัดเจนผ่านการเล่าด้วยภาพ
เซอร์เก
(กรีกอรี เฟเซนโก) ตัวละครเอกซึ่งเรารับรู้ชื่อจากเครดิตท้ายเรื่อง
เดินทางมาถึงโรงเรียนประจำแห่งนี้ด้วยภาพของเด็กหนุ่มเซื่องซื่อ ดูไม่มีพิษมีภัย
เช่นเดียวกับตัวโรงเรียนในช่วง 10 นาทีแรก
ซึ่งมีกิจวัตรเฉกเช่นโรงเรียนปกติทั่วไป
ยกเว้นเพียงครูและนักเรียนทุกคนล้วนสื่อสารด้วยภาษามือ ส่วนสัญญาณบอกเวลาเข้า/เลิกคลาสก็จะเป็นดวงไฟกะพริบแทนเสียงระฆัง แต่หลังจากนั้นหนังก็ค่อยๆ
เปิดม่านให้เห็นความเป็นไปอันชวนให้หดหู่ น่าสะพรึงของชีวิตจริงเบื้องหลังชั้นเรียน
ซึ่งปกครองด้วยระบบโซตัส เมื่อรุ่นพี่ต้อนรับน้องใหม่ด้วยการกลั่นแกล้งสนุกๆ
แบบพอเป็นพิธี ก่อนจะดึงดูดเขาเข้าสู่โลกแห่งอาชญากรรม สารพัดรูปแบบ ตั้งแต่การแอบขโมยเงินจากตู้นอนของผู้โดยสารบนรถไฟ
ไปจนถึงการพานักเรียนหญิงสองคนออกตระเวนขายตัวตามลานจอดรถบรรทุก
และดักปล้นของชำในยามค่ำคืน เซอร์เกถูกชักนำเข้าสู่ “ชนเผ่า” ซึ่งแบ่งชนชั้นตามระบบอำนาจนิยม (ยอดบนสุดของพีระมิด
คือ ครูสอนวิชาช่างไม้ เจ้าของรถตู้ที่สองสาวใช้สำหรับออกไปหากินในยามค่ำคืน)
และเขาจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองผ่านการต่อสู้กับสมาชิกในแก๊งกว่าจะได้รับความไว้วางใจให้เข้าร่วมภารกิจ
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขา “ทำพัง”
ก็จะถูกลดขั้นให้ไปขายตุ๊กตาบนรถไฟ พร้อมกับโดนเนรเทศให้ไปนอนร่วมห้องกับพวก “ขี้แพ้” ทันที
ความขัดแย้งระหว่างเซอร์เกกับกลุ่มมาเฟียหูหนวกเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาเกิดหลงใหล
อันนา (ยานา โนวิโควา) หนึ่งในสองโสเภณีเด็ก
และการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเขาทราบข่าวว่าอันนากับเพื่อนสาวกำลังจะเดินทางไป
(ค้าประเวณี) ยังประเทศอิตาลีโดยอาศัยเส้นสายของเจ้าหน้าที่รัฐและการจ่ายเงินใต้โตะ
จนนำไปสู่ฉากจบที่ชวนช็อก เมื่อเซอร์เก เจ้าหนูหน้าซื่อในช่วงต้นเรื่องที่ยินยอมให้ถูกฉุดกระชากลากถูไปตามคำสั่ง
ตัดสินใจลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้และเอาคืนระบบกับผู้มีอำนาจอย่างสาสม มันเป็นส่วนผสมระหว่างอารมณ์สะใจของการแก้แค้นในแบบหนังสยองขวัญ
หรือหนังทริลเลอร์ กับอารมณ์มืดหม่น หดหู่ เมื่อเราพลันตระหนักว่าตัวละครได้สูญเสียความเป็นมนุษย์
สำนึกผิดชอบชั่วดีจนหมดสิ้น พร้อมกับนึกตั้งคำถามว่าเขาเดินทางดำดิ่งมาถึงหุบเหวอันมืดมิดนี้ได้อย่างไร
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากภาพลักษณ์ที่ปิดล้อมและเป็นเอกเทศของโรงเรียนสำหรับคนหูหนวกใน
The Tribe
จะถูกนำไปเปรียบเทียบว่าเป็นสัญลักษณ์แทนระบบอำนาจนิยม
ซึ่งประชาชนไม่อาจเปล่งเสียง แถมยังถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่โดยเหล่าผู้มีอำนาจหลายระดับ
ไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นพี่ หรือครู คอรัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านระบบทุนนิยม
ส่งผลให้ทุกคนถูกบีบให้ต้องปากกัดตีนถีบ และทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
แม้จะต้องลงเอยด้วยการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันก็ตาม ด้วยเหตุนี้การล่มสลายทางจิตวิญญาณของตัวละครเอกจึงหาใช่ความบกพร่องจากภายในเพียงอย่างเดียว
แต่ส่วนหนึ่งยังเป็นผลพวงจากสภาพแวดล้อมภายนอกอันฟอนเฟะอีกด้วย
มองในเชิงสุนทรียศาสตร์ทางภาพยนตร์
ผลงานกำกับของ มิโรสลาฟ สลาโบชพิทสกี น่าจะได้อิทธิพลไม่น้อยจากกลุ่มนักทำหนังคลื่นลูกใหม่ของโรมาเนียในช่วงต้นทศวรรษ
2000 ผ่านผลงานเด่นอย่าง The Death of Mr. Lazarescu และ 4
Months, 3 Weeks and 2 Days รวมไปถึงผลงานของ ลุค และ ฌอง-ปิแอร์ ดาร์เดน สองพี่น้องผู้กำกับชื่อดังชาวเบลเยียม
ดังจะเห็นได้จากความหลงใหลในการถ่ายภาพแบบ long take ตามติดตัวละคร
สลับกับการแช่ภาพนิ่งเป็นเวลาหลายนาที (หนังทั้งเรื่องมีการตัดภาพเพียง
34 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าฉากแอ็กชั่นหนึ่งฉากในหนังของ ไมเคิล
เบย์ ด้วยซ้ำ)
เทคนิคดังกล่าวนอกจากจะเสริมสร้างความสมจริงแล้ว
ยังช่วยขับเน้นความเข้มข้นทางอารมณ์ได้อย่างโดดเด่นอีกด้วย เช่น ในฉากทำแท้งให้อันนา
เมื่อกล้องตามติด “หมอทำแท้ง”
ขณะเธอเดินไปหยิบจับและตระเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนจะหยุดนิ่งตลอดขั้นตอนการขูดมดลูกราวกับสลาโบชพิทสกีกำลังเล่นเกมแข่งจ้องตาเพื่อดูว่าใคร
(กล้องหรือคนดู) จะกะพริบก่อนกัน เรียกได้ว่าความโหดร้ายของฉากนี้ก้าวข้ามฉากทำแท้งใน
4 Months, 3 Weeks and 2 Days ขึ้นไปอีกขั้น
แต่ท่ามกลางความสยดสยองกลับเจือไว้ด้วยอารมณ์เศร้าสลดของมนุษย์ผู้จนตรอกและสิ้นไร้ทางเลือกไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตามความเหมือนจริงดูจะไม่ใช่สิ่งที่สลาโบชพิทสกีใฝ่หาขั้นสูงสุดเสียทีเดียว
เพราะในเวลาเดียวกันเขากลับต้องการความงามและการขับเน้นแบบโอเปรา หรือภาพวาดควบคู่ไปกับความต่ำตม
อัปลักษณ์ของสภาพแวดล้อมทั้งหลายอีกด้วย เห็นได้จากการจัดวางท่วงท่านักแสดงในฉากร่วมรักโดยมีผนังปูนเปลือยสีฟ้าเป็นแบ็คกราวด์ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับผลงานจิตรกรรมมากกว่าจะดูเหมือนจริง
(ไม่น่าแปลกที่ผู้กำกับจะให้สัมภาษณ์ว่าเขาใช้ฉากรักใน Blue Is The
Warmest Color เป็นข้อมูลอ้างอิงให้นักแสดงศึกษาก่อนเข้าฉาก) เช่นกันฉากต่อสู้หน้าตึกร้างช่วงต้นเรื่องก็ถูกจัดวางจังหวะ
ตำแหน่งบล็อกกิ้งอย่างละเอียด ราวกับมันเป็นฉากหนึ่งในหนังเพลง
หรือการแสดงบัลเล่ต์มากกว่าจะให้อารมณ์สมจริงแบบข้างถนน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ตัวละครไม่อาจเปล่งเสียงโห่ร้อง
ปลุกเร้า หรือกระตุ้นการต่อสู้ได้แบบเดียวกับฉากทำนองเดียวกันในหนังทั่วไป
และอีกส่วนน่าจะเป็นผลจากการที่สลาโบชพิทสกีกับตากล้องของเขา วาเลนทีน วาสยาโนวิช เลือกจะใช้สเตดิแคม
ซึ่งให้ความเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลราบรื่นมากกว่า แทนการใช้กล้องแฮนด์เฮลตามธรรมเนียมปฏิบัติของหนังแนวสัจนิยม
รวมไปถึงการยืนกรานที่จะถ่ายทอดเหตุการณ์โดยปราศจากโคลสอัพช็อตเพื่อเน้นย้ำการเคลื่อนไหวแบบหมู่คณะ
ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับพื้นที่ว่าง
คุณสมบัติดังกล่าวทำให้
The Tribe
กลายเป็นหนังที่เปี่ยมสไตล์ปรุงแต่ง ตลอดจนการทดลองแปลกใหม่
แต่ในเวลาเดียวกันก็เน้นความเรียบง่าย สมจริงไปพร้อมๆ กัน มันเป็นส่วนผสมที่น่าประหลาด
ไม่ต่างจากเรื่องราวหลักของหนัง ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วค่อนข้างตรงไปตรงมา
และน่าจะคุ้นเคยดีสำหรับผู้ชมที่ผ่านการดูหนังมาระดับหนึ่ง แต่ถูกทำให้คลุมเครือ
ซับซ้อนขึ้นผ่านขั้นตอนดึงชิ้นส่วนออกจนเหลือช่องว่างสำหรับใช้จินตนาการเติมเต็ม
แม้จะหยิบยืมสไตล์มาจากสองพี่น้องดาร์เดน
แต่เห็นได้ชัดว่าสลาโบชพิทากีหาได้สนใจที่จะสำรวจประเด็นทางด้านศีลธรรม หรือวิเคราะห์ตัวละครในเชิงลึกแบบเดียวกับนักทำหนังสองพี่น้องชาวเบลเยียม
ตรงกันข้าม มุมมองของเขาต่อมนุษย์ ตลอดจนโทนอารมณ์เย็นชาโดยรวมดูจะใกล้เคียงกับผลงานของ
ไมเคิล ฮาเนเก้ มากกว่า
กล้องของเขารักษาระยะห่างระหว่างคนดูกับตัวละครและเรื่องราว ไม่มีภาพโคลสอัพ
ไม่มีภาพแทนสายตา คนดูไม่ได้ถูกดึงดูดให้เข้าไปมีส่วนร่วม แต่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
(พึงสังเกตว่าในหนังอย่าง Memento การเล่าเรื่องถอยหลังช่วยสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูเข้าไปอยู่ในโลกของตัวละครเอกที่เป็นโรคความจำเสื่อม
ซึ่งหากสลาโบชพิทากีต้องการผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน เขาอาจจำเป็นต้องใส่ซับไตเติลให้กับภาษามือ
แล้วดับเสียงประกอบทั้งหลายให้เหลือศูนย์)
ขณะเดียวกันตัวละครของเขาก็ห่างไกลจากคำว่าน่าเห็นอกเห็นใจ ซึ่งพบเห็นได้ไม่บ่อยนักในหนังที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลพิการทางร่างกาย
ตรงกันข้าม พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยกิเลส ราคะ ความชั่วร้าย ความโลภ และความเจ้าเล่ห์ไม่แตกต่างจากบุคคลปกติทั่วไป
แม้กระทั่งสองสาวโสเภณีก็ไม่ได้ถูกนำเสนอในภาพลักษณ์ของเหยื่อสักเท่าไหร่ อันที่จริงพวกเธอดูจะเอ็นจอยกับอาชีพนี้
และมีท่าทีตื่นเต้นดีใจที่จะได้เดินทางไปต่างประเทศเสียด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันอันนาเองก็ดูจะไม่ได้ปลาบปลื้มเท่าใดนักกับความพยายามของเซอร์เกในอันที่จะช่วยเหลือเธอ
ไม่ว่าจะด้วยความรัก ความหึงหวง หรือการได้ดูหนังเรื่อง Taxi Driver มากเกินไปก็ตาม
ความพิการของตัวละครถูกนำมาใช้รองรับเรื่องราวได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพในสองฉากสำคัญ
ฉากแรก คือ ฉากที่แมงดาถูกรถบรรทุกถอยมาทับตายเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ จนต่อมาส่งผลให้เซอร์เกได้ก้าวขึ้นมารับหน้าที่แทน
และฉากที่สอง คือ ฉากจบซึ่งน่าจะทำให้คนดูสะดุ้งและขนหัวลุกได้ไม่ยากกับความหฤโหดแบบฉับพลัน
เงียบเชียบ และเยือกเย็น รวมเลยไปถึงนัยยะอันมืดหม่นของหนังต่อความเป็นมนุษย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น