“ทำไมพี่ถึงพูดว่า ‘โรแมนติก’ เหมือนมันเป็นคำน่ารังเกียจ”
เซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิง) ตอบโต้พี่สาว (โรสแมรี เดอวิท) ในฉากหนึ่งช่วงต้นเรื่อง เธออยากให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่เสียที แล้วหางานทำที่มั่นคงเป็นหลักแหล่ง
แทนการหมกมุ่นอยู่กับดนตรีแจ๊ส “ดั้งเดิม” ที่กำลังจะตายและใช้หาเงินเป็นกอบเป็นกำไม่ได้
แม้ว่ามันจะมีคุณค่าต่อจิตใจแค่ไหนก็ตาม “ใบแจ้งหนี้มันไม่โรแมนติกหรอก”
เธอแขวะเขากลับ ก่อนจะพยายามยัดเยียดให้น้องชายยอมไปดูตัวหญิงสาวซึ่งไม่ชอบเพลงแจ๊ส
นั่นคงเป็นอีกอย่างที่ไม่ค่อยโรแมนติกพอๆ กับใบแจ้งหนี้ เพราะมันดู “เบสิก” มากเกินไป ถ้าเธอลงเอยกลายเป็นคู่ชีวิตของเขาผ่านการแนะนำของพี่สาว
สถานการณ์โรแมนติกก็เช่น
หญิงสาว (ที่ไม่ชอบเพลงแจ๊สเหมือนกัน) กำลังจะกลับจากงานปาร์ตี้น่าเบื่อ
ระหว่างทางเธอบังเอิญได้ยินเสียงเปียโนดังแว่วมาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ที่นั่นเธอพบชายหนุ่มกำลังบรรเลงเพลงอย่างดื่มด่ำ เธอสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์หลงใหลของเขาในทุกตัวโน้ต
ต่างกับเจ้าของร้านอาหาร ซึ่งอยากให้เขาเล่นเพลงตามเทศกาลเหมือนตู้กดเพลง ไม่ใช่ด้นสดตามอารมณ์ศิลปิน
ความหงุดหงิดที่โดนไล่ออกจากงานเพราะไม่ยอมทำตาม คำสั่งทำให้เขาไม่แยแสแม้แต่จะทักทายหญิงสาว
ซึ่งตรงเข้ามาพูดคุยกับเขา... แต่แน่นอนนั่นไม่ใช่ครั้งแรก
หรือครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้พบกัน
“ตลกดีเนาะที่เราบังเอิญเจอกันอยู่เรื่อย” มีอา (เอ็มมา สโตน) ตั้งข้อสังเกตกับเซบาสเตียน
หลังเจอเขาอีกเป็นครั้งที่สามในงานปาร์ตี้ ความโรแมนติกอยู่ตรงนัยยะแห่งชะตาฟ้าลิขิต
หรือพรหมบันดาลในทำนองว่าคนที่เกิดมาคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วคลาดกัน ดังนั้นถึงแม้ในครั้งแรกและครั้งที่สองจังหวะชีวิตของพวกเขาจะยังไม่ลงตัว
แต่สวรรค์ก็ดลใจให้มีครั้งที่สามตามมาเพื่อโอกาสแก้ตัว
ไม่ต้องสงสัยว่า
La La
Land เป็นหนังที่เฉลิมฉลองความโรแมนติกอย่างสุดติ่ง
แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้มองข้ามความจริงอันเจ็บปวดของชีวิต ความโรแมนติกในหนังถูกถ่ายทอดออกมาสองรูปแบบผ่านพล็อตสองพล็อต
ซึ่งคลี่คลายในลักษณะสวนทางกันอยู่ในที นั่นคือ
พล็อตความรักทำนองพ่อแง่แม่งอนกับพล็อตอาชีพทำนองฝันให้ไกลไปให้ถึง
โดยเพลงทั้งหมดในหนังก็สามารถจัดแบ่งหมวดหมู่คร่าวๆ ได้เป็นสองประเภทเช่นกัน ได้แก่
กลุ่มความรัก (A Lovely Night, City of Stars, Start a Fire) และกลุ่มความฝัน (Another Day of Sun, Someone in the
Crowd, Audition) กระนั้นมีข้อสังเกตว่าเพลง Someone
in the Crowd อาจคาบเกี่ยวระหว่างสองกลุ่ม เพราะเนื้อเพลง ซึ่งพูดถึงการรอคอยวันที่จะถูก “ค้นพบ” โดยใครสักคนอาจหมายความถึงแมวมองดารา
หรือรักแท้ก็ได้
สองพล็อตนี้ดูจะพัฒนาขึ้นลงในทิศทางตรงกันข้าม
กล่าวคือ ขณะที่อาชีพในฝันของมีอากับเซบาสเตียนกำลังลุ่มๆ ดอนๆ
คนหนึ่งไปทดสอบบททีไรก็พบเจอแต่ความผิดหวัง อีกคนปราศจากรายได้ที่แน่นอน
อย่าว่าแต่จะเก็บเงินเปิดผับแจ๊สเลย ลำพังแค่ให้พอกินอยู่เป็นเดือนๆ ยังลำบาก
และต้องกล้ำกลืนฝืนใจรับจ้างเป็นมือคีย์บอร์ดเล่นเพลงป็อปย้อนยุคตามงานปาร์ตี้
ความรักของทั้งสองกลับค่อยๆ เบ่งบาน หยั่งรากลึกเนื่องจากอารมณ์ร่วมของศิลปิน (ต่างวงการ)
ที่หลงใหลในศาสตร์และสุนทรียะ รวมไปถึงความพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตนเอง
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมีอาถึงเลือกจะทิ้งเกร็ก (ฟิน วิทล็อค) ไปหาเซบาสเตียน เธอรู้สึกไม่เข้าพวก
เบื่อหน่ายเมื่อต้องทนฟังบทสนทนาธุรกิจบนโต๊ะอาหาร
หรือเสียงบ่นเกี่ยวกับความสกปรกในโรงหนัง แต่กลับสนใจฟังเซบาสเตียนสาธยายประวัติดนตรีแจ๊ส
แม้เธอจะเคยออกตัวตั้งแต่แรกว่าไม่ชอบเพลงแจ๊ส “ถ้าเรารักในสิ่งที่ทำคนก็จะชอบ”
เธอกล่าว เช่นเดียวกัน เซบาสเตียนเองก็สามารถฟังมีอาสาธยายความผูกพันของเธอต่อโลกของภาพยนตร์ได้อย่างไม่มีเบื่อ
อีกทั้งยังชวนเธอไปดูหนังคลาสสิกเรื่อง Rebel Without a Cause เพื่อ “ศึกษา” และเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบบทรอบสองด้วย
พวกเขาไม่ได้เข้าคู่กันอย่างเหมาะเจาะเพียงเพราะต่างเข้าใจหัวอกของ
“คนโง่ผู้เฝ้าฝัน” เท่านั้น แต่ยังคอยหล่อเลี้ยงความฝันของอีกฝ่ายให้ลุกโชติช่วง
ไม่มอดดับไปพร้อมกับ “หัวใจที่บอบช้ำ” เมื่อเซบาสเตียนทำท่าจะเอนหลังผ่อนคลายอยู่ใน
คอมฟอร์ท โซน ที่ คีธ (จอห์น เลเจนด์) จัดหามาให้ มีอาเป็นคนที่คอยเตือนสติให้เขาหวนคืนสู่เส้นทางฝันและจริงใจกับตัวเอง
เมื่อมีอาหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ รับมือกับคำปฏิเสธและความอับอายครั้งแล้วครั้งเล่า
เซบาสเตียนเป็นคนที่ฉุดเธอขึ้นจากหุบเหวแห่งความหดหู่ สิ้นหวัง
ทำให้เธอกล้าจะลุกขึ้นมาสู้เพื่อความฝันอีกครั้ง และสุดท้ายแล้วทั้งสองล้วนบรรลุความฝันตามปรารถนา
เธอกลายเป็นนักแสดงโด่งดัง ส่วนเขาก็เปิดผับแจ๊สที่ประสบความสำเร็จ
แต่ความสัมพันธ์กลับต้องดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด
อารมณ์หวานปนเศร้าของฉากจบเกิดจากการที่ตัวละครต้องพลัดพราก
ไม่ลงเอยอย่างมีความสุข แต่ขณะเดียวกันพวกเขาต่างก็บรรลุความฝันที่วิ่งไล่ไขว่คว้ามาตลอด
“ฉันจะรักคุณไปตลอด” มีอากล่าวกับเซบาสเตียน “ผมก็จะรักคุณไปตลอด”
เขาตอบเธอก่อนต่างฝ่ายจะแยกย้ายกันไปทำตามความฝัน
สายตาและรอยยิ้มที่ทั้งสองมอบให้กันในฉากสุดท้ายไม่เพียงสะท้อนความรักระหว่างหนุ่มสาว
แต่ยังเป็นความรักระหว่างคนโง่ผู้เฝ้าฝัน ซึ่งตระหนักดีว่าพวกเขาคงไม่สามารถมายืน ณ
จุดนี้ได้ หากปราศจากกำลังใจ ตลอดจนแรงผลักดันของอีกฝ่าย
มองทาจในตอนท้ายเปรียบเสมือนการคารวะมนตร์เสน่ห์แห่งโลกภาพยนตร์ทั้งในเชิงรูปธรรม
และในฐานะความบันเทิงเพื่อปลอบประโลมจิตใจผ่านภาพปะติดปะต่อความฝันในห้วงคำนึง
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างในอดีตที่ผ่านมาล้วนลงเอยอย่างสุขสันต์
(เซบาสเตียนไม่ได้เมินเฉยมีอาในการเจอกันครั้งที่สอง ละครโชว์เดี่ยวของมีอามีคนดูมาร่วมชื่นชมเนืองแน่น
หนึ่งในนั้น คือ เซบาสเตียน ซึ่งไม่ได้ติดงานจนมาดูละครไม่ทัน
ทั้งสองเดินทางไปปารีสด้วยกันหลังมีอาได้ข้อเสนอให้เล่นหนัง ฯลฯ)
แต่น่าเศร้าตรงที่ชีวิตจริงไม่ได้ลงตัว เปี่ยมสุขเฉกเช่นภาพยนตร์
หลายครั้งเราจำเป็นต้องเสียสละบางสิ่งเพื่อแลกกับโอกาส
เสียสละความสัมพันธ์เพื่อแลกกับความฝัน เหมือนการที่มีอาเลือกไปปารีส
ขณะเซบาสเตียนก็ตัดสินใจอยู่แอลเอทำงานของเขาต่อไป
เรื่องราวทำนองเดียวกันเคยปรากฏให้เห็นมาแล้วในผลงานสร้างชื่อชิ้นก่อนของ
เดเมียน ชาเซลล์ แต่อารมณ์ที่ได้ดูจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะ แอนดรูว์ (ไมส์
เทลเลอร์) ใน Whiplash มีบุคลิกที่ก้ำกึ่งระหว่างมุ่งมั่นกับบ้าคลั่ง และความทุ่มเทของเขาเพื่อเป็นมือกลองวงแจ๊สก็หมิ่นเหม่อยู่บนเส้นลวดบางๆ
ระหว่างการทำตามความฝันกับการเอาชนะ/โอ้อวดตน
ดังนั้นเมื่อเขาตัดสินใจบอกเลิกแฟนสาวอย่างไม่แยแสด้วยเหตุผลว่าเขาไม่มีเวลาสำหรับความสัมพันธ์
เพราะต้องทุ่มเทเวลาทุกนาทีให้กับการซ้อม คนดูก็อดคิดแบบเดียวกับแฟนสาวของเขาไม่ได้ว่า
“มึงบ้ารึเปล่า” ถึงแม้โดยพื้นฐานแล้วนั่นถือเป็นเหตุผลแบบเดียวกันที่ทำให้มีอากับเซบาสเตียนต้องแยกทาง
ทั้งสองเลือกจะเสียสละความรักเพื่อถนอมความฝัน
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่นิยามตัวตนของพวกเขา
เวลาเรานึกถึงหนังเรื่อง Whiplash อารมณ์แวบแรกในหัวคงเป็นความสยอง
ความหดหู่ เพราะการไล่ตามความฝันดูจะไม่ใช่อุดมคติที่สุดแสนโรแมนติกอย่างที่เราคุ้นเคย
แต่กลับเต็มไปด้วยความอึดถึก หยาดเหงื่อ และบางทีอาจถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อเลยด้วยซ้ำ
กระนั้นชาเซลล์เลือกจะจบหนังด้วยความหวังอยู่กลายๆ เพราะแม้อนาคตของแอนดรูว์จะปราศจากบทสรุปแน่ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้ คือ
เขามีดีและเปี่ยมพรสวรรค์พอจะบรรลุความฝัน ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้สมบูรณ์แบบอย่าง
เซดี้ ฟลัด (เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์) ใน Georgia (1995) ซึ่งไม่มีวันเป็นนักร้องชั้นยอดแบบพี่สาวของเธอได้
ฉากที่น่าเศร้าที่สุดของหนัง ไม่ใช่ตอนที่แอนดรูว์โดนกดดัน โดนกดขี่
โดนขว้างเก้าอี้ใส่ (แต่ก็ยังยอมทน) โดนตะคอกจนร้องไห้ หรือพยายามกระเสือกกระสนออกจากซากรถชนเพื่อไปให้ทันการแข่งครั้งสำคัญ
แต่เป็นตอนที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียน ตัดสินใจเลิกตีกลอง แล้วปล่อยชีวิตให้ล่องลอยอย่างไร้วิญญาณผ่านกิจวัตรอันซ้ำซาก
น่าเบื่อ
ความโรแมนติกของ La La Land ก็ไม่ต่างจาก Whiplash จริงอยู่มีอาอาจเผชิญความผิดหวังและคำปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ลึกๆ
แล้วเธอมีพรสวรรค์ที่รอวันจะถูกค้นพบไม่ต่างจากแอนดรูว์ ความแตกต่างคงอยู่ตรงที่พล็อตในส่วนความฝัน
(เป็นนักแสดง/เปิดผับแจ๊ส) จบลงอย่างงดงาม หมดจด ไม่ได้คลุมเครือเหมือนในWhiplash
เทียบไปแล้วเซบาสเตียนคงเหมือนตัวแทนของ
เดเมียน ชาเซลล์ ทั้งในแง่ความหลงใหลในดนตรีแจ๊ส (นี่เป็นหนังเรื่องที่สามของเขาที่พูดถึงดนตรีแจ๊สหลัง
Guy and Madeline on a Park Bench และ Whiplash) และความพร่ำเพ้อถึงอดีตอันหอมหวน (นอกจาก La
La Land จะเน้นสดุดีหนังเพลงยุครุ่งเรืองแล้ว
มันยังอ้างอิงถึงหนังเก่ามากมาย ตั้งแต่ Rebel Without a Cause ไปจนถึง Casablanca โดยเฉพาะเรื่องหลัง
เนื่องจากฉากสุดท้ายของหนังทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ถึงฉาก อินกริด เบิร์กแมน
เดินเข้ามาในไนท์คลับของ ฮัมฟรีย์ โบการ์ด แล้วขอให้นักเปียโนเล่น “เพลงของเรา”) เซบาสเตียนไม่ได้แค่อยากเล่นดนตรีแจ๊ส
แต่เขายังอยาก “อนุรักษ์” แจ๊สดั้งเดิมไม่ให้ล้มหายตายจาก
หรือกลายพันธุ์เป็นเพลงกระแสหลักสไตล์ เคนนี จี ที่ใช้เปิดในลิฟต์
ความรู้สึกของชาเซลล์ต่อหนังเพลงยุคเก่าก็คงไม่แตกต่างกัน
เพราะรายละเอียดในแทบทุกส่วนของ La La Land
ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ภาพ (เน้น long take และถ่าย long
shot แทนการตัดภาพถี่ๆ
หรือถ่ายเจาะโคลสอัพในสไตล์หนังเพลงยุคใหม่อย่าง Moulin Rouge! และ Chicago) ดนตรี ท่าเต้น
หรืองานสร้างโดยรวม ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมไปถึงภาพวาดตามกำแพงและโปสเตอร์บนผนังห้องล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายย้อนยุคจนคนดูสัมผัสได้ แม้ว่าเรื่องราวในหนังจะดำเนินเหตุการณ์ในยุคปัจจุบันก็ตาม
ความหดหู่ของเซบาสเตียน
คือ การเห็นผับแจ๊สชั้นยอด รุ่มรวยประวัติศาสตร์ต้องปิดตัวลง แล้วแปลงโฉมไปสู่ร้านอาหาร
ซึ่งดนตรีสดเป็นแค่เสียงแบ็คกราวด์ ไม่ใช่จุดดึงดูดหลัก
แต่นั่นคือสัจธรรมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นวัฏจักรแห่งสังคมทุนนิยม และการหยุดนิ่งแช่แข็งหมายถึงจุดจบอันไม่อาจหลีกเลี่ยง
“นายจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในเมื่อยังคร่ำครึแบบนี้” คีธเตือนสติเซบาสเตียนในฉากหนึ่ง
“นายยึดติดกับอดีต แต่แจ๊สเป็นเรื่องของอนาคต” รสนิยมที่ผูกติดกับอดีตแบบไม่ประนีประนอนของเซบาสเตียน
ซึ่งหนังนำเสนอว่าเปรียบดังการยึดมั่นในหลักการและจรรยาบรรณมากกว่าการไม่รู้จักปรับตัว
ปกติมักจะลงเอยด้วยหายนะ ไม่เชื่อก็ลองดูชะตากรรมของตัวละครเอกใน Inside
Llewyn Davis เป็นตัวอย่าง
ถามว่าบทสรุปของหนังเมื่อเซบาสเตียนเปิดผับแบบที่เขาต้องการได้สำเร็จ
และยังได้รับความนิยมอย่างน่าพอใจถือเป็นฉากจบที่ปลอบประโลมคนดูด้วยความรู้สึกชวนฝัน
โรแมนติก แบบเดียวกับหนังเพื่อความบันเทิงที่ La La Land พยายามแยกตัวออกห่างผ่านมองทาจในช่วงท้ายเรื่องหรือไม่...
ก็อาจจะใช่
ท่ามกลางกระแสหนังซูเปอร์ฮีโร่เกลื่อนตลาด
การเสนอโครงการสร้างหนังเพลงราคา 20 ล้านเหรียญของชาเซลล์ก็คงไม่ต่างจากการเปิดผับแจ๊สแบบดั้งเดิมของเซบาสเตียน
มันเสี่ยงต่อหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การคาดหวังความสำเร็จก็ใช่จะเป็นแค่ฝันลมๆ
แล้งๆ เสมอไปตราบใดที่คุณ “มีของ” มีความมุ่งมั่น เพราะสุดท้ายทุกอย่างอาจลงเอยอย่างมีความสุขได้
เหมือนที่มีอาบอก “ถ้าเรารักในสิ่งที่ทำคนก็จะชอบ” ไม่ว่าคุณจะมีความคิดอย่างไรกับหนังเรื่อง La
La Land แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะเห็นพ้องต้องกัน คือ ชาเซลล์รักในสิ่งที่เขาทำอยู่
และความรักนั้นก็สะท้อนออกมาในผลงานได้อย่างชัดเจน ความสำเร็จของหนัง (ตอนนี้ในอเมริกาหนังมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะทำเงินเกิน 100 ล้าน) ในแง่หนึ่งอาจช่วยพิสูจน์คำพูดของมีอาว่าพอจะฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน
ชะตากรรมอันมืดหม่นหาไม่ได้เทียบสมการเท่ากับความจริงเสมอไป
เพราะดังจะเห็นได้จากกรณีเซบาสเตียน, มีอา รวมไปถึง เดเมียน
ชาเซลล์ กับ La La Land บางครั้งฝันก็กลายเป็นจริงได้
ขึ้นอยู่กับว่าคุณกล้าบ้าบิ่นพอจะกระโดดลงไปในแม่น้ำแซนหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น