ระหว่างนั่งดู
I Am Not
Madame Bovary ไปได้เกือบสองชั่วโมง ผมได้แต่นึกตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่า
เหตุใดเราถึงไม่ค่อยรู้สึกสงสาร หรือเห็นอกเห็นใจตัวละครเอกอย่าง หลีสั่งเหลียน
(ฟ่านปิงปิง) สักเท่าไหร่ แม้เธอจะต้องประสบกับสารพัดความเลวร้าย
เฮงซวยของเหล่าผู้มีอำนาจในระบบราชการ ซึ่งสักแต่แก้ปัญหาแบบขอไปที
หรือกระทั่งมองเห็นชาวบ้านที่ทุกข์ร้อน เดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมถึงหน้าหน่วยงาน
และกระโดดมาขวางรถประจำตำแหน่งเป็นเหมือนแมลงหวี่แมลงวันที่น่ารำคาญจนต้องหาทางกำจัดให้พ้นสายตาโดยเร็ว
พวกเขาพยายามทำทุกทาง ยกเว้นถามไถ่ถึงปัญหาที่แท้จริง แล้วพยายามช่วยเหลือ
หรือหาทางคลี่คลายปมขัดแย้ง หนึ่งในกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้ คือ วางอำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่ให้ประชาชนตัวเล็กๆ
หวาดกลัวด้วยการเชิญ “ตัวการ” ไปปรับทัศนคติในคุก
(ฟังดูคุ้นๆ ไหม) แต่ไม่ว่าจะด้วยความแค้น
หรือความหน้าด้านหน้าทนก็ตาม กลยุทธ์ดังกล่าวใช้ไม่ได้ผลกับหลีสั่งเหลียน ตรงกันข้าม
มันกลายเป็นเหมือนการราดน้ำมันลงกองเพลิง จนสุดท้ายปัญหาเล็กๆ จากเรื่องไม่เป็นเรื่องในเมืองบ้านนอกกลับลุกลามบานปลายไปถึงคนใหญ่คนโตในพรรคคอมมิวนิสต์
และข้าราชการท้องถิ่นหลายคนก็ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่ง
เหตุผลแรกที่แวบเข้ามาในหัวคงเพราะหนังจงใจจะเสียดสี
เยาะหยันระบบการทำงานอันไร้ประสิทธิภาพของรัฐ
รายละเอียดเกี่ยวกับตัวละครจึงถูกละทิ้งไป
ทำให้เธอขาดมิติพอจะให้คนดูสามารถจับต้อง หรือเชื่อมโยงได้ ที่สำคัญ สไตล์ภาพของหนัง
ซึ่งตีกรอบให้ตัวละครอยู่ในเฟรมวงกลม (น่าจะเพื่อสร้างสร้างอารมณ์เหมือนภาพวาดโบราณของชาวจีน) ยิ่งทำให้คนดูรู้สึกห่างเหิน
เข้าไม่ถึงตัวละครมากขึ้นไปอีก เพราะโดยธรรมชาติแล้วเวลาเห็นเฟรมวงกลมแบบนี้ปรากฏบนจอ
เราก็มักจะนึกถึงช็อตแทนสายตาเวลาตัวละครใช้กล้องส่องทางไกล หรือกล้องจากเรือดำน้ำ
ดังนั้นคนดูจึงได้อารมณ์ของผู้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ไปโดยปริยาย นอกจากนี้ หนังยังตอกย้ำการรักษาระยะห่างด้วยเสียงเล่าเรื่องของบุคคลที่สามในแบบของการเล่าถึงนิทาน
หรือตำนานอีกด้วย
พร้อมกันนี้หนังลดทอนช็อตโคลสอัพ
ซึ่งมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับดึงอารมณ์ร่วมจากคนดู
จนแทบจะเหลือศูนย์
จึงไม่แปลกถ้าคนดูจะไม่รู้สึก “อิน” กับภารกิจ
หรือความคับแค้นใจของหลีสั่งเหลียนมากเท่าที่ควร อันที่จริง
การตัดสินใจดังกล่าวอาจถือได้ว่าสอดคล้องกับโทนอารมณ์โดยรวมของหนังซึ่งออกแนวเบาสมองมากกว่าจะจริงจัง
แม้ว่าพล็อตที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดสุ่มเสี่ยงความเป็นเมโลดรามาอยู่บ้าง
(สามีภรรยาวางแผนหย่าหลอกๆ เพื่อให้ได้ครอบครองห้องอพาร์ตเมนต์ในเมือง
ซึ่งเป็นสิทธิสำหรับคนโสดเท่านั้น แล้วค่อยกลับมาแต่งงานกันใหม่ แต่สุดท้ายผู้ชายลงเอยด้วยการมีเมียใหม่
ส่งผลให้การหย่าหลอกๆ กลายเป็นจริงในที่สุด)
อีกหนึ่งเหตุผลที่มีส่วนไม่น้อยในการยับยั้งคนดูไม่ให้รู้สึกเข้าข้างหลีสั่งเหลียนอย่างหมดใจ
คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าเธอเล่นไม่ซื่อด้วยการฉกฉวยโอกาสจากช่องโหว่ของระบบเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใส่ตัว (อพาร์ตเมนต์ในเมือง)
แต่สุดท้ายดันแค้นเคืองเมื่อพบว่าระบบไม่สามารถมอบ “ความเป็นธรรม” ให้เธอได้ (โมฆะการหย่าปลอมๆ)
จริงอยู่ อาจเป็นข้อจำกัดของระบบ (ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ
หรือศาลก็ตาม)
ในการเปิดโปงความจริงที่แท้ เพราะต่อให้นายทะเบียนอำเภอรู้ว่านี่เป็นการหย่าปลอมๆ
เพื่อหวังฮุบห้องอพาร์ตเมนต์ เขาจะกล้ายอมรับต่อหน้าศาลหรือ การยอมรับย่อมหมายถึงเขาจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในทันที
“ถ้าพวกเธอโกหกฉัน ก็หมายความว่าพวกเธอโกหกรัฐบาลน่ะสิ” เขาเถียงหลีสั่งเหลียนในศาล มองเช่นนี้แล้ว ถือเป็นความผิดของผู้พิพากษาหรือที่ตัดสินไปตามหลักฐานรูปธรรม
นั่นคือ ลายเซ็นบนใบหย่าเป็นลายเซ็นของหลีสั่งเหลียนจริง ฉะนั้นการหย่าย่อมมีผลผูกพันตามกฎหมายไปแล้ว
ไม่ว่าเบื้องหลังสองสามีภรรยาจะตกลงกันว่าอย่างไรก็ตาม หากจะเทียบง่ายๆ
ก็คงเหมือนการที่เราทำข้อตกลงปากเปล่ากับใครสักคน แล้วจู่ๆ
ถูกบุคคลดังกล่าวหักหลัง ผิดสัญญา เมื่อไม่มีหลักฐานพิสูจน์ในชั้นศาล
เราก็จำเป็นต้องทำใจยอมรับว่าตัวเอง “เสียเหลี่ยม” ให้กับนักต้มตุ๋นรายนั้น
ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าระบบไม่อาจมอบความเป็นธรรมอย่างแท้จริงให้กับเราได้ก็ตาม เพราะเราถูกโกงจริง ถูกเบี้ยวสัญญาจริง แต่ขณะเดียวกันเราคงไม่อาจกล่าวโทษศาลที่ต้องตัดสินตามหลักฐาน
ทำได้แต่เพียงโทษตัวเองที่ไว้ใจอีกฝ่าย แล้วไม่ยอมร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร
แต่ดูเหมือนหลีสั่งเหลียนจะไม่เข้าใจในจุดนี้ เธอ “เสียเหลี่ยม” ให้กับอดีตสามี
(หนังไม่ได้เล่ารายละเอียดในส่วนนี้ว่าเขาจงใจหลอกเธอแต่แรก
หรือเพิ่งมาพบผู้หญิงใหม่ในช่วงการหย่า) เธอควรจะโทษคินอู๋เฮ (หลีซองฮาน) ซึ่งผิดสัญญา และโทษตัวเองที่โง่โดนหลอก ตรงกันข้าม
เธอกลับหมายหัวบุคคลในระบบรัฐตั้งแต่นายอำเภอ ยันอัยการ ผู้พิพากษา
และนายกเทศมนตรีที่ไม่ยอมให้ความเป็นธรรมกับเธอแบบเดียวกับ อาร์ยา สตาร์ค ในซีรีส์ Game of Thrones จดบัญชีดำของศัตรูเพื่อเตรียมชำระแค้น
ต่างกันแค่ว่าคนดูสามารถเข้าข้างอาร์ยาได้อย่างเต็มใจมากกว่า
ที่จริงทุกอย่างคงไม่ลุกลามใหญ่โต หากคินอู๋เฮ
จำเลยที่แท้จริง ยอมรับความผิด
หรืออย่างน้อยก็แสดงท่าทีเสียใจสักนิดต่อสิ่งที่เขาทำลงไป แต่เมื่อหลีสั่งเหลียนเดินไปเผชิญหน้า
เขากลับกล่าวหาว่าเธอเสียความบริสุทธิ์มาก่อนจะแต่งงานกับเขา ด่าว่าเธอเป็นพานจินเหลียน
(ที่มาของชื่อหนัง) ทำให้ไฟแค้นของหลินสั่งเหลียนยิ่งโหมประโคม
นำไปสู่ความดันทุรังที่กินเวลายาวนานนับสิบปี สร้างความเสียหายให้กับคนหลายคน
(หนังดัดแปลงจากนิยาย ซึ่งแปลตรงตัวตามภาษาจีนได้ว่า “ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน” พันจินเหลียนเป็นตัวละครจากนิยายอีโรติกที่คบชู้สู่ชายและวางแผนฆ่าสามีตัวเอง
ต่อมาชื่อดังกล่าวกลายเป็นเหมือนคำด่าผู้หญิงแพศยาในลักษณะเดียวกับวันทอง
หรือกากีของเมืองไทย และกลายเป็นมาดาม โบวารีเมื่อแปลงตามบริบทฝรั่ง)
หลายคนที่ได้ดู
I Am Not
Madame Bovary ย่อมอดไม่ได้ที่จะคิดเปรียบเทียบไปถึงหนังรางวัลสิงโตทองคำของจางอี้โหมวเรื่อง
The Story of Qiu Ju เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นการจับฟ่านปิงปิงมาแปลงสภาพเป็นหญิงบ้านนอก (แบบเดียวกับที่จางอี้โหมวทำกับกงลี่)
หรือพล็อตเกี่ยวกับการตามล่าหาความยุติธรรมของหญิงสาวในสังคมชายเป็นใหญ่
รวมไปถึงความคล้ายกันแม้กระทั่งในรายละเอียดของสไตล์ (หนังของเฝิงเสี่ยวกังอาจเอนเอียงไปทางตลกมากกว่า
และไม่ได้เน้นความสมจริงในสไตล์นีโอเรียลลิสต์เท่าหนังของจางอี้โหมว
แต่ทั้งสองเรื่องล้วนไม่พยายามเร้าอารมณ์ กันคนดูให้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์
และใช้ภาพโคลสอัพอย่างจำกัดจำเขี่ย) และจุดหักเหบางอย่างของหนัง
(ใน The Story of Qiu Ju เหตุการณ์ที่ “จุดไฟแค้น” ให้กับชิวจี้ คือ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านไม่ยอมขอโทษ
หรือนึกเสียใจสักนิดที่ทำร้ายร่างกายสามีเธอ แถมเมื่อถูกกฎหมายบังคับให้ต้องจ่ายค่าเสียหาย
เขากลับขว้างเงินลงพื้นเพื่อหวังจะให้ชิวจี้ก้มลงเก็บ แต่เธอเลือกจะรักษาศักดิ์ศรีแล้วเดินหน้าทวงถามความยุติธรรมแบบกัดไม่ปล่อย)
จุดร่วมของทั้งสองเรื่องไม่ได้อยู่แค่เปลือกนอกอย่างพล็อต
หรือสไตล์การนำเสนอเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประเด็นแก่นหลักของหนัง
ซึ่งวิพากษ์กฎเกณฑ์และนโยบายของรัฐอย่างเจ็บแสบ
แม้เฝิงเสี่ยวกังอาจเคลือบน้ำหวานไว้ชั้นหนึ่งจากการให้คนระดับบิ๊กในพรรคคอมมิวนิสต์มองเห็นข้อบกพร่องในการแก้ปัญหาของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง
ไม่ว่าจะเป็นความไร้ประสิทธิภาพ หรือการมองข้ามความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน แต่ในแง่ภาพรวมวงกว้างแล้ว
หนังยังคงส่องแสงแง่ลบไปยังรัฐ ซึ่งมีลักษณะแบบเผด็จการ
ดำเนินนโยบายโดยไม่เห็นหัวประชาชน หรือตระหนักในความหลากหลายและความเป็นปัจเจก นั่นต่างหากที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งปวงในหนัง
อย่างที่บอกไปตอนต้นเหตุผลของหลีสั่งเหลียนในการแหกกฎระเบียบเพียงเพราะต้องการอพาร์ตเมนต์อาจฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไหร่
มันคุ้มเหรอกับการดันทุรังต่อสู้มานานนับสิบปี มันเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชนคนอื่นหรือเปล่า
(คนโสดจริงๆ ที่ต้องการห้องนั้น) ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนส่งผลผลักดันคนดูให้ถอยห่างจากตัวละคร...
แต่แล้วในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ซึ่งหนังเปลี่ยนรูปแบบการถ่ายทำจากเฟรมวงกลมมาเป็นภาพเต็มจอปกติ
ราวกับกำลังจะบอกกล่าวคนดูอยู่กลายๆ ว่าคุณจะได้เห็นภาพในมุมกว้างขึ้นของเรื่องราว
บทได้มอบแง่มุมมนุษย์ให้กับตัวละครอย่างหลีสั่งเหลียน เมื่อเธอเฉลยเหตุผลแท้จริงว่าสาเหตุของการหย่าปลอมๆ
ก็เพราะทั้งสองอยากมีลูกอีกคน ซึ่งสมัยนั้นไม่สามารถทำได้เนื่องจากฎหมาย “ลูกคนเดียว” ของรัฐบาลจีน (1979-2015) แต่แล้วเธอกลับแท้งลูกหลังทราบข่าวว่าสามีนอกใจ
หักหลังเธอไปอยู่กินกับหญิงอื่น “ฉันไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง
แต่เพื่อลูกที่ไม่ได้ลืมตามาดูโลก” เธอกล่าว
แน่นอน
เหตุผลดังกล่าวฟังขึ้นกว่า ดูน่าเห็นอกเห็นใจกว่า แม้ว่าสุดท้ายแล้วอาจไม่ได้ฟอกขาวให้กับความจงใจหลอกลวงรัฐและฉกฉวยโอกาสจากช่องโหว่ทางกฎหมาย
แต่ที่สำคัญกว่านั้น บทเฉลยทำให้คนดูตั้งคำถามต่อนโยบายรัฐ ซึ่งเข้ามาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของประชาชนมากเกินไป
ปัญหาทั้งหมดคงไม่เกิด
หากรัฐไม่เข้ามาบังคับขืนใจอิสรภาพของประชาชนอย่างเกินขอบเขต
เช่นเดียวกัน
รากเหง้าปัญหาใน The
Story of Qiu Ju ก็เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัฐกับปัจเจกชน
ชิวจี้กับสามีอยากจะสร้างโรงเก็บของในที่ดินของตัวเอง
แต่หัวหน้าหมู่บ้านไม่อนุญาตบอกว่ากฎหมายระบุให้ปลูกพืชพันธุ์การเกษตรเท่านั้น สามีชิวจี้จึงไม่พอใจ
ด่ากลับหัวหน้าหมู่บ้านว่าไม่มีน้ำยาทำลูกชาย เลยได้แต่ลูกสาวเต็มบ้าน จนนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย
ข้อกล่าวหาของสามีชิวอี้ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อของคนจีนที่กดขี่เพศหญิงเท่านั้น (ลูกชายย่อมดีกว่าลูกสาวเพราะพวกเขาสามารถสืบเชื้อสายของต้นตระกูลได้)
แต่ยังบ่งบอกถึงปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เท่าเทียมกันอีกด้วย
เพราะเส้นสายในรัฐบาลทำให้หัวหน้าหมู่บ้านสามารถมีลูกสาวได้มากกว่าหนึ่งคน ขณะที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปอย่างชิวอี้กับสามีจำเป็นต้องเล่นตามกฎ
ด้วยเหตุนี้เมื่อเปรียบไปแล้วการต่อสู้ของทั้งชิวจี้และหลีสั่งเหลียนจึงไม่ใช่การต่อสู้ด้วยเหตุผลส่วนตัวเท่านั้น
แต่ยังเป็นภาพสะท้อนการต่อสู้ของปัจเจกชนเพื่อปฏิเสธการเข้ามาควบคุมทุกแง่มุมในชีวิตส่วนตัว
(ความต้องการจะมีลูก หรือการใช้ประโยชน์จากที่ดินตัวเอง) เพราะหากศักดิ์ศรีของความเป็นคนไม่ได้รับการเคารพ หรือเห็นคุณค่าแล้ว
ก็ยากที่สังคมจีนจะก้าวเข้าสู่ความเจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น