Manchester by the Sea
Manchester by the Sea ไม่ใช่หนังที่รื่นรมย์
เปี่ยมสุขสักเท่าไหร่ คุณอาจรู้สึกอยากกอดใครสักคนหลังดูจบ หนังซึ่งนุ่มนวล
ละเอียดอ่อนเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของ ลี แชนด์เลอร์ (เคซีย์
อัฟเฟล็ค) ชายหนุ่มที่เก็บตัวตามลำพังเนื่องจากบาดแผลทางใจ
หลังพี่ชายเขา (ไคล์ แชนด์เลอร์) เสียชีวิตและระบุในพินัยกรรมให้เขาดูแลลูกชายวัยรุ่น
(ลูคัส เฮดเจส) ความสัมพันธ์อันกระท่อนกระแท่นระหว่างน้าหลานก็เริ่มต้นขึ้น...
ด้วยความไม่เต็มใจของทั้งสองฝ่าย แต่ทุกข์ไม่ได้จบลงแค่นั้น
ลีถูกบีบให้ต้องกลับมายังบ้านเกิดและหวนรำลึกโศกนาฏกรรมในอดีต เมื่อปมดังกล่าวถูกเปิดเผย
อารมณ์ทั้งหลายก็พลันไหลทะลักส่งผ่านจากตัวละครมาถึงคนดู ผู้กำกับ เคนเน็ธ โลเนอร์แกน
ไม่เคยกังวลว่าหนังของเขาจะสลดหดหู่เกินไป “เราทุกคนล้วนเคยประสบเหตุการณ์บางอย่างที่เหลือจะทน
ไม่ผิดอะไรถ้าเราจะจำลองเหตุการณ์แบบนั้นมาไว้ในหนัง” เขากล่าว
นักวิจารณ์ดูเหมือนจะเห็นด้วย
เพราะหนังของเขาเดินหน้ากวาดรางวัลมากมายก่อนจะลงท้ายด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์
6 สาขา โลเนอร์คุ้นเคยกับความสำเร็จเป็นอย่างดี ตอนอายุ
20 กว่าๆ เขาหาเลี้ยงตัวเองด้วยการเขียนก็อปปี้โฆษณา
ตามมาด้วยบทละครเวทีเรื่อง This Is Our Youth ในปี 1996
ซึ่งกวาดคำชมท่วมท้นเกี่ยวกับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ
เขาเขียนบทหนังอยู่หลายเรื่อง (Analyze This, The Adventures of Rocky
& Bullwinkle) และผันตัวมากำกับหนังเรื่องแรก You Can
Count On Me ซึ่งได้เข้าชิงออสการ์สองรางวัล หนึ่งในนั้น คือ
สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสำหรับโลเนอร์แกน
ความคิดในการสร้าง Manchester by the Sea เริ่มต้นจาก
จอห์น คราซินสกี้ กับเพื่อนของเขา แม็ท เดมอน ทั้งสองมีไอเดียคร่าวๆ
เกี่ยวกับหนังและต้องการให้โลเนอร์แกนเป็นคนเขียนบท แรกทีเดียวเดมอนตั้งใจว่าจะกำกับและนำแสดงเอง
แต่เนื่องด้วยตารางเวลาไม่ลงตัว
เขาจึงเสนอให้โลเนอร์แกนโดดมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับแทน เดมอนบอกว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำแบบนั้นเพราะเขาและคนอื่นๆ
ต่างเป็นห่วงโลเนอร์แกน (หลังเหตุหายนะที่ชื่อว่า Margaret
ซึ่งลงเอยด้วยการโรงขึ้นศาล) เขาอยากให้โลเนอร์แกนกลับมาเขียนบทหารายได้ให้ตัวเองอีกครั้ง
“ก็ใช่” โลเนอร์แกนยอมรับ
แม้จะเห็นว่ามันไม่จริงเสียทั้งหมดก็ตาม “ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วงผมและผมก็ดีใจ
มันเป็นช่วงตกต่ำอย่างแท้จริง แต่ผมก็ยังเขียนบทละครเรื่อง The Starry
Messenger ในปี 2009 แล้วก็เขียนบทและกำกับละครเรื่อง
Medieval Play ในปี 2011 จริงอยู่ตอนนั้นผมร้อนเงินเพราะมีหนี้สินท่วมหัว
และ Manchester by the Sea ก็เป็นงานที่ให้เงินดีมาก
แต่จริงๆ แล้วผมก็ชอบไอเดียตั้งแต่แรก เพราะถ้าไม่ชอบผมคงไม่ตกลงใจทำ”
เมื่อเดมอนไม่ว่างมาเล่น โลเนอร์แกนจึงเลือกอัฟเฟล็ค และงานแสดงอันลุ่มลึก
แต่ทรงพลังของเขาในบทชายหนุ่มที่ปิดกั้นตัวเองจากทุกคนรอบข้างกวาดคำชมและรางวัลนักวิจารณ์อย่างเป็นเอกฉันท์
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลานชายมีช่วงเวลาที่อ่อนโยน แต่ก็เต็มไปด้วยอุปสรรค
เนื่องจากความมุ่งมั่นของลีที่จะเก็บงำความรู้สึกไว้ข้างใน โลเนอร์แกนรักษาความสมจริงของเรื่องราวเอาไว้โดยตลอด
ไม่มีฉากจบแบบฮอลลีวู้ด ไม่มีการคลี่คลายที่ง่ายดาย แต่นำเสนอการปลดปล่อยทางอารมณ์
มิเชลล์ วิลเลียมส์ ซึ่งรับบทเป็นอดีตภรรยาของลี บอกว่าโลเนอร์แกนร้องไห้หลังถ่ายฉากดรามาหนักๆ
บางฉากจบ และเมื่อหนังเข้าฉาย หลายคนบอกว่ามันช่วยให้พวกเขาได้ปลดปล่อย “พวกเขาพูดว่า ‘นี่เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อฉันเลย’
หรือ ‘เราก็เคยเจอกับอะไรแบบนี้’ ”
โลเนอร์แกนกล่าว “ผมถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วยความระแวดระวังพอสมควร
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังซีเรียสกว่าทุกอย่างที่ผมเคยเจอมา ผมต้องการเคารพในตัวเรื่อง
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาก็ตาม
แต่สำหรับหลายคนมันเป็นสิ่งที่พวกเขาเคยเผชิญ
ฉะนั้นผมจึงรู้สึกซาบซึ้งมากเวลามีคนบอกว่าพวกเขาเคยผ่านอะไรแบบนี้และรู้สึกดีกับหนัง”
อะไรทำให้หนังเรื่องนี้เข้าถึงใจผู้คน “ผมคิดว่าคงเพราะอย่างน้อยหนังจริงใจกับเรื่องราว ไม่เสแสร้งว่าเราสามารถทำใจลืมโศกนาฏกรรมแบบนี้ได้
ไม่มีคำโป้ปดแบบที่เห็นในหนังบีบน้ำตาทางทีวี
คนมากมายเคยทนทุกข์แบบเดียวกันและไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร
คงเป็นความรู้สึกอุ่นใจที่ได้เห็นภาวะแบบเดียวกันสะท้อนออกมาในหนัง
เพราะมันทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยว” โลเนอร์แกนอธิบาย
The
Good
· คำกล่าวขอบคุณของ ไวโอลา เดวิส
หลังได้รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Fences เป็นคำกล่าวขอบคุณที่ทรงพลังที่สุดในงาน
(ที่ทรงพลังไม่แพ้กัน คือ แถลงการณ์ของ อัสการ์ ฟาร์ฮาดี
ซึ่งได้รางวัลหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม) จิมมี คิมเมล
อดไม่ได้ที่จะแซวตบท้ายว่า “ไวโอลา เดวิส
เพิ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีจากคำกล่าวเมื่อสักครู่นี้”
· คนดูคาดหวังไว้แล้วว่า “คู่กัด”
ของคิมเมลอย่าง แม็ท เดมอน จะต้องโดนกระทำการย่ำยีสารพัดอย่างแน่นอน
แก๊กนี้แม้จะถูกเล่นต่อเนื่องมายาวนานในรายการ Jimmy Kimmel Live! แต่ยังได้ผลน่าพอใจ คิมเมลเริ่มต้นด้วยการกัดเดมอน ซึ่งทิ้งบทนำใน Manchester
by the Sea ไปเล่นหนังจีนและไว้ผมทรงหางม้า “The Great
Wall ลงเอยด้วยการสูญเงิน 80 ล้านเหรียญ
ฉลาดเลือกมากไอ้ซื่อบื้อ” ตามมาด้วยการล้อเลียน We
Bought a Zoo หนังซึ่งล้มเหลวทั้งเงินและกล่องของ คาเมรอน โครว
พร้อมกับแนะนำเดมอนขณะขึ้นมาบนเวทีเพื่อประกาศรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมในฐานะ
“แขก” ของ เบน อัฟเฟล็ค (เมื่อเดมอนบอกว่าเขาค่อนข้างพอใจกับการแสดงของตัวเองใน We Bought a
Zoo อัฟเฟล็คก็ช่วยตบมุกให้คิมเมลด้วยการถามแบบไม่เชื่อว่า “จริงดิ”) ก่อนจะตบท้ายกับการแกล้งเล่นดนตรีเพื่อกลบเสียงพูดของเดมอน
· ฉากหลังบนเวทีออสการ์ในปีนี้ถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความอลังการน่าตื่นตากับงานออกแบบที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
ไม่ว่าจะเป็นสกายไลน์ในสไตล์เรโทร หรือม่านคริสตัลที่จัดทรงเป็นรูปออสการ์ขนาดยักษ์ส่องประกายระยิบระยับ
มันเป็นแหล่งพักสายตาชั้นดีเวลาผู้ชนะกำลังร่ายรายชื่อบุคคลที่พวกเขาอยากขอบคุณตั้งแต่เอเย่นต์ไปยันคนขับรถ
The
Bad
· ระหว่างให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหลังเวที
เห็นได้ชัดว่า เอ็มมา สโตน เผลอเล่นใหญ่เกินไปในความพยายามจะทำตัวเป็นผู้แพ้ที่ทรงเกียรติ
ขณะกล่าวชื่นชมผู้ชนะจนชวนให้รู้สึกขนลุก “ฉันโคตรรักหนังเรื่อง Moonlight
พระเจ้า ฉันรักหนังเรื่อง Moonlight เหลือเกิน
ฉันตื่นเต้นแทน Moonlight สุดๆ แน่นอน มันวิเศษสุดที่ได้ยินเสียงประกาศว่า
La La Land เราทุกคนอยากชนะภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่เราดีใจกับ Moonlight
มากกก ฉันว่ามันคือหนึ่งในหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล”
ถ้านี่เป็นการออดิชั่นบท “คนที่ชื่นชอบและปลาบปลื้มกับชัยชนะของ
Moonlight แบบหมดใจ” ก็อาจพูดได้ว่าเธอสอบตก
เพราะเธอดูเหมือน “คนที่เชียร์ La La Land แต่ต้องพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มเพื่อปิดซ่อนความผิดหวัง หรือกระทั่งคับแค้นไว้ภายใน”
มากกว่า ซึ่งแน่นอนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เพราะเป็นใครก็ต้องเชียร์หนังตัวเองอยู่แล้ว เสียงหัวเราะฝืนๆ กับการเน้นเสียงกระแทกกระทั้นทำให้คำชื่นชมของเธอดูออกตัวแรงจนเกือบจะเป็นการประชดแทนที่จะฟังดูจริงใจ
เป็นธรรมชาติ
· ท่าปรบมือสุดประหลาดของ นิโคล คิดแมน
กลายเป็นโจ๊กสุดฮิตในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง (“นิโคล คิดแมน ปรบมือไม่เป็นเหรอ”
มีคนตั้งคำถามในทวิตเตอร์) ตามมาด้วยข้อสันนิษฐานต่างๆ
ว่าเธอเพิ่งทาเล็บมา หรือกลัวแหวนจะกระทบกันแล้วเจ็บนิ้ว แต่ไม่ว่ายังไงมันได้กลายเป็นภาพติดตาที่จะตามหลอกหลอนคุณไปอีกหลายวัน
· ในแวบแรกการหลอกนักท่องเที่ยวให้เข้ามาพบกับเหล่าดาราชื่อดังของฮอลลีวู้ดอาจดูตลก
หรือเรียกรอยยิ้มได้บ้าง จนกระทั่งมันเริ่มลากยาวและสร้างความอึดอัดให้กับทั้งคนดู
นักท่องเที่ยว (ซึ่งบางคนอาจไม่ได้บ้าดารา หรืออยากมาอยู่ต่อหน้ากล้องสักเท่าไหร่)
และเหล่าดาราที่นั่งอยู่แถวหน้า แม้ว่าบางคน เช่น เดนเซล วอชิงตัน
จะคล่องแคล่ว รู้งาน แล้วแกล้งทำพิธีแต่งงานปลอมๆ ให้กับสองคู่หมั้นจากชิคาโก แต่สุดท้ายมันกลับให้ความรู้สึกเหมือนการพามาเที่ยวสวนสัตว์เสียมากกว่า
The
Ugly
· ถึงตอนนี้ความผิดพลาดของการประกาศชื่อหนังยอดเยี่ยมผิดเรื่อง
ซึ่งคงจะกลายเป็นคลิปอมตะ และถูกล้อเลียนไปอีกนานหลายปี ได้รับการวิเคราะห์แล้วว่ามีต้นตอมาจากการที่
ไบรอัน คัลลิแนน ผู้ดำรงตำแหน่งหุ้นส่วนของบริษัทไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์
ยื่นซองรางวัล “นำหญิงยอดเยี่ยม” ให้กับ วอร์เรน บีตตี้
แทนที่จะเป็นซอง “หนังยอดเยี่ยม” เขากับเพื่อนร่วมงาน
มาร์ธา รูซ เป็นแค่สองคนในงานที่รู้ผลรางวัล โดยทั้งสองจะคอยดูแลซองผู้ชนะคนละเซ็ต
และยืนอยู่คนละฟากเวทีเพื่อรับประกันความลื่นไหลของการจัดงาน (ผู้ประกาศรางวัลเดินออกจากฝั่งไหนของเวทีก็จะมีคนยื่นซองประกาศผลให้)
รวมไปถึงยังเป็นมาตรการความปลอดภัยเผื่อเกิดเหตุผิดพลาดก็ยังมีซองสำรอง
มีความเป็นไปได้สูงว่าคัลลิแนนอาจเพลิดเพลินกับการเล่น โซเชียล มีเดีย
ไปหน่อยจนทำให้เสียสมาธิ
แล้วยื่นซองรางวัลที่เพิ่งถูกประกาศจบไปแทนที่จะเป็นซองรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เขาทวีตภาพ เอ็มมา สโตน หลังเวทีขณะถือรางวัลออสการ์
ก่อนจะลบทวีตดังกล่าวออกหลังเกิดเหตุผิดพลาดในการประกาศผล แต่มีคนแคปภาพไว้ทัน)
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า วอร์เรน บีตตี้ รับมือกับสถานการณ์ได้ไม่ดีเท่าไหร่
เห็นได้ชัด เขาน่าจะรู้ว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น สังเกตจากอาการลังเลอยู่นาน
ไม่อ่านชื่อผู้ชนะ และทำท่าเหมือนจะมองหาบัตรอีกใบในซอง แต่แทนที่จะเช็คกับทีมงาน หรือคนที่ยื่นซองให้เขา
(หรือถ้าเขาพลิกซองไปด้านหน้าก็จะเห็นทันทีว่ามันเป็นรางวัลสำหรับนำหญิง
ไม่ใช่หนังเยี่ยม) เขากลับยื่นบัตรไปให้ เฟย์ ดันนาเวย์ (พูดอีกอย่างคือไคลด์ผลักบอนนีไปรับห่ากระสุน) โดยไม่กระซิบบอกความสงสัยกับเธอ
เช่น “คุณช่วยดูหน่อยสิ ผมว่าบัตรมันผิดนะ” ส่วนคนหลังก็คงคิดว่าบีตตี้เล่นมุกถ่วงเวลาให้คนตื่นเต้นหรืออย่างไร จึงอ่านชื่อหนังที่เห็นบนแผ่นกระดาษไปโดยไม่สังเกตว่ามีชื่อ
เอ็มมา สโตน โชว์หราอยู่ (หรือเธอคิดว่า เอ็มมา สโตน
เป็นโปรดิวเซอร์ของ La La Land?) ท้ายที่สุด
ต้องบอกว่าทีมงานหลังเวทีแก้ไขปัญหาค่อนข้างเชื่องช้า เมื่อเทียบกับปรากฏการณ์ทำนองเดียวกันที่เคยเกิดขึ้น
53 ปีก่อน พวกเขาปล่อยให้ทีมโปรดิวเซอร์ของ La La
Land กล่าวขอบคุณไปจนเกือบจะเสร็จแล้วแทนที่จะรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุดตั้งแต่มีการประกาศชื่อผิด
นำไปสู่สถานการณ์ที่ชวนให้น่าอึดอัดสำหรับทีมงานหนังทั้งสองเรื่อง โชคดีที่ทั้งฝ่าย
Moonlight และ La La Land ต่างพูดจาให้เกียรติกันและกันได้อย่างน่ายกย่อง
· นอกเหนือจากหายนะ “จดหมายผิดซอง”
แล้ว งานออสการ์ครั้งนี้ยังปรากฏความผิดพลาดครั้งใหญ่อีกอย่าง โดยในคลิปรำลึกผู้จากไป
รูปของโปรดิวเซอร์สาวชาวออสเตรเลีย เจน แชปแมน (ซึ่งยังมีชีวิตอยู่)
ถูกใส่เข้ามาอย่างสะเพร่า ไม่ตรงกับชื่อผู้เสียชีวิต นั่นคือ เจเน็ท
แพทเทอร์สัน ซึ่งเป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกายที่เคยร่วมงานกับแชปแมนในหนังอย่าง The
Portrait of a Lady และ The Piano...
การได้เห็นภาพตัวเองในคลิปผู้วายชนม์ถือเป็นฝันร้ายขนานแท้ จนอาจนำไปสู่การตั้งคำถามเชิงอัตถิภาวนิยม
เช่น เรา “ใช้ชีวิต” อยู่จริงๆ ใช่ไหม
หรือคำถามที่ชวนสะพรึงกว่านั้น เช่น เราเป็นวิญญาณที่ไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้วหรือเปล่า
(aka The Sixth Sense)
Records
Broken
· พญานกตัวจริง (ชนิดที่ เอมี อดัมส์
ยังต้องคาราวะ) เควิน โอ’คอนเนลล์ ได้พบกับความสมหวังในที่สุด
หลังเขาก้าวขึ้นรับรางวัลออสการ์ตัวแรกพร้อมทีมงานอีก 3 คนในสาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม
(sound mixing) จากหนังเรื่อง Hacksaw Ridge หลังเคยเข้าชิงครั้งแรกในสาขานี้เมื่อปี 1983 จาก Terms
of Endearment และพ่ายให้กับทีมบันทึกเสียงจาก The Right
Stuff จากนั้น 33 ปีต่อมา
สถิติชวดรางวัลสูงสุดตลอดกาล (20 ครั้ง) ในประวัติศาสตร์ออสการ์ก็สิ้นสุดลงจนได้จากความสำเร็จในครั้งที่ 21 ตอนนี้คนที่ครองสถิติเข้าชิงมากสุดโดยยังไม่เคยได้รางวัล ได้แก่ เกร็ก พี.
รัสเซลล์ อดีตหุ้นส่วนของโอ’คอนเนลล์ ซึ่งเข้าชิงทั้งหมด 16
ครั้งในสาขาบันทึกเสียง และเพิ่งจะถูกตัดสิทธิ์การเข้าชิงครั้งที่ 17
จากหนังเรื่อง 13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi เนื่องจากเขากระทำผิดกฎด้วยการโทรศัพท์ล็อบบี้ให้ผลงานตัวเอง อันดับสองคือ
โธมัส นิวแมน ซึ่งเข้าชิง 14 ครั้ง ล่าสุดจาก Passengers
ในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม อันดับสามคือ โรเจอร์ ดีกินส์
ตากล้องในตำนานที่เข้าชิงทั้งหมด 13 ครั้ง และชวดรางวัลทุกครั้ง
· เดเมียน ชาเซลล์ (La La Land) กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่คว้ารางวัลออสการ์มาครอง
ทำลายสถิติที่ นอร์แมน ทอรอก (Skippy) สร้างไว้เมื่อปี 1931
คนแรกอายุ 32 ปีกับ 38 วันตอนได้ออสการ์
ขณะที่คนหลังอายุ 32 ปีกับ 260 ตอนได้ออสการ์
· O.J.:
Made in America กลายเป็นหนังชนะรางวัลออสการ์ (สารคดียอดเยี่ยม) ที่มีความยาวมากที่สุด (467
นาที) เอาชนะเจ้าของสถิติเดิม War and
Peace (หนังต่างประเทศยอดเยี่ยม) เมื่อปี 1969
ซึ่งมีความยาว 431 นาที สารคดีเรื่องนี้สร้างขึ้นในโครงการ
30 for 30 Series ของช่อง ESPN แบ่งออกเป็น
5 ตอน แต่ถูกนำมาฉายในโรงหนังช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อสิทธิ์ในการเข้าชิง
· หลังคว้าออสการ์จากหนังเรื่อง Fences ไปครอง
ไวโอลา เดวิส กลายเป็นนักแสดงผิวดำคนแรกที่ได้รับรางวัลการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสามเวทีหลัก
นั่นคือ ออสการ์, เอ็มมี และ โทนี
โดยก่อนหน้านี้มีนักแสดงหญิง 13 คน และนักแสดงชาย 9 คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ อาทิ เฮเลน เมียร์เรน และ คริสเตอร์เฟอร์ พลัมเมอร์
เป็นต้น นอกจากนี้เดวิสยังเป็นนักแสดงคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ได้รางวัลโทนีและออสการ์จากการเล่นบทเดียวกัน
(แต่ต่างสาขา) เธอได้โทนีนำหญิงจากการรับบท
“โรส” ใน Fences เวอร์ชั่นบรอดเวย์
ก่อนจะได้ออสการ์สมทบหญิงจากบทเดียวกัน ส่วนคนแรกที่ทำสำเร็จ คือ ยูล บรินเนอร์
ซึ่งได้ออสการ์และโทนีในสาขานำชายจาก The King & I
· โปรดิวเซอร์ ดีดี การ์ดเนอร์ (Moonlight) กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสองตัว ก่อนหน้านี้สามปีเธอเพิ่งได้รางวัลเดียวกันจากหนังเรื่อง
Twelve Years a Slave
· Moonlight
เป็นหนังเกี่ยวกับ LGBT เรื่องแรกที่คว้ารางวัลสูงสุดบนเวทีออสการ์
และหนังเรื่องที่สองที่ได้รางวัลออสการ์หนังเยี่ยมโดยไม่เคยชนะรางวัลของสมาพันธ์สำคัญสามแห่ง
นั่นคือ PGA (ผู้อำนวยการสร้าง), DGA (ผู้กำกับ)
และ SAG (นักแสดง) โดยเรื่องแรกที่ทำได้
คือ Braveheart ในปีแรกที่มีการแจกรางวัล SAG
· ชัยชนะของ คอลลีน แอตวู้ด จากการออกแบบเสื้อผ้าให้กับหนังเรื่อง
Fantastic
Beasts and Where to Find Them (ตัวที่ 4 ของเธอหลังจาก
Chicago, Memoirs of a Geisha และ Alice in
Wonderland) ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกบนเวทีออสการ์ของหนังในจักรวาล Harry
Potter โดยก่อนหน้านี้หนังทั้ง 8 เรื่องถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาเทคนิคต่างๆ
รวม 12 รางวัล แต่ชวดหมด
· มาเฮอร์ชาลา อาลี
เป็นชาวมุสลิมคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้ารางวัลออสการ์มาครอง
เขาเข้ารีตเป็นอิสลามเมื่อ 17 ปีก่อน
· La
La Land เป็นหนังเรื่องแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสูงสุด 14 รางวัล แต่พลาดรางวัลหนังยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ All About Eve และ Titanic ล้วนคว้ารางวัลสูงสุดมาครองได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้มันกลายเป็นหนังเข้าชิงสูงสุดที่พลาดรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นการถือครองสถิติร่วมกันโดย The Curious Case of
Benjamin Button, The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring และ Who’s Afraid of Virginia Woolf ซึ่งต่างได้เข้าชิงเรื่องละ
13 รางวัล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น