ผลงานกำกับชิ้นที่สองของ เดวิด มิคอด หลังสร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติจาก
Animal
Kingdom เมื่อสี่ปีก่อน
เริ่มต้นด้วยการอธิบายฉากหลังของเรื่องราวว่า “ออสเตรเลีย: 10 ปีหลังการล่มสลาย”
แต่นับจากนั้นหนังก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมอีกเลยว่าโลกปัจจุบันดำเนินมาถึงจุดตกต่ำดังที่เห็นได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ คนดูจึงมีหน้าที่ตีความเอาจากเบาะแสรอบข้างซึ่งปรากฏอยู่เป็นระยะแบบไม่ถูกเน้นย้ำชัดเจนมากนัก
กล่าวคือ โลกอนาคตในจินตนาการของมิคอดไม่ได้กลายสภาพเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนจากภาวะสงคราม
อาวุธนิวเคลียร์ เชื้อโรคร้ายแรง หรือการบุกรุกของสิ่งมีชีวิตนอกโลกดุจหนัง dystopia เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แต่กลับเป็นผลพวงของการพังทลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งคงได้แรงบันดาลใจมาจากวิกฤติซับไพร์มช่วงปี 2007-2009
ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำครั้งใหญ่
สภาพสังคมในหนัง คือ ดอลลาร์ออสเตรเลียกลายเป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่า
บ้านช่องจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ผู้คนจากทั่วโลกโดยเฉพาะในทวีปเอเชียแห่แหนมายังออสเตรเลียเพื่อทำงานในเหมืองแร่ (ในหนัง โรเบิร์ต แพททินสัน รับบทเป็นชาวอเมริกันจากภาคใต้
ขณะที่ตัวละครเอเชีย (รวมถึงภาษา)
ก็ปรากฏให้เห็นประปรายอยู่ตลอด เช่นเดียวกับเพลงภาษาเขมรอันโดดเด่นในฉากบาร์เหล้าช่วงต้นเรื่อง
ภาวะดังกล่าวย้อนให้หวลถึงยุค “ตื่นทอง” ในช่วงทศวรรษ 1850
ซึ่งผู้คนจากทวีปเอเชีย ยุโรป
และอเมริกาเหนือพากันอพยพมายังรัฐนิวเซาธ์เวลส์และวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลียจำนวนมาก) หน้าที่หลักของกองกำลังทหารไม่ใช่เพื่อผดุงความยุติธรรมให้สังคม
แต่เพื่อปกป้องแหล่งทรัพยากร ประชาชนถูกปล่อยให้ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดตามลำพัง... และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำ
ภูมิประเทศที่ห่างไกลความเจริญ (หรือหลายคนรู้จักกันในนาม outback) โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลทราย
มักได้รับการขับเน้นให้เป็นตัวละครสำคัญในหนังออสเตรเลีย บ่อยครั้งมันจะสร้างความรู้สึกคุกคาม
น่าหวาดหวั่น และสิ้นไร้ทางออก ดังจะเห็นได้จากหนังสยองขวัญอย่าง Wolf Creek ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวของฆาตกรโรคจิตที่ดักจับนักท่องเที่ยวไปทรมาน หรือหนังดรามา/ผจญภัยอย่าง Walkabout
เกี่ยวกับสองพี่น้องวัยเยาว์ที่ต้องเอาชีวิตรอดตามลำพังใน outback และบางครั้งความลึกลับ หลอกหลอน
ชวนให้ค้นหาของภูมิประเทศก็ก้าวข้ามมาถึงขั้น “กลืนกิน” ตัวละคร
ดังจะเห็นได้จากหนังคลาสสิกอย่าง Picnic at Hanging Rock ของ ปีเตอร์ เวียร์
เกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็กนักเรียนหญิงระหว่างไปปิกนิกที่ แฮงกิง ร็อค ในวันวาเลนไทน์เมื่อปี 1900
ความแห้งแล้ง เวิ้งว้างของภูมิประเทศ ซึ่งเป็นฉากหลังของ The Rover ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นภาวะตกต่ำ เสื่อมโทรมของโลกในอนาคตอันใกล้เท่านั้น
แต่ยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แทนสภาพจิตใจของตัวละครเอก (กาย เพียซ)
ชายเร่ร่อนที่ปราศจากเป้าหมายในชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งรถของเขาถูกกลุ่มโจรกระจอกขโมยไปต่อหน้าต่อตา นับจากนั้น (และตลอดความยาวของหนังทั้งเรื่อง) เขาก็ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับการตามล่าเพื่อทวงรถคันนั้นกลับคืนมา โดยได้รับความช่วยเหลือจาก เรย์ (แพททินสัน)
น้องชายหัวหน้ากลุ่มโจร ซึ่งถูกทิ้งให้นอนตาย ณ จุดเกิดเหตุ หลังการปล้นไม่ราบรื่นตามแผน
จริงอยู่ว่าในท้ายที่สุดชายเร่ร่อนอาจยังมีลมหายใจอยู่
และพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งพอจะอยู่รอดในแดนเถื่อนที่กฎหมายแทบจะไม่ต่างกับเสือกระดาษ
แต่ในเวลาเดียวกันภูมิประเทศได้ดูดกลืนจิตวิญญาณ ตลอดจนความเป็นมนุษย์ของเขาไปทีละน้อย เขาลงมือฆ่าคนอย่างเลือดเย็นโดยไม่รู้สึกผิดเพียงเพื่อปืนหนึ่งกระบอก และบางครั้งก็ปราศจากเหตุผลชัดเจนใดๆ
เขาอาจยังมีลมหายใจอยู่ แต่กลับดูไม่แตกต่างจากซากศพเดินได้
“สำหรับฉันมันจบไปนานแล้ว” คำสารภาพของชายเร่ร่อนกับนายทหารที่จับกุมเขาเพื่อรอส่งตัวไปให้ทางการ
เกี่ยวกับอาชญากรรรมที่เขาก่อในอดีตและผลที่ (ไม่)
ตามมาบ่งบอกความสิ้นหวังแห่งยุคสมัยได้อย่างชัดเจน
การลงทัณฑ์ไม่เพียงมีไว้เพื่อธำรงความยุติธรรมและกฎระเบียบภายในสังคมเท่านั้น
แต่ยังเป็นเครื่องหมายของศรัทธา ของการพึ่งพา ของความผูกพันระหว่างผู้คนอีกด้วย
สังคมที่เราสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องรับโทษ ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
หรือถูกตามล่าจากฝ่ายกฎหมายไม่เพียงจะกลายเป็นสังคมที่อันตราย
น่าหวาดกลัวเท่านั้น แต่มันยังเป็นสังคมที่อ้างว้าง โดดเดี่ยว เพราะทุกคนต่างหมกมุ่นอยู่ในโลกส่วนตัว
โดยไม่แคร์อื่นใด หรือผู้ใด ขอเพียงตัวเองได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปเท่านั้น
ฉากที่เจ้าของร้านขายของชำใช้ปืนขู่บังคับชายเร่ร่อนให้ซื้อของในร้านตัวเองก่อน
แล้วเขาถึงจะยอมบอกทางไปบ้านหมอ ช่วยตอกย้ำสภาวะดังกล่าว ขณะเดียวกันอารมณ์ขันที่สอดแทรกอยู่ลึกๆ
ของฉากนี้ (เจ้าของร้านยังมีคุณธรรมพอจะไม่ปล้นเงินไปเลย
แต่บังคับให้ซื้อของอะไรก็ได้อย่างหนึ่ง) ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าบางทีสังคมอาจยังไม่ถึงกาลล่มสลายเสียทีเดียว
มนุษยธรรมยังพอหลงเหลือประกายความหวังอยู่บ้างในรูปของคุณหมอสาว (ซูซาน ไพรเออร์) ที่ยินดีช่วยทำแผลให้เรย์โดยไม่หวังผลตอบแทน
นอกจากนี้ ชายเร่ร่อนยังค้นพบอีกด้วยว่าเธอรับเลี้ยงสุนัขไว้จำนวนมาก
แต่จำต้องขังพวกมันไว้ในกรงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันถูกล่าไปกินเนื้อ
หลังจากพวกเจ้าของนำมาฝากเลี้ยงไว้ แต่ไม่เคยมีใครมารับกลับไปเลย อย่างไรก็ตาม
ชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับเธอ
รวมเลยไปถึงบทเฉลยในฉากสุดท้ายของหนังว่าเหตุใดชายเร่ร่อนถึงต้องการทวงรถของตนคืนมาก็สะท้อนให้เห็นว่าคุณธรรมและความเมตตานั้นเป็นสองสิ่งที่ยากจะหล่อเลี้ยงไว้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ทุกคนต่างก็คิดถึงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
The
Rover อาจเริ่มต้นด้วยฉากแอ็กชั่นขับรถไล่ล่าในสไตล์ Mad
Max แต่ถ้าใครคาดหวังความบันเทิงแบบ The Fast and
The Furious คงได้เงิบสมบูรณ์แบบ เพราะหลังจากฉากเปิดเรื่องแล้ว (และอาจจะมีอีก 2-3 ฉาก
ที่สร้างความกดดันทางอารมณ์ได้ไม่น้อยโดยเฉพาะในช่วงไคล์แม็กซ์) โฟกัสหลักของหนังกลับอยู่ตรงพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลัก
คือ ชายเร่ร่อนกับเรย์ มิตรภาพและความผูกพันที่งอกงามขึ้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับหนังในแนวทาง
road movie แต่ในเวลาเดียวกันผู้กำกับก็ไม่ได้พยายามจะบีบเค้นมันให้กลายเป็นประเด็นเมโลดรามาแต่อย่างใด
เรย์เกาะติดชายเร่ร่อนดุจสุนัขที่ซื่อสัตย์และภักดีกับเจ้าของ ส่วนฝ่ายหลังก็อาจเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิดรำคาญชายหนุ่มสมองทึบ
ก่อนความรู้สึกของเขาจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่ความสังเวชต่อมุมมองอันอ่อนต่อโลก (“ถ้าแกไม่รู้จักสู้ ความตายคงรอแกอยู่ไม่ไกล”) และความเห็นอกเห็นใจในท้ายที่สุด
มองจากเปลือกนอกชายเร่ร่อนอาจเป็นเหมือนเครื่องจักรฆ่าคนที่ปราศจากความรู้สึก
หรือศีลธรรมจรรยา แต่ขณะเดียวกัน การที่เขาหมกมุ่นตั้งคำถามต่อความหมายของชีวิตก็แสดงให้เห็นเศษเสี้ยวแห่งมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ภายใน
ฉากที่เด่นชัดสุดอยู่ตรงบทสนทนาระหว่างเขากับนายทหาร
เมื่อคนแรกตั้งคำถามในลักษณะโหยหาโลกใบเก่า โลกซึ่งการฆ่าคนยังมีความหมาย
ยังเป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่โต และศีลธรรม ตลอดจนความรู้สึกผิดยังเป็นหลักแนวคิดสำคัญ
ขณะที่คนหลังกลับยืนกรานในวิถีแห่งโลกใบใหม่ โลกของการทำตามภารกิจเฉพาะหน้าโดยไม่คำนึงถึงภาพรวมในวงกว้าง
เขาไม่สนใจว่าชายเร่ร่อนจะได้รับโทษตามความผิดหรือไม่ และไม่สนใจด้วยซ้ำว่าชายเร่ร่อนจะเคยก่ออาชญากรรมร้ายแรงอะไรมาก่อน
เขาก็เป็นเช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นๆ ในโลกที่ล่มสลาย นั่นคือ หมกมุ่นอยู่กับโลกส่วนตัว
กับความอยู่รอดโดยไม่คิดตั้งคำถามว่า “ความเป็นมนุษย์” จะดำรงอยู่ได้อย่างไรท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย
ขณะที่หนังค่อยๆ
เผยให้เห็นแง่มุมอันน่าเห็นใจของชายเร่ร่อน คนดูกลับได้เห็นเรย์ค่อยๆ
ดำดิ่งสู่ความมืดมิดของโลกใบใหม่ เขาเริ่มต้นในลักษณะผ้าขาวบริสุทธิ์ เชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปมุมมองเยาะหยัน มืดหม่นของชายเร่ร่อน (“พระเจ้าฝังกระสุนไว้ในตัวแก แล้วทิ้งแกไว้กับฉัน
ซึ่งไม่ผูกพันและไม่แคร์เลยสักนิดถ้าแกจะตายไป”) กลับค่อยๆ
แทรกซึมเข้าไปในจิตใจเขา การฆ่าคนเป็นครั้งแรกของเรย์เกิดขึ้นจากความผิดพลาด หวาดกลัวและเขายิ่งรู้สึกผิดในภายหลังเมื่อปรากฏว่าเหยื่อกระสุนเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ
แต่พอมาถึงการฆ่าคนในครั้งที่สอง (ช่วยชายเร่ร่อนหนีออกจากค่ายทหาร)
ความสะใจ ความภาคภูมิใจเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่ความรู้สึกผิด และหากให้เวลากับเขาอีกนิด
เชื่อได้ว่าไม่นานเรย์คงมีสภาพไม่ต่างจากชายเร่ร่อน
เมื่อการฆ่าหาได้กระตุ้นความรู้สึกใดๆ อีกต่อไป
ฉากที่บ่งบอกตัวตนและพัฒนาการของเรย์ได้อย่างน่าเศร้า
คือ ฉากที่เขานั่งร้องเพลงวัยรุ่นใสๆ อย่าง Pretty Girl Rock อยู่ในรถ
ก่อนต่อมาจะเริ่มครุ่นคิดถึงการฆ่าพี่ชายตัวเอง มันพิสูจน์ให้เห็นว่าลึกๆ แล้วเรย์ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มซึ่งโหยหาความสนุก
ความสดใสในแบบวัยรุ่นทั่วๆ ไป แต่ความจริงแห่งปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเขาให้กลายเป็นอีกคนหนึ่ง
“แกทำอะไรกับน้องฉัน” คำถามชวนสะเทือนใจของเฮนรีพุ่งเป้าไปยังชายเร่ร่อนในฐานะแพะรับบาป
จริงอยู่ว่าชายเร่ร่อนอาจมีส่วนกระตุ้นความเปลี่ยนแปลงในตัวเรย์อยู่บ้าง แต่หากพิจารณาจากสภาพแวดล้อมของโลกที่ล่มสลาย
จากสิ่งต่างๆ ที่เรย์ถูกบังคับให้ต้องเผชิญภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือเป็นชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เหลือเพียงแค่ว่ามันจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น
บทเฉลยสุดท้ายของ The
Rover อาจมอบความหวัง
แล้วเรียกคืนความเห็นอกเห็นใจและความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครอย่างชายเร่ร่อน
แต่หากสุนัขเป็นตัวแทนของมนุษยธรรมและคุณธรรมในดินแดนอันป่าเถื่อน โหดร้าย
คนดูย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง เพราะเหมือนหนังกำลังจะบอกว่าในโลกที่ล่มสลาย
โลกที่ทุกคนต่างดิ้นรนต่อสู้เพื่อตัวเองตามลำพัง (หรือตามสำนวนฝรั่งที่ว่า It’s
a dog-eat-dog world) คนที่จะสามารถอยู่รอดได้ คือ
คนที่รู้จักกลบฝังมนุษยธรรม หรือคุณธรรมเอาไว้... แต่ชีวิตแบบนั้นจะคุ้มค่ากับการอยู่รอดหรือไม่
นั่นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น