ชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณร่วมหอลงโรงมานานอย่าง นิค (จิม บรอดเบนท์) กับ เม็ก เบอร์โรว์ (ลินเซย์ ดันแคน) ความตื่นเต้น หวานชื่นในช่วงเริ่มแรกกลับค่อยๆ
ถูกแทนที่ด้วยความผิดหวัง ขมขื่น โดยสถานการณ์ในช่วงต้นเรื่องดูจะช่วยสรุปภาพชีวิตคู่ของทั้งสองได้เป็นอย่างดี
นิคจองโรงแรมเล็กๆ
ในปารีสที่พวกเขาเคยพักตอนฮันนีมูนสำหรับเฉลิมฉลองวันครบรอบแต่งงาน 30 ปี แต่เม็กรับไม่ได้กับผนังห้องสีใหม่
และรีบเดินจ้ำไปขึ้นรถแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าสู่โรงแรมสุดหรู
ซึ่งห้องพักราคาแพงเกินกว่าเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัย (ซึ่งเพิ่งจะถูกบีบให้เกษียณก่อนเวลา) จะมีปัญญาจ่าย
ห้องพักรูหนูที่เม็กกับนิคเคยใช้เวลาร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ตอนนี้กลับไม่ดีพอสำหรับเม็กอีกต่อไป เธอรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ
เธอต้องการความเปลี่ยนแปลง เธอต้องการการผจญภัย เธอต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่นิคกลับพึงพอใจที่จะกอดเกี่ยวความคุ้นเคยเดิมๆ เอาไว้
ถึงขนาดยินยอมให้ลูกชายไม่เอาถ่าน ซึ่งโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว
ย้ายกลับเข้ามาอยู่ด้วยกันท่ามกลางเสียงคัดค้านหนักแน่นของเม็ก “มันไม่ใช่ความรัก...
แต่เหมือนกำลังถูกจับ” เป็นหนึ่งในน้ำกรดที่เธอสาดใส่หน้าสามีตลอดช่วงเวลาสองวัน
เมื่อชีวิตแต่งงานของพวกเขาเปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนเรือนจำ คนหนึ่งยินดีที่จะอยู่
เพียงเพราะหวาดกลัวโลกภายนอกและความโดดเดี่ยว ส่วนอีกคนกลับโหยหาอิสรภาพ
อย่างไรก็ตาม
ความรัก ความผูกพันใช่ว่าจะเหือดแห้งไปจากชีวิตคู่ของสองผัวเมียเบอร์โรว์เสียทีเดียว
ประกายไฟยังปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะวูบวาบขึ้นอย่างฉับพลัน
หรือเลือนหายไปอย่างรวดเร็วมากแค่ไหนก็ตาม “คุณสามารถรักและเกลียดคนๆ เดียวกันได้
หลายครั้งภายในช่วงเวลา 5 นาทีด้วยซ้ำ” คำกล่าวของนิคดูจะสรุปอารมณ์โดยรวมของ Le Week-End ได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ
นาทีหนึ่งคนดูอาจได้เห็นคู่รักวัยชราวิ่งไล่กันดุจหนุ่มสาวในหนัง French New Wave ยืนจูบกันอย่างดูดดื่มกลางถนน หรือเพลิดเพลินกับการเที่ยวชม
สรรหาร้านอาหาร ขณะที่นาทีถัดมาพวกเขากลับถกเถียงกันอย่างดุเดือด
หรือเม็กอาจบอกปัดความพยายามจะมีเซ็กซ์ของสามีอย่างไร้เยื่อใย
จนฝ่ายชายถึงขั้นตัดพ้อว่า “ผมกลายเป็นเหมือนสิ่งของที่คุณหวาดกลัวไปแล้ว”
วิกฤติชีวิตคู่ของนิคกับเม็กดูเหมือนจะถูกขยายให้โดดเด่น
เข้มข้นขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของมอร์แกน (เจฟฟ์ โกลด์บลูม) เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของนิคที่ตอนนี้ได้ดิบได้ดีในอาชีพการงาน
แต่ตัดสินใจหย่าขาดจากภรรยา แล้วมาสร้างครอบครัวใหม่ในปารีสกับหญิงสาวคราวลูก
นิคไม่เข้าใจว่ามอร์แกนพาตัวเองกลับมายังจุดเริ่มต้นทำไม คำตอบง่ายๆ ของมอร์แกน
คือ เขายังหลงตัวเองเกินไป เขาต้องการความใส่ใจ ความรัก ความเทิดทูนจากภรรยา
และนั่นเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากหญิงสาวคราวลูกที่มองเขาเป็นเหมือนของขวัญที่สวรรค์ประทาน
มีความเป็นไปได้ว่า เม็กเองก็อาจรู้สึกไม่แตกต่างกันตอนเธอคบหากับนิคใหม่ๆ
ความรักที่เพิ่งสุกงอมย่อมหอมหวาน น่าตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกันก็ล่อลวงคุณให้หลงใหลในภาพลวง
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไป ความตื่นเต้นก็กลายเป็นรูปแบบ เป็นกิจวัตร
เป็นภาระที่คอยสกัดกั้นปัจเจกภาพ
มอร์แกนเลือกจะอยู่กับภาพลวง (ในตอนหนึ่งเขายอมรับว่าสุดท้ายแล้วภรรยาใหม่ของเขาก็ย่อมต้องเห็น
“ตัวตนที่แท้จริง” ของเขาอยู่ดี
แต่นั่นคงยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้) ส่วนนิคกลับตัดสินใจเลือกความจริงดังจะเห็นได้จากฉาก
“สารภาพ” กลางโต๊ะอาหารเย็น
ซึ่งถูกนำเสนอในลักษณะของไคล์แม็กซ์ และหาก Le Week-End เป็นหนังรักธรรมดาทั่วไป นี่คงเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้สองสามีภรรยากลับมาเข้าใจกันในที่สุด
แต่ผู้กำกับ โรเจอร์ มิเชลล์ และคนเขียนบท ฮานิฟ
คูเรอิชิ ซึ่งเคยร่วมงานกันมาก่อนจากหนังเรื่อง Venus หาได้มอบบทสรุปที่ชัดเจนขนาดนั้นแก่คนดู
จริงอยู่ว่าวิกฤติบางอย่างอาจคลี่คลายลงได้ในระดับหนึ่ง (นิคเปลี่ยนมายืนกรานไม่ให้ลูกชายย้ายกลับมาอยู่ด้วย) และอารมณ์โดยรวมในฉากจบก็อาจให้ความหวังอยู่พอสมควร
แต่แน่นอนว่าความผิดหวัง คับแค้นยังคงไม่จางหายไปไหน เช่นเดียวกับความรัก
ความผูกพันที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน... สุดท้ายแล้ว
คนดูคงต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจเองว่าสิ่งที่ได้กลับมานั้นมันคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไปหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น