วันอาทิตย์, ธันวาคม 19, 2564

A.I. Artificial Intelligence: นิยามแห่งมนุษย์

ประวัติความเป็นมาของ A.I. Artificial Intelligence เปรียบเสมือนตำนานที่แฟนหนังแทบทุกคนตระหนักเป็นอย่างดี โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อนโดย สแตนลีย์ คูบริค ก่อนจะถูกสานต่อจนสำเร็จเสร็จสิ้นโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก หลังจากคูบริคเสียชีวิตไปแล้ว ความพยายามที่จะคงจินตนาการดั้งเดิมของคูบริคเอาไว้ให้มากที่สุด ส่งผลให้ A.I. แตกต่างจากผลงานของสปีลเบิร์กเรื่องก่อนๆ อยู่ไม่น้อย อิทธิพลของคูบริคส่องประกายเด่นชัดตั้งแต่โครงเรื่องซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงหลักๆ ในสไตล์ 2001: A Space Odyssey ชื่อตัวเอกที่พ้องกัน (เดฟกับเดวิด) รวมเลยไปถึงบรรยากาศเหนือจริงในฉากจบด้วย งานออกแบบฉาก (โดยเฉพาะ รูจ ซิตี้ และบ้านสมัยใหม่ในโลกอนาคตของครอบครัวสวินตัน) ตลอดจนความรุนแรง โหดเหี้ยมในช่วงเฟลชแฟร์ล้วนสะท้อนบุคลิกหลักของ A Clockwork Orange และท้ายที่สุด คือ โทนอารมณ์เย็นชา ขุ่นมัว แห้งแล้ง ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับหนังของคูบริคส่วนใหญ่

ก่อนคูบริคจะเสียชีวิต เขาได้บอกปัดโครงการหนังเรื่อง A.I. แล้วเกลี้ยกล่อมให้สปีลเบิร์กมาทำแทนโดยมีเหตุผลว่ามันใกล้เคียงกับ สไตล์ของสปีลเบิร์กมากกว่า พิจารณาจากพล็อตเรื่องทำนองนิทานก่อนนอน ผสมผสาน Pinocchio เข้ากับ The Wizard of Oz เกี่ยวกับเด็กหุ่นยนต์ (ฮาลีย์ โจล ออสเมนต์) ที่ถูกทอดทิ้งอยู่กลางป่า ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไป สุดขอบโลก พร้อมกับเพื่อนหุ่นยนต์นักรัก จิ๊กโกโร โจ (จู้ด ลอว์) และตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ (แจ๊ค แองเจิล) เพื่อขอพรจากนางฟ้าสีน้ำเงินให้เขามี หัวใจ และกลายเป็นเด็กชายจริงๆ ด้วยหวังว่านั่นจะช่วยให้เขาได้ความรักของคุณแม่ (ฟราสเซส โอ’คอนเนอร์) กลับคืนมา จิ๊กโกโร โจ บอกว่าคนเดียวที่จะช่วยเด็กชายได้ เพราะเขาผู้นี้ล่วงรู้ทุกอย่าง คือ ดร.โนว์ (โรบิน วิลเลียมส์) โปรแกรมตอบคำถามคล้ายกับสารานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ในเมือง รูจ ซิตี้ แต่เมื่อไปถึง ปรากฏว่าดร. โนว์ก็ไม่ต่างจากพ่อมดจอมปลอม เพราะโปรแกรมถูกตั้งเพื่อล่อลวงให้เดวิดกลับมาหา ศาสตราจารย์ อัลเลน ฮ็อบบี้ (วิลเลียม เฮิร์ท) ซึ่งเป็นผู้สร้างเดวิดขึ้นมาโดยมีต้นแบบมาจากลูกชายแท้ๆ ของเขาเอง

รากฐานความเป็นนิทานก่อนนอนของ A.I. เผยให้เห็นชัดเจนนับแต่ช่วงต้นเรื่องเมื่อโมนิก้าเดินทางไปเยี่ยมลูกชายจริงๆ ของเธอ มาร์ติน (เจค โธมัส) ที่กำลังนอนโคม่าอยู่ในเตียงแคปซูล ฝาผนังของโรงพยาบาลมีลวดลายเป็นรูปวาดนางฟ้าติดปีกแบบในการ์ตูนของดิสนีย์ ส่วนเพลงที่โมนิก้าเลือกเปิดพร้อมกับอ่านหนังสือให้ลูกชายฟัง ก็คือ Sleeping Beauty แต่กระนั้นอิทธิพลของคูบริคยังคงย่างกรายเข้ามาให้เห็นเป็นระยะจนทำให้นิทานเรื่องนี้สอดแทรกความหดหู่ และท่าทีเสียดสีอยู่ในตัวพอสมควร แม้จะไม่รุนแรงในระดับเทียบเท่ากับการใช้เพลงมาร์ชของ Mickey Mouse Club ใน Full Metal Jacket ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีจบแบบกึ่ง แฮปปี้เอ็นดิ้งด้วยการให้เดวิดค้นพบความสุขสูงสุดในชีวิตจากคุณแม่ผู้ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาชั่วคราวในบ้านซึ่งเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ความสุขดังกล่าวหาได้ยืนยาวตราบนานเท่านานตามธรรมเนียมปฏิบัติของแฮปปี้เอ็นดิ้งในนิทานทั่วไป เพราะมันกินเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น

เช่นเดียวกับเรื่องสั้น Supertoys Last All Summer Long ของ ไบรอัน อัลดิส ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของหนังเรื่อง A.I. สปีลเบิร์กสะท้อนให้เห็นการปะทะกันระหว่างความจริงกับภาพลวงและของแท้กับสิ่งสังเคราะห์ในโลกอนาคต ซึ่งบางครั้งก็ใกล้เคียงกันเสียจนแยกไม่ออก (ในงานเขียนของอัลดิส เดวิดถามเท็ดดี้ว่า “เราจะแยกสิ่งที่เป็นจริงออกจากสิ่งที่ไม่เป็นจริงได้อย่างไร” คำตอบของเจ้าหมีซูเปอร์ทอยคือ “ไม่มีใครรู้หรอกว่าความแท้จริงนั้นหมายความว่าอะไร”) ผู้คนในงาน เฟลช แฟร์ คิดว่าเดวิดเป็นเด็กชายจริงๆ เดวิดแยกไม่ออกระหว่างพระจันทร์ของแท้กับบอลลูนรูปดวงจันทร์ของลอร์ด จอห์นสัน-จอห์นสัน (เบรนแดน กลีสัน) และสุดท้ายคือความสับสนระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกในนิทานของเดวิดซึ่งทั้งปิดกั้นเขาจากการค้นพบทางเลือกอื่นๆ ในชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เขาเข้าใกล้ความเป็นคนมากขึ้น ดังที่ศาสตราจารย์ฮ็อบบี้ชี้ให้เห็นว่าเดวิดได้ก้าวข้ามความเป็นหุ่นยนต์มาแล้วเพราะเขามีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของมนุษย์ นั่นคือ ความมุ่งมั่นที่จะออกไล่ล่าความฝัน จินตนาการ และศรัทธาความเชื่อในสิ่งที่อาจจะไม่มีตัวตัวอยู่จริงแบบเดียวกับที่มนุษย์จำนวนมากเชื่อในพระเจ้า (รายละเอียดหลายอย่างในหนังดูจะส่อนัยถึงคริสตศาสนาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงเรื่องพระเจ้าสร้างอดัม สถานะผู้ให้กำเนิดของศาสตราจารย์ฮ็อบบี้ หรือฉากหลังของหนังซึ่งเป็นโลกอนาคตหลังเกิดภาวะน้ำท่วมโลกแบบเดียวกับตำนานของโนอาห์)

ความแตกต่างสำคัญระหว่างจักรกลกับมนุษย์อยู่ตรงที่ฝ่ายหลัง แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันทางรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย หรือบุคลิกลักษณะเพียงใดก็ตาม ล้วนถูกสร้างขึ้นมาเป็นอิสระ เอกเทศ ทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยจิตวิญญาณภายในจะทำหน้าที่แบ่งแยกบุคคลคนๆ หนึ่งออกจากมนุษย์อื่นๆ อีกหลายร้อยหลายพันล้านคน สามารถตัดสินใจยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้เองโดยปราศจากชิปคำสั่งตายตัว ส่วนจักรกลถือเป็นอุตสาหกรรมแห่งมวลชน ถูกสร้างขึ้นมาให้มีลักษณะเหมือนกันภายในจนทำให้ไม่สามารถแยกตัวหนึ่งออกจากตัวอื่นๆ ได้ พวกมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาสมบูรณ์เพื่อเติมเต็มความต้องการในตัวเอง แต่เพื่อรองรับความต้องการอันหลากหลายของมนุษย์อีกทอดหนึ่ง

หนังพยายามสถาปนาความพิเศษสุดของเดวิด หุ่นยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถรักคนได้ ให้ออกมาเป็นรูปธรรมผ่านหลายหลากวิธีด้วยกัน ทั้งการให้ตัวละครจำนวนหนึ่งพูดถึงเขาด้วยคำจำกัดความประเภท เป็นเอก ยอดเยี่ยมเหนือใคร และ หนึ่งเดียว บวกเข้ากับการจัดองค์ประกอบภาพให้เดวิดเหมือนมีรัศมีล้อมรอบแบบเทพ/ภูติจากโคมไฟเหนือโต๊ะอาหาร จนถึงเตียงนอนประดับไปด้วยหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ และหน้าต่างห้องรูปทรงกลม ตลอดจนการเน้นแสงแบบ back lighting ซึ่งช่วยให้ดูเหมือนมีรัศมีเรืองรองอยู่รอบตัว

ดังนั้นเมื่อเดวิดตระหนักความจริงว่าเขาเป็นเพียงหนึ่งใน เดวิด อีกจำนวนมากซึ่งถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้รักมนุษย์ (เป็นฉากเด่นที่อัลดิสเขียนไว้ในภาคต่อของ Supertoys Last All Summer Long สปีลเบิร์กติดต่อซื้อไอเดียของฉากดังกล่าวมาตั้งแต่อัลดิสยังไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร) มีหน้าที่เฉพาะไม่ต่างจากจักรกลอื่นอย่าง หุ่นยนต์นักรัก หรือหุ่นยนต์แม่บ้าน เป็นตัวแทนสังเคราะห์ของลูกแท้ๆ ที่พ่อแม่ในโลกซึ่งถูกควบคุมจำนวนประชากรอย่างเคร่งครัดไม่อาจมีได้ หรือสูญเสียไป ทำให้เขาไม่มีวันได้ความรักแท้จริงกลับคืนจากมนุษย์ และเป็น หนึ่งเดียว สำหรับโมนิก้าได้ (กระทั่งรูปร่างหน้าตาของเขาก็ขาดเอกลักษณ์เพราะจริงๆ แล้วเขาถูกถอดแบบมาจากลูกชายผู้ล่วงลับไปของศาสตราจารย์ฮ็อบบี้อีกทอดหนึ่ง) เดวิดจึงรู้สึกตาสว่าง พ่ายแพ้ และผิดหวังอย่างรุนแรง จนตัดสินใจกระโดดจากตึกสูงสู่พื้นน้ำอันกว้างใหญ่เบื้องล่าง แต่ศรัทธาของเขาหาได้สูญสิ้นตามไปด้วย เมื่อเขาสวดอ้อนวอนต่อหน้ารูปปั้นนางฟ้าที่จมอยู่ใต้น้ำ อ้อนวอนขอให้เธอดลบันดาลเขาให้กลายเป็นเด็กชายจริงๆ

หากหนังจบลงตรงจุดนี้ (พิน็อคคิโอถูกขังอยู่ใต้น้ำอย่างอ้างว้าง โดดเดี่ยวตลอดกาลในโลกอันกลับตาลปัตรของการ์ตูนดิสนีย์ ที่ซึ่งความฝันไม่ได้กลายเป็นจริง และนิทานเป็นเพียงซากปรักหักพัง) A.I. คงจะมีความใกล้เคียงกับผลงานของ สแตนลีย์ คูบริค ในโทนอารมณ์สิ้นหวังและหดหู่ แต่ดูเหมือนผู้กำกับที่นิยมมอบความหวัง ความอบอุ่นแก่ผู้ชมอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก จะยังไม่พร้อมสำหรับการยอมเสียสละตัวตนที่แท้จริงของเขาถึงขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ฉากจบของหนังจึงเป็นการเดินหน้าไปยังอนาคตในอีก 2000 ปี เมื่อโลกกลายเป็นยุคน้ำแข็งและเผ่าพันธุ์มนุษย์สูญสลายจนสิ้น (อย่างไรก็ตาม สปีลเบิร์กอ้างว่าช่วง 20 นาทีสุดท้ายของหนังเป็นการถอดความโดยตามเรื่องราวของคูบริค เอียน วัตสัน ซึ่งเขียนทรีทเมนต์แรกให้กับคูบริคยืนยันว่าตอนจบที่หลายคนเชื่อว่ามีความเป็น สปีลเบิร์กอยู่สูงนั้น เขาเขียนให้กับคูบริคและนี่เป็นสิ่งที่คูบริคต้องการ โดยสปีลเบิร์กได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพอย่างซื่อสัตย์)

มีการถกเถียงกันพอสมควรว่ามนุษย์ต่างดาวในตอนท้ายของหนังนั้นเป็น ออร์ก้า หรือ เมก้า ซึ่งอันที่จริงสปีลเบิร์กก็ไม่ได้สรุปเอาไว้แน่ชัดว่าเป็นข้อหนึ่งข้อใด กระทั่งอาจตีความได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกด้วยซ้ำ (แม้พวกมันจะมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ต่างดาวใน Close Encounters of the Third Kind จนน่าตกใจก็ตาม) แต่เป็นจักรกลบนโลกซึ่งเหลือรอด แล้วพัฒนาความเจริญก้าวหน้าจนถึงขีดสุด (หนังสื่อนัยยะอยู่ตลอดเวลาถึงความยืนยาวของจักรกลและความเปราะบางของมนุษย์ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงเกลียดจักรกลที่พวกเขาผลิตขึ้นมาเอง “เพราะเมื่อวันสิ้นสุดแห่งโลกมาถึง สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือพวกเรา” จิ๊กโกโร่ โจ กล่าว) อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตดังกล่าวจะมาจากต่างดาวหรือไม่ก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นให้ใกล้เคียงกับการเป็นหุ่นยนต์ (เมก้า) มากกว่ามนุษย์ (ออร์ก้า) ทั้งจากรูปกายภายนอกของแต่ละคนซึ่งดูไม่แตกต่างกัน ผิวหนังที่มีลักษณะเหมือนโลหะ และความสามารถในการส่งถ่ายข้อมูลเป็นภาพไปยังอีกผู้หนึ่งแบบเดียวกับการสื่อสารผ่านระบบดิจิตอล

ความเป็นเมก้าของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวช่วยตอกย้ำแนวคิดหลักของสปีลเบิร์กที่มองโลก/มนุษย์ในแง่ดี ขณะเดียวกันก็โต้แย้งทัศนคติเดิมๆ ของนิยายวิทยาศาสตร์และหนังส่วนใหญ่ของคูบริค เช่น Full Metal Jacket, 2001: A Space Odyssey และ A Clockwork Orange ซึ่งมักวิพากษ์มนุษย์ในเชิงลบ โดยเมก้าเหล่านี้ได้ออกค้นหาตามซากแห่งอารยธรรมเพื่อพยายามจะทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่า จิตวิญญาณ อันเป็นแหล่งก่อกำเนิดชีวิต ศิลปะ และปัจจัยสำคัญในการแบ่งแยกมนุษย์แต่ละคนเป็นเอกเทศ สมบูรณ์พร้อมในตัวเอง พวกเขาชื่นชมและ อิจฉา สิทธิพิเศษดังกล่าว แม้ว่ามันจะหมายถึงการสิ้นชีวิตตามอายุขัยก็ตาม โดยเจ้าพลังชีวิตดังกล่าวเมื่อใช้หมดไปตามเวลาที่กำหนดแล้ว ก็ไม่สามารถจะถูกชาร์ตใหม่ได้ตลอดเวลาเหมือนแหล่งพลังงานของเมก้า ด้วยเหตุนี้มนุษย์ที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาจากซากดีเอ็นเอจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งวันก่อนจะดำดิ่งลงสู่ความตายอีกครั้ง

ร่องรอยเดียวที่เหลือไว้ให้พวกเขาทำการศึกษาคือเดวิด จักรกลผู้ปรารถนาจะกลายร่างเป็นมนุษย์อย่างมุ่งมั่น เดวิดอาจไม่สามารถกลายสภาพเป็นคนจริงๆ ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นจากเลือดเนื้อได้ดังที่ฝันไว้ เขายังปราศจากจิตวิญญาณ หรืออารมณ์อื่นอันหลากหลายนอกจากความรักที่มีต่อมอนิก้าอย่างปราศจากเงื่อนไข แต่ 2000 ปีผ่านไปหลังจากมนุษย์จริงๆ กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานแห่งอดีต อย่างน้อยเดวิดก็ได้ลิ้มรสคุณสมบัติพิเศษสุดประการหนึ่งแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งเขาโหยหามาตลอด นั่นคือ ความเป็นหนึ่งเดียวที่เปี่ยมเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างไม่อาจหาใครมาเสมอเหมือนในสายตาของเมก้าแห่งโลกอนาคต

ใน A.I. Artificial Intelligence ความฝันที่ถูกจำกัดขอบเขตอาจถือเป็นการหักเลี้ยวเล็กๆ ออกนอกเส้นทางกิจวัตรของพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด แต่ศรัทธาและความหวังในมนุษยชาติ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบสปีลเบิร์กขนานแท้และดั้งเดิม ยังคงฉายแสงเจิดจ้าอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

ไม่มีความคิดเห็น: