ใครก็ตามที่ได้ดูหนังตัวอย่างของ Inherent
Vice และคาดหวังว่าจะได้เห็นผู้กำกับ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน
หวนกลับไปทำอะไรสนุกๆ
ที่ดำเนินเหตุการณ์ตามครรลองของการเล่าเรื่องแบบสากลทั่วไปเหมือนใน Boogie
Nights แล้วละก็ คุณกำลังโดนหลอกอย่างจังเบอร์
เช่นเดียวกับใครก็ตามที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของแอนเดอร์สัน ซึ่งบอกว่าเขาใช้หนังอย่าง
Airplane! กับ Top Secret! เป็นแรงบันดาลใจ และคาดหวังว่าจะได้หัวร่องอหายกับมุกตลกบ้าๆ บอๆ แบบผลงานเด่นของทีม ZAZ
(เดวิด ซัคเกอร์, จิม
อับราฮัมส์, เจอร์รี ซัคเกอร์) หรืออย่างน้อยก็ในระดับเดียวกับ The Big Lebowski ของสองพี่น้อง โจเอล และ อีธาน โคน
ซึ่งมีตัวละครเอกเป็นชายหนุ่มที่ชอบพี้กัญชาเป็นกิจวัตรเหมือนๆ กัน
ทั้งนี้เพราะหากมองแบบเจาะจงไปยังการเล่าเรื่องเป็นหลัก คุณก็จะพบว่าหนัง “ตลก” ควบฟิล์มนัวร์เรื่องนี้ของแอนเดอร์สันมีความใกล้เคียงกับงานกำกับชิ้นก่อนหน้าของเขาอย่าง The
Master เสียมากกว่า กล่าวคือ
มันเต็มไปด้วยความคลุมเครือในรายละเอียดจนชวนให้รู้สึกสับสนงุนงงได้ไม่แพ้กัน
สาเหตุสำคัญน่าจะเป็นเพราะแอนเดอร์สันยืนกรานที่จะซื่อสัตย์ต่อนิยายต้นฉบับของ โธมัส
พินชอน ชนิดแทบจะเรียกได้ว่าบทต่อบท (ยกเว้นเพียงฉากจบ)
ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครั้งที่เขาใช้เพียงโครงเรื่องคร่าวๆ
ของนิยายเรื่อง Oil! มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง There
Will Be Blood
จุดเด่นของพินชอน
คือ ภาษาเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ หวือหวา ยอกย้อน และแฝงความนัย ซึ่งแอนเดอร์สันคงจะหลงใหลจนอดไม่ได้ที่คัดลอกมาไว้ในหนัง
ทั้งการยกบทสนทนาแบบทั้งดุ้น รวมถึงยกบทบรรยายบางตอนมาใช้ผ่านเสียง วอยซ์ โอเวอร์ ของ
ซอร์ทีลีจ (โจแอนนา นิวซอม) ซึ่งในนิยายเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยสลักสำคัญมากนัก
แต่ในเวอร์ชันหนังกลับถูกอัพเกรดให้กลายเป็นคนเล่าเรื่องราวทั้งหมด ด้วยเหตุนี้
ไม่เพียงคนดูจะต้องไล่ตามเรื่องราวอันซับซ้อนผ่านสารพัดข้อมูลจากบทพูดเท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกันยังต้องเก็บเกี่ยวรายละเอียดต่างๆ
ผ่านเสียงบรรยายอีกด้วย เช่น ตอนหนึ่งเมื่อซอร์ทีลีจอธิบายบุคลิกของ บิ๊กฟุต
บียอร์นเซน (จอช โบรลิน) ว่า “สมาชิกสมาพันธ์นักแสดง กับท่าเดิน จอห์น เวย์น ทรงผมฟลินท์สโตน
และดวงตาฉายแววชั่วร้ายที่บ่งบอกถึงการละเมิดสิทธิพลเมือง”
เฉกเช่นหนังฟิล์มนัวร์อีกหลายๆ
เรื่อง Inherent
Vice เริ่มต้นด้วยการที่หญิงสาวสวยสุดเซ็กซี่เดินทางมาขอความช่วยเหลือจากนักสืบเอกชน
ความแตกต่างสำคัญอยู่ตรงที่ ด็อก สปอร์เทลโล (วาควิน
ฟีนิกซ์) เป็นนักสืบซึ่งชื่นชอบการพี้กัญชาและไลฟสไตล์แบบฮิปปี้
ส่วนสาวสวย แชสตา เฟย์ (แคเธอรีน วอเตอร์สัน) ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นอดีตแฟนสาวฮิปปี้ของด็อกที่หนีไปมีความสัมพันธ์กับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขาใหญ่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
มิคกี้ วูล์ฟแมน (อีริค โรเบิร์ตส์) เธอแวะมาเยี่ยมเยียนด็อกหลังจากหายหน้าหายตาไปนานเพื่อขอให้เขาช่วยยับยั้งแผนการของภรรยามิคกี้
(เซเรนา สก็อต โธมัส)
กับชู้รักในอันที่จะส่งตัวเศรษฐีเงินล้านเข้าโรงพยาบาลบ้า
วันต่อมา
มารีก คาลิล (ไมเคิล เคนเน็ธ วิลเลียมส์) อดีตนักโทษผิวดำและสมาชิกกลุ่มกองโจรมาร์กซิส
เดินทางมาพบด็อกที่ออฟฟิศเพื่อขอให้เขาช่วยตามหา เกล็น ชาร์ล็อค (คริสโตเฟอร์ อัลเลน เนลสัน) สมาชิกกลุ่มนีโอนาซีที่เขารู้จักในเรือนจำและบอดี้การ์ดของ
มิคกี้ วูล์ฟแมน โดยคาลิลอ้างว่าชาร์ล็อคติดค้างเงินก้อนโตเขาอยู่ แต่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนๆ
ของชาร์ล็อค ซึ่งเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ที่เชิดชูความยิ่งใหญ่ของชนเผ่าอารยัน ด้วยเหตุนี้เอง
ด็อกจึงตัดสินใจแวะไปยัง แชนแนล วิว เอสเตส หนึ่งในโครงการสร้างบ้านจัดสรรของวูล์ฟแมนซึ่งเกิดขึ้นได้จากการขับไล่และทุบทำลายชุมชนคนดำของคาลิลจนไม่เหลือซาก
เพื่อตามหา เกล็น ชาร์ล็อค ที่นั่นด็อกพบว่ามีธุรกิจเดียวที่ยังเปิดทำการอยู่ คือ
ชิค แพลเน็ท ร้านนวด/ซ่องซึ่งถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินขององค์กรค้ายาขนาดใหญ่ชื่อ
เดอะ โกลเด้น แฟง แต่หลังจากเดินสำรวจได้เพียงชั่วครู่ ด็อกก็ถูกตีหัวด้วยไม้เบสบอลจนสลบ
ก่อนจะตื่นขึ้นมาข้างศพของ เกล็น ชาร์ล็อค
และถูกล้อมรอบด้วยตำรวจแอลเอภายใต้การนำของ บิ๊กฟุต บียอร์นเซน ศัตรูคู่อริที่เกลียดชังฮิปปี้ชนิดเข้าไส้
ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น บิ๊กฟุตยังแจ้งข่าวด่วนให้ด็อกรับรู้ด้วยว่า มิคกี้
วูล์ฟแมน ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกับอดีตแฟนสาวของด็อก แชสตา เฟย์
ขณะกำลังมืดแปดด้าน
ด็อกก็ได้รับการติดต่อจาก โฮป ฮาร์ลินเจน (เจนา มาโลน) อดีตขี้ยาที่สามารถเลิกเฮโรอีนได้สำเร็จและผันตัวมาเป็นคนให้คำปรึกษาเกี่ยวกับยาเสพติด
เธอต้องการให้เขาช่วยตามหาสามีนักดนตรี คอย ฮาร์ลินเจน (โอเวน
วิลสัน) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของแชสตา
เพราะเธอเชื่อว่าเขายังไม่ตาย แต่หลบซ่อนตัวอยู่ ในเวลาเดียวกันคอยก็แอบนัดพบด็อกเพื่อขอให้เขาช่วยสืบดูความเป็นไปของภรรยากับลูกสาวว่าทั้งสองมีชีวิตสุขสบายดีไหม
เขาสารภาพว่าสาเหตุที่เขาไม่สามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ และคงต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ
ซ่อนๆ ตลอดไป เพราะเขาทำงานเป็นสายให้ตำรวจและเกรงว่ามันอาจจะทำให้ภรรยากับลูกสาวต้องตกอยู่ในอันตราย
ทั้งหมดข้างต้นเป็นพล็อตเรื่องคร่าวๆ
ที่พอจะจับใจความได้ในช่วงเกือบหนึ่งชั่วโมงแรกของหนัง แต่ช่วงเวลาที่เหลืออีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นกลับถูกเติมเต็มไปด้วยเหตุการณ์ชวนฉงนและตัวละครแปลกประหลาด
ซึ่งบางครั้งนอกจากจะไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างให้กับเรื่องราวหลักๆ แล้ว
ยังเพิ่มปมซ้อนทับเข้าไปอีกชั้น เช่น การผจญภัยของด็อกในตึกสูงทรง “เขี้ยว” และได้พบปะกับ ดร. รูดี้ (มาร์ติน ชอร์ต)
ทันตแพทย์ท่าทางประสาทๆ ที่ลุ่มหลงเซ็กซ์มากพอๆ กับยาเสพติด และต่อมากลายเป็นร่างไร้วิญญาณในวันรุ่งขึ้นพร้อมรอยเขี้ยวที่คอเหมือนถูกกัดโดยแวมไพร์
บทหนัง เช่นเดียวกับนิยาย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพล็อต หรือการคลี่คลายคดีมากนัก
จริงอยู่ว่าสุดท้ายแล้วคำถามสำคัญที่คาใจคนดูส่วนหนึ่งก็ได้รับคำตอบ เช่น เราได้ทราบว่าใครเป็นคนฆ่า
เกล็น ชาร์ล็อค หรือ มิคกี้ วูล์ฟแมน หายตัวไปอยู่ไหน
แต่คำตอบเหล่านั้นถูกนำเสนอแบบผ่านๆ โดยปราศจากคำอธิบายความเป็นมา
เบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หรือการเร้าอารมณ์อย่างชัดเจนแบบในหนังสืบสวนสอบสวนส่วนใหญ่
อันที่จริง
การตายของ ดร. รูดี้ ก็ได้รับการเฉลยแบบเป็นนัยๆ เช่นกัน
เมื่อสังเกตจากความโกรธแค้นในแววตาของ คร็อคเกอร์ เฟนเวย์ (มาร์ติน
โดโนแวน) หนึ่งในสมาชิกระดับสูงของ เดอะ โกลเด้น แฟง
เพราะเขาเชื่อว่าลูกสาวของตน จาโปนิก้า (ซาชา พายเทิร์ส) ถูก ดร.รูดี้ ล่อหลอกด้วยยาเสพติดให้เสียเนื้อเสียตัวจนกลายเป็นเด็กสาวใจแตก
แต่นั่นก็ดูจะไม่ใช่สิ่งที่หนังให้ความใส่ใจมากนัก ทั้งนี้เพราะผู้กำกับแอนเดอร์สันเลือกจะมุ่งเน้นไปยังการสร้างบรรยากาศ
แล้วพยายามจะจับอารมณ์ทำนองกึ่งจริงกึ่งภาพหลอน (จากฤทธิ์ยา)
ของนิยายมากกว่าการแจกแจงเรื่องราวจาก 1 ไป 2 ไป 3
อย่างเป็นเหตุเป็นผลและง่ายต่อการติดตาม
ถึงแม้
Inherent
Vice จะอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ขันสารพัดรูปแบบ ทั้งประเภทออกนอกหน้า
เช่น ฉากบิ๊กฟุตดูดดื่มกล้วยเคลือบช็อกโกแลตสุดโปรดอย่างเมามันโดยมีด็อกจ้องมองด้วยความสะพรึงในแววตา
หรือประเภทเรียกรอยยิ้มเล็กๆ อย่างประตูรูปผู้หญิงเปลือยพร้อมช่องสำหรับเปิดตรงอวัยวะสำคัญพอดิบพอดี
แต่อารมณ์โดยรวมของหนังออกจะห่างไกลจากการเป็นภาพยนตร์ตลกเต็มรูปแบบอย่าง Airplane!
หรือกระทั่ง The Big Lebowski ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะหนังผูกพันเชิงโครงสร้างอยู่กับภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์
และอีกส่วนน่าจะมาจากการสอดแทรกประวัติศาสตร์
ตลอดจนวัฒนธรรมแห่งยุคสมัยเอาไว้อย่างต่อเนื่องซึ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับเรื่องราวค่อนข้างมาก
อาจกล่าวได้ว่า
Inherent
Vice เริ่มต้นด้วยโทนอารมณ์ค่อนข้างเบาสบาย ก่อนจะค่อยๆ มืดหม่น หดหู่
และจริงจังขึ้น ไม่แตกต่างจากอารมณ์โดยรวมของปี 1970 ซึ่งเป็นฉากหลังของหนัง เพราะในปีนั้นบรรยากาศแสวงหาแห่งยุคบุปผาชนกำลังเริ่มดำดิ่งลงเหวพร้อมๆ
กับปรากฏการณ์ ชาร์ลส์ แมนสัน ซึ่งถูกเอ่ยอ้างถึงในหนังอยู่ครั้งสองครั้ง ความขัดแย้งระหว่างบิ๊กฟุตกับด็อกเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการงัดข้อระหว่างแนวคิดกระแสหลักกับวัฒนธรรมย่อยของฮิปปี้
ด็อกตระหนักดีว่าความเปลี่ยนแปลงกำลังมาถึง
และดินแดนที่เขาอาศัยอยู่ก็กำลังหดถอยลงทุกขณะ (การที่เขาเลือกสูบแค่กัญชาเป็นหลักโดยไม่ก้าวเข้าไปถึงขั้นใช้เฮโรอีน
หรือยาบ้า ทำให้เขาไม่ต่างจากป้อมปราการสุดท้ายของวัฒนธรรมฮิปปี้ก่อนการมาถึงของ
ชาร์ลส์ แมนสัน) ในฉากแรกของหนังด็อกสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวแชสตา
ทั้งการแต่งตัวและอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าเธอ เช่นเดียวกัน สองผัวเมียฮาร์ลินเจนก็เป็นอดีตฮิปปี้ขี้ยาที่ตัดสินใจกลับเนื้อกลับตัวมาสร้างครอบครัว
หรือกระทั่งตัวด็อกเองก็มีออฟฟิศทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง
ถ้าหนังจะมีวายร้ายที่แท้จริงสักคนละก็
มันคงไม่ใช่ มิคกี้ วูล์ฟแมน หรือ คร็อคเกอร์ เฟนเวย์
หรือกรมตำรวจแอลเอที่เต็มไปด้วยคอรัปชั่น หรือกระทั่ง เดอะ โกลเด้น แฟง หากแต่เป็นระบบทุนนิยมสุดโต่ง
ซึ่งเปลี่ยนแปลงทัศนียภาพของลอสแองเจลิสไปอย่างสิ้นเชิง
แหล่งที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยอย่างชาวเม็กซิกันและคนผิวดำถูกรุกราก
ปรับปรุงเพื่อสร้างเป็นสนามกีฬา หมู่บ้านจัดสรร และห้างสรรพสินค้า เมื่อมิคกี้
ซึ่งเป็นเหมือนเบี้ยตัวหนึ่งบนเกมกระดาน ตระหนักถึงความเลือดเย็นดังกล่าว เขาก็พยายามจะเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจ
ทำความดีลบล้างการเอารัดเอาเปรียบในอดีต
แต่สุดท้ายความเลวร้ายของระบบก็บีบให้เขาต้องกลับมายืนอยู่ ณ จุดเดิม สองฉากที่งดงามที่สุดในหนังสะท้อนอารมณ์หม่นเศร้าดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
นั่นคือ ตอนที่ด็อกขับรถไปยัง แชนแนล วิว เอสเตส และเห็นเด็กๆ ผิวดำวิ่งตามรถ
บรรดาชาวบ้านของชุมชนที่เขาขับรถผ่านหาได้มีตัวตนอยู่อีกต่อไป แต่เป็นเพียงวิญญาณจากความทรงจำ
เช่นเดียวกับฉากแฟลชแบ็คตอนที่ด็อกกับแชสตาวิ่งออกมาผจญภัยกลางสายฝน
คนดูจะได้เห็นพื้นที่ว่างข้างๆ บรรดาร้านค้า แต่เมื่อหนังตัดมายังเหตุการณ์ปัจจุบันในฉากถัดมา
พื้นที่ดังกล่าวกลับถูกเติมเต็มด้วยตึกออฟฟิศสูงระฟ้า
“กระนั้นเราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเวลา ท้องทะเลแห่งเวลา ท้องทะเลแห่งความทรงจำและการหลงลืม
หลากหลายปีของคำสัญญาสูญสลายและไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้...” เสียงเล่าเรื่องในช่วงท้ายของซอร์ทีลีจดูเหมือนจะช่วยสรุปให้เห็นแก่นอารมณ์ที่แท้จริงของ
Inherent Vice ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายใต้มุกตลกและควันกัญชาได้อย่างชัดเจน
ความเศร้าสร้อยและหวนไห้ต่อยุคสมัยที่ผันผ่าน ต่อความสัมพันธ์ที่ร้างลา ต่อค่านิยม
หรือวัฒนธรรมที่หล่นหายไปตามกาลเวลา ชื่อของหนัง Inherent Vice หากแปลตรงตัวจะหมายความถึงการเสื่อมสภาพในตัวเอง โดยในแวดวงการประกันภัย มันหมายถึงความเสียหายของวัตถุ
หรือสินค้าใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นจากตัวของวัตถุ หรือสินค้านั้นๆ ตามธรรมชาติ เช่น
การเสื่อมสภาพของเครื่องยนต์ที่ใช้งานตามปกติ หรือการเน่าเสียของผลไม้สดเมื่อเก็บไว้นานเกินไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การเสื่อมสภาพในตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งย่อมล่มสลาย พังทลาย... ยุคสมัยแห่งวัฒนธรรมย่อยในช่วงทศวรรษ
1960 ก็เช่นกัน
แต่ทุกอย่างก็หาได้สิ้นหวัง
เศร้าหมองไปเสียทั้งหมด จริงอยู่ว่ามนุษย์อาจไร้พลังที่จะต้านทานความเป็นไปของโลก
แต่อย่างน้อยการต่อสู้ของด็อกเพื่อให้คอยได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้งก็ช่วยพิสูจน์ว่า
มนุษย์แม้จะเกิดมาพร้อมบาปติดตัว (ในที่นี้ inherent vice
มีความหมายเชิงศาสนาเกี่ยวโยงถึง original sin) พวกเขาก็มีศักยภาพและอิสระที่จะทำคุณงามความดีเพื่อไถ่บาปได้เช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น