หลังจากเวียนว่ายอยู่ในวงการมานานกว่า
20 ปี ความชื่นชอบ หรือหลงใหลในตัวละครขี้แพ้ของ อเล็กซานเดอร์ เพย์น
กลายเป็นชื่อเสียงเลื่องลือและสามารถคาดหวังได้เสมอแทบทุกครั้งที่เขาประกาศว่าจะสร้างหนังเรื่องใหม่
ไม่ว่าจะเป็นบทคุณครูมัธยมที่ต้องสูญเสียทุกอย่าง ทั้งอาชีพการงาน ชีวิตคู่
และศักดิ์ศรีอันมีอยู่น้อยนิดจากการประกาศสงครามกับเด็กนักเรียนหญิงจอมทะเยอทะยานใน
Election
บทพนักงานขายประกันวัยเกษียณที่พลันตระหนักว่าภรรยาตัวเองหลงรักผู้ชายคนอื่น
ส่วนลูกสาวก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาและกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายไม่เอาถ่านใน About
Schmidt บทนักเขียนที่ล้มเลิกความหวังว่าอดีตภรรยาจะกลับมาขอคืนดี
หรือมีหนังสือที่ประสบความสำเร็จกับเขาสักเล่มใน Sideways บทสามีที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ภรรยากับลูกๆ
สักเท่าไหร่ใน The Descendants หรือบทตาแก่สมองใกล้เสื่อมที่เชื่อเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านใน
Nebraska
การเติบโตมาในภูมิภาคมิดเวสต์
(เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา) ทำให้เพย์นสามารถถ่ายทอดฉากหลัง
บรรยากาศตลอดจนคุณลักษณะของผู้คนในแถบนี่ได้สมจริงผ่านหนัง 3 เรื่องอย่าง Election,
About Schmidt และ Nebraska แต่บางครั้งมุมมองที่เปี่ยมอารมณ์ขันเจ็บแสบก็เปิดช่องให้เพย์นโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรมว่ากำลังล้อเลียนตัวละคร
แล้วก้มมองพวกเขาด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว
เพย์นรักใคร่ตัวละครของเขาทุกตัว แต่การที่เขาโอบกอด และบางครั้งก็เน้นย้ำในจุดอ่อน
ข้อบกพร่อง
หรือเอกลักษณ์แปลกประหลาดของตัวละครเหล่านั้นแทนการทำให้พวกเขาดูสมบูรณ์แบบ
น่ารักน่าใคร่ตั้งแต่แวบแรกสามารถทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นความเกลียดชัง
สำหรับเพย์น “ความเลวร้ายอันน่าสมเพชของชีวิตบนโลกใบนี้”
คือ สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขามาตลอด หนังของเขาจึงไม่กระตือรือร้นที่จะโน้มนำคนดูให้
“เห็นอกเห็นใจ” ตัวละคร
หรือถ่ายทอดภาวะกลับตัวกลับใจ ไถ่บาปล้างโทษแบบเด่นชัด แต่กลับพยายามจะตีแค่พวกเขาให้คนดู
“เข้าใจ” ในพฤติกรรมทั้งหลาย
ไม่ว่ามันจะเลวร้าย หรือน่าตำหนิติเตียนมากแค่ไหนก็ตาม ทั้งนี้เพราะเพย์นเชื่อในความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์
น่าสนใจว่าหนังสองเรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้กับเพย์นอย่าง
Citizen
Ruth และ Election นั้นล้วนเป็นหนังตลกล้อเลียนเต็มรูปแบบซึ่งมีตัวละครเอกเป็นผู้หญิง
เรื่องหนึ่งพูดถึงประเด็นการทำแท้ง ส่วนอีกเรื่องพูดถึงการเมืองในโรงเรียนมัธยม
ซึ่งเป็นเสมือนภาพจำลองของทุกสิ่งทุกอย่างอันเลวร้ายในโลกแห่งทุนนิยม ที่วัดค่าความสำเร็จ
ความล้มเหลวจากเปลือกนอก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพย์นกลับค่อยๆ ลดบทบาทของมุกตลกลง
แล้วเพิ่มด้านที่หม่นเศร้า หวานปนขมของชีวิตเข้าไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันโฟกัสของเขาก็เริ่มหักเหเข้าหาตัวละครเพศชายในช่วงวิกฤติวัยกลางคน
กับความพยายามจะสำรวจและยอมรับชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองว่าเต็มไปด้วยความผิดพลาด
ความล้มเหลว กระนั้นอย่าเข้าใจผิดไป หนังของเพย์นในยุคหลังยังคงตลกขบขันมากๆ
หลายฉากใน Nebraska ยังสามารถเรียกเสียงฮาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่เขาดูจะเบี่ยงเบนมาเน้นโทนอารมณ์อ่อนโยน นุ่มนวลแบบมนุษยนิยมมากกว่าโทนอารมณ์เจ็บแค้น
เยาะหยัน และปวดแสบปวดร้อนราวกับโดนสาดหน้าด้วยน้ำกรดแบบในหนังอย่าง Election
ซึ่งนั่นทำให้ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดหนังในช่วงหลังของเพย์นถึงเป็นที่ยอมรับมากขึ้นบทเวทีออสการ์
“ผมหวาดกลัวมากๆ ว่าตัวเองจะบีบเค้นอารมณ์จนเกินพอดี” เพย์นเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร The New Yorker “แต่ภาพยนตร์ควรจะเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ เชคอฟเคยเขียนจดหมายแนะนำนักเขียนรุ่นใหม่
ซึ่งขอให้เขาช่วยอ่านงานเขียนให้หน่อย ว่า ‘มันบีบเค้นอารมณ์มากเกินไป
ถ้าคุณอยากให้คนอ่านรู้สึก คุณควรวางตัวให้เป็นกลาง เพื่อที่ว่าอารมณ์เหล่านั้นจะได้ถูกขับเน้นให้โดดเด่นขึ้นดุจเดียวกับโอเอซิสกลางทะเลทราย’
ผมคิดว่ามันเป็นความจริงทีเดียว” หลายคนอาจขนานนามหนังของเพย์นในยุคหลังว่าเป็นภาพยนตร์บีบน้ำตาสำหรับเพศชาย
ซึ่งก็เป็นความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย แต่ความใส่ใจในมิติตัวละคร
ความละเมียดทางอารมณ์ และความลุ่มลึกในการนำเสนอได้ช่วยยกระดับหนังของเขาให้มีคุณค่าเหนือผลงานเมโลดรามาทั่วไปอยู่หลายขุม
ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนสูงสุด คือ ฉากจบอันเรียบง่าย แต่สุดแสนจะงดงามของหนังเรื่อง Nebraska
ซึ่งคนดูสามารถดื่มด่ำไปกับอารมณ์อิ่มเอิบได้อย่างไม่จบสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น