เป็นเวลานานกว่าทศวรรษที่
แคธลีน บิเกโลว์ ไม่อาจเติมเต็มศักยภาพซึ่งฉายแววเด่นชัดจากหนังเรื่องแรกๆ แล้ววนเวียนอยู่กับการผลิตผลงานที่ไม่น่าจดจำนับจากหนังแอ็กชั่น-ไซไฟอันน่าตื่นเต้นอย่าง
Strange Days เข้าฉายในปี 1995จนกระทั่งเธอสามารถคัมแบ็คได้อย่างเอิกเกริกกับ
The Hurt Locker และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้กำกับหญิงคนแรกที่คว้ารางวัลออสการ์มาครอง
จากนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความสำเร็จดังกล่าวไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดด้วยการสร้างหนังที่ใหญ่ขึ้น
ซับซ้อนขึ้น และทะเยอทะยานขึ้นอย่าง Zero Dark Thirty อันที่จริงตลอดช่วงเวลาดังกล่าว
บิเกโลว์ไม่ได้ปลีกวิเวกไปอาศัยอยู่ในป่าหรืออะไร เธอยังคงกำกับซีรีย์ชุด Homicide
และ Karen Sisco อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่โครงการสร้างหนังของเธอค่อนข้างส่วนตัว
(K-19: The Widowmaker) หรือล้มเหลวในแง่คุณภาพ (The
Weight of Water) เกินกว่าจะประสบความสำเร็จ
ในช่วงเริ่มต้นอาชีพผู้กำกับ
ผลงานกระแสหลักของบิเกโลว์บ่อยครั้งจะโฟกัสไปยังกลุ่มผู้ชายที่นิยมความรุนแรง อาทิ
แก๊งมอเตอร์ไซค์ใน The
Loveless และกลุ่มนักเล่นกระดานโต้คลื่นที่มีอาชีพหลักเป็นโจรปล้นธนาคารใน
Point Break แต่ถึงแม้พวกมันจะเป็นหนังดรามา/แอ็กชั่น คนดูก็ยังสามารถตระหนักถึงกลิ่นอายเฟมินิสต์ได้จางๆ ผ่านนัยยะเชิงโฮโมอีโรติก
หรือการสอดแทรกตัวละครหญิงแกร่งในมาดทอมบอยที่ถนัดการใช้ปืนไม่แพ้พวกผู้ชาย
ความแตกต่างของบิเกโลว์จากผู้กำกับหญิงคนอื่นๆ นอกจากเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าเธอนิยมทำหนังแนว
“แมนๆ” ไม่ใช่พีเรียดดรามา
หรือโรแมนติกคอมเมดี้ ก็คือ เธอมักจะหลีกเลี่ยงการบีบเค้นทางอารมณ์
แล้วนำเสนอทุกเหตุการณ์ด้วยท่าทีจริงจัง หนักแน่น แม้กระทั่งเมื่อตัวละครเอกของเธอเป็นผู้หญิงดังจะเห็นได้จาก
Zero Dark Thirty
โดยปกติแล้วหนังสงครามนิยมจะแสดงจุดยืนด้วยการสะท้อนความไร้สาระของสงคราม
หรือผลกระทบของมันต่อจิตวิญญาณมนุษย์ แต่หนังสงครามของบิเกโลว์กลับไม่พยายามจะบ่งบอกสาระสำคัญใดๆ
เช่นเดียวกับไม่แสดงจุดยืนทางด้านศีลธรรมที่ชัดเจน (ซึ่งนั่นทำให้หนังถูกโจมตีจากหลายด้าน) Zero Dark Thirty ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งดูหนังสารคดีเกี่ยวกับขั้นตอนสืบสวนของตำรวจ
เริ่มจากการสืบเบาะแส เจอทางตัน โดนกดดันจากเบื้องบน
ก่อนสุดท้ายจะลงเอยด้วยการคลี่คลายคดีได้ในที่สุด
บิเกโลว์ขับเคลื่อนเรื่องราวให้เดินหน้าอยู่ตลอดเวลา
กระตุ้นคนดูให้ตระหนักถึงความเสี่ยง ตลอดจนราคาที่ต้องเสียหากภารกิจล้มเหลว
เธอนิยมให้ความสำคัญกับรายละเอียดปลีกย่อยภายใต้สถานการณ์คับขันมากกว่าจะเน้นย้ำผลกระทบในภาพรวม
ทั้ง The Hurt Locker และ Zero Dark Thirty เธอเลือกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสายตาของคนๆ เดียว พวกเขาปราศจากอดีตและอนาคต
ไม่มีชีวิตนอกเหนือไปจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายในสนามรบ พวกเขาเป็นเหมือนเครื่องจักรที่จะไม่ยอมหยุดทำงานจนกว่าร่างกายจะแหลกสลาย
เป็นนักรบที่เหมาะสำหรับการต่อสู้ในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
ทั้งนี้เพราะพวกเขาถูกสร้างมาไม่แตกต่างจากบรรดาผู้ก่อการร้าย พวกเขาโดดเดี่ยว มุ่งมั่น
และบ้าระห่ำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ทักษะการเล่าเรื่องอันช่ำชองของบิเกโลว์ในการลำดับเหตุการณ์
แจกแจกรายละเอียดทีละขั้นตอนช่วยให้คนดูรู้สึกตื่นเต้น และตึงเครียดราวกับได้มีส่วนร่วมไปพร้อมๆ
กับตัวละคร แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลงานของบิเกโลว์ก้าวข้ามความบันเทิงชั้นยอดไปอีกระดับ
คือ วิธีที่เธอถ่ายทอดทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา โดยไม่แสดงทีท่าตัดสิน
หรือเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นฉากทรมานนักโทษอันอื้อฉาวในช่วงต้นเรื่อง
หรือฉากบุกเข้าไปจับตัว อุซามะฮ์ บิน ลาดิน ในช่วงไคล์แม็กซ์ของ Zero Dark Thirty มันช่วยผลักดันให้คนดูทบทวนความรู้สึกของตนต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน
แน่นอนฉากสุดท้ายของหนังให้บรรยากาศของชัยชนะ
แต่บิเกโลว์กลับไม่เชิญชวนให้คนดูได้โห่ร้อง ตะโกนเชียร์เหมือนหนังสงครามทั่วไป
หรือกระทั่งรู้สึกหดหู่ โกรธแค้น เธอเพียงเชิญชวนให้คนดูได้ตระหนักรับรู้
และความรู้สึกอึดอัด ตะขิดตะขวงใจที่เกิดขึ้น (จริงอยู่คนเหล่านั้นเป็นผู้ก่อการร้าย
แต่พวกเขาก็เป็นพ่อและเป็นสามีของคนอีกหลายคน) ก็สะท้อนอารมณ์ร่วมแห่งอเมริกันชนต่อสงครามในครั้งนี้ได้อย่างแจ่มชัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น