ว่ากันว่าในการพบกันครั้งแรก มาร์ติน สกอร์เซซี “หวาดกลัว” เดวิด โครเนนเบิร์ก อยู่ไม่น้อย เพราะภาพลักษณ์อันติดตาจากหนังสยองขวัญอย่าง Rabid หรือหนังชวนสะพรึงผ่านเนื้อหาอันท้าทาย
คาบเกี่ยวเส้นศีลธรรมจนเกือบจะอยู่ในขั้นวิปริตอย่าง Crash และ
Videodrome (นั่นยังไม่รวมถึงหน้าตาภายนอกของโครเนนเบิร์กเองที่ดู
“โรคจิต” ไม่แพ้หนังที่เขาสร้างสักเท่าไหร่)
ปฏิกิริยาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลก และอาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ
หากคุณนิยมทำหนังเกี่ยวกับรักแร้กัดคนให้กลายเป็นซอมบี้ มนุษย์ที่ค่อยๆ กลายร่างเป็นแมลงวันยักษ์
หรือกลุ่มคนที่เกิดอารมณ์ทางเพศจากการขับรถชนกัน เมื่อสกอร์เซซีสารภาพความจริงว่าเขารู้สึกหวาดกลัวกับการต้องมาเจอโครเนนเบิร์กตัวเป็นๆ
คนหลังก็ตอบกลับไปว่า “คุณกำกับหนังอย่าง Taxi
Driver แต่คุณกลับมากลัวผมเนี่ยนะ”
หลังเริ่มต้นสั่งสมชื่อเสียงจากหนังสยองขวัญเกรดบีอย่าง Rabid
และ They Came from Within โครเนนเบิร์กก็กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการกำกับหนังกระแสหลักอย่าง
Scanners, The Fly และ The Dead Zone แต่การยอมรับนับถือในหมู่นักวิจารณ์
“เฉพาะกลุ่ม” ดูจะไล่ตามมาอย่างเชื่องช้าในอีกหลายปีต่อมา
ผ่านการหยิบยกหนัง “ตลาด” อย่างเช่น Videodrome
ซึ่งอาจไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางด้านรายได้สักเท่าไหร่ตอนเข้าฉายครั้งแรก
ขึ้นมาตีความใหม่ แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่ามันนำเสนอเนื้อหาที่ก้ำกึ่ง ท้าทาย
และทะเยอทะยานมากแค่ไหน ขณะเดียวกันผลงานในกลุ่ม “หนังอาร์ต”
ของเขา สร้างจากนิยายซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกตีตราว่า “ไม่สามารถทำเป็นหนังได้” อย่างเช่น Crash และ Naked Lunch ก็เริ่มยกระดับโครเนนเบิร์กจากสถานะ
“ผู้กำกับหนังสยองสำหรับปัญญาชน” ให้กลายเป็นผู้กำกับมือรางวัลแบบเต็มตัว
โดยทุกเรื่องล้วนยังคงเอกลักษณ์อันโดดเด่น นั่นคือ ความหมกมุ่นในเรือนร่างและเนื้อหนังมังสา
ซึ่ง จากปากคำของโครเนนเบิร์กเอง เป็น “ข้อเท็จจริงแรกเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์”
หลายครั้งหนังของเขาจะนำเสนอให้เห็นความขัดแย้งระหว่างร่างกายกับจิตใจ
ร่างกายกับจิตวิญญาณ การปฏิวัติทางด้านร่างกาย การปรับเปลี่ยนทางด้านร่างกาย และการกลายพันธุ์
ไม่ว่าจะโดยขบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
หรือเชื้อโรคจนหลายคนขนานนามให้เขาเป็นบิดาแห่งหนังตระกูล Body Horror ด้วยเหตุนี้ภาพที่คนดูมักจะได้เห็นในของโครเนนเบิร์กก็เช่น
คนสอดวิดีโอเข้าไปในช่องท้อง คนร่วมรักกับบาดแผลตามร่างกาย และคน “เชื่อมต่อระบบ” เพื่อเล่นเกมโดยการเสียบสายเข้าไปในร่างกาย
อย่างไรก็ตามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โครเนนเบิร์กเริ่มถอยห่างจากรูปธรรมของการล่วงละเมิดทางร่างกาย
(แม้ว่าหน้าตา ตลอดจนกิริยาอาการอันบิดเบี้ยวของ คีรา
ไนท์ลีย์ ใน A Dangerous Method จะมีความใกล้เคียงกับการเป็น
Body Horror อยู่ไม่น้อย) แล้วหันมาสำรวจนามธรรมของสิ่งที่เรียกว่าจิตใจ/จิตวิญญาณมากขึ้น พร้อมตั้งคำถามถึงเส้นกั้นบางๆ ระหว่างความดีกับความชั่วผ่านผลงาน
“คู่ขนาน” ที่กวาดเสียงสรรเสริญมาแบบถ้วนทั่วอย่าง
A History of Violence และ Eastern Promises เรื่องหนึ่งเล่าถึงอดีตอาชญากรที่ปรารถนาจะใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนทั่วไป
ส่วนอีกเรื่องเล่าถึงตำรวจที่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในหมู่อาชญากร ความสนใจในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ดึงดูดโครเนนเบิร์กให้มากำกับหนังดรามาย้อนยุคอย่าง
A Dangerous Method ซึ่งพูดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่าง
ซิกมุนด์ ฟรอยด์ กับ คาร์ล ยุง ส่วน Cosmopolis ก็เป็นการย้อนกลับมาสำรวจสังคมยุคใหม่อีกครั้ง ตลอดจนสะท้อนผลกระทบที่มันมีต่อมนุษย์
เช่นเดียวกับหนังอย่าง Videodrome, Crash และ eXistenZ
ก่อนหน้านี้ (การที่ตัวละครเอกใน Cosmopolis
ใช้เวลาเกือบตลอดทั้งเรื่องในรถลีมูซีน ตั้งแต่ติดต่อธุรกิจ ขับถ่าย
ไปจนถึงมีเซ็กซ์ ชวนให้หวนระลึกถึงความผูกพันระหว่างคนกับรถยนต์ใน Crash)
ผลงานในยุคหลังของโครเนนเบิร์กอาจแตกต่างกันไปในแง่โทนอารมณ์
หรือกระทั่งแนวทาง มีทั้งหนังแอ็กชั่น หนังดรามา หนังแก๊งสเตอร์ และล่าสุด Maps
to the Stars จะเป็นผลงานในแนวล้อเลียน/ตลกร้ายเกี่ยวกับความดำมืดของวงการบันเทิงและชื่อเสียง
แต่เขาก็หาได้หันหลังให้กับประเด็น หรือรูปแบบเดิมๆ ที่เคยสนใจเสียทีเดียว
ดังจะเห็นได้จากหนังสั้นชิ้นล่าสุดที่ชื่อ The Nest เล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวซึ่งต้องการจะผ่าตัดเอาเต้านมข้างซ้ายออกเนื่องจากเชื่อว่ามีตัวต่อทำรังอยู่ข้างใน!
มันเป็นความจริง
หรือหญิงสาวเพียงแค่ชื่นชอบการเฉือนชิ้นส่วนในร่างกาย? แล้วตัวละครอีกคนในเรื่องเป็นหมอผ่าตัด
หรือจิตแพทย์กันแน่? เหล่านี้เป็นคำถามที่โครเนนเบิร์กไม่ปรารถนาจะตอบ
แต่ก็สนุกกับการปล่อยให้คนดูจินตนาการกันไปต่างๆ นานา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น