แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้กำกับที่เคยพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุดทางด้านความคิดสร้างสรรค์จาก
Days of
Heaven เมื่อ 36 ปีที่แล้วก่อนอำลาวงการแบบฉับพลันไปนานถึง 2 ทศวรรษ
จะกลับมาคร่ำเคร่งผลิตผลงานในช่วง 10 ปีหลังด้วยอัตราความเร็วระดับ 2 ปีต่อ 1
เรื่อง โดยจนถึงขณะนี้ เทอร์เรนซ์ มาลิค ปิดกล้องหนังใหม่ไปแล้ว 3 เรื่อง
ทั้งหมดล้วนอยู่ในขั้นตอน post-production ซึ่งสำหรับมาลิคนั่นอาจกินเวลาตั้งแต่
1 ปีไปจนถึง 3 ปี เนื่องจากเขาขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างหนัง (เรื่องใหม่) ในห้องตัดต่อ
ส่งผลให้นักแสดงบางคนที่มีบทบาทค่อนข้างมากระหว่างขั้นตอนการถ่ายทำอาจถูกตัดบททิ้งจนแทบไม่เหลือความสำคัญในหนังเวอร์ชั่นสุดท้าย
ดังจะเห็นได้จากชะตากรรมของ เอเดรียน โบรดี้ ใน The Thin Red Line คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ใน The New
World และ ฌอน เพนน์ ใน The Tree of Life
หนังสองเรื่องแรกของมาลิคก่อนเขาจะปลีกสันโดษยังดำเนินตามขนบการเล่าเรื่องแบบคลาสสิก
หรือพูดอีกอย่างคือยังพอจะมีพล็อตให้จับต้องได้พอสมควร โดยสองสิ่งที่โดดเด่นและต่อมากลายเป็น
“เอกลักษณ์” ในหนังมาลิคทุกๆ เรื่อง ได้แก่ การใช้เสียงบรรยาย
(voice over) และงานด้านภาพอันวิจิตรบรรจง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จาก
magic hour (ช่วงเวลาหลังตะวันตกดินแต่ท้องฟ้ายังมีแสงรำไรอยู่) ได้เต็มประสิทธิภาพใน Days of Heaven จนทำให้มันถูกยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ที่สวยงามที่สุดเรื่องหนึ่ง
แต่เมื่อมาลิคหวนกลับมาสร้างหนังอีกครั้งด้วยการดัดแปลงนิยายเรื่อง The Thin
Red Line ของ เจมส์ โจนส์ เขาก็เริ่มล่องลอยออกจากธรรมเนียมปฏิบัติในการเล่าเรื่องมากขึ้น
คราวนี้เสียงบรรยายไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มเรื่องราว หรือความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอีกต่อไป
และบางครั้งก็อาจฟังดูเหมือนเสียงสวดภาวนาเสียมากกว่าดังจะเห็นได้จากฉากเปิดเรื่องของ
The New World ความทะเยอทะยานที่จะทดลองการเล่าเรื่องแบบใหม่ของมาลิคนำไปสู่ผลงานลือลั่น
ซึ่งเรียกเสียงชื่นชมยกย่องได้มากพอๆ กับเสียงก่นด่า กระแนะกระแหนอย่าง The
Tree of Life หนังที่นำเสนอเหตุการณ์ในลักษณะห้วงคำนึงจากกระแสสำนึก
และเรียกร้องให้คนดูปะติดปะต่อ
หรือพยายามเชื่อมโยงเหตุผลตามแต่จินตนาการส่วนตัวจะพาไป
คริสต์ศาสนาถือว่าค่อนข้างทรงอิทธิพลต่อมาลิค
หนังหลายเรื่องของเขาปลุกเร้าบรรยากาศของตำนานในคัมภีร์ไบเบิล
ไม่ว่าจะเป็นการปลีกตัวจากสังคมไปใช้ชีวิตเพียงลำพังในป่าราวกับเป็นมนุษย์เพียงสองคนบนโลกใบนี้ของคู่รักนอกกฎหมายใน
Badlands
หรือฉากฝูงตั๊กแตนบุกโจมตีทุ่งข้าวสาลีใน Days of Heaven ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาณของภาวะสวรรค์ล่มหลังจากอดัมกับอีฟพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหา
ขณะที่ The Tree of Life และ To the Wonder อาจเทียบได้กับบทสวดอ้อนวอนของมนุษย์ต่อพระเจ้า พร้อมทั้งตั้งคำถามว่าเหตุใดโลกโดยรอบจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน
ความไม่เท่าเทียมกัน The Tree of Life ไม่เพียงจะเปิดเรื่องด้วยคำตอบของพระเจ้าโดยอ้างอิงจาก
The Book of Job เท่านั้น แต่มันยังแสดงให้เห็นภาพการกำเนิดโลกและสรรพสิ่งทั้งหลายเพื่อย้ำเตือนว่ามนุษย์นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ
ของภาพรวมอันยิ่งใหญ่ พระเจ้าอาจไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่จะสะท้อนผ่านธรรมชาติรอบตัว
ซึ่งหลายครั้งมักถูกขับเน้นให้มีความสำคัญเหนือวิกฤติของเหล่าตัวละคร เพราะในหนังของมาลิคนั้นกล้องพร้อมจะผละจากเรื่องราว
หรือตัวละครไปโฟกัสฝูงนกบนท้องฟ้า ยอดหญ้าที่เขียวชอุ่ม หรือผีเสื้อที่กำลังบินว่อนได้ตลอดเวลา
หนังของมาลิคมีลักษณะเฉพาะตัวตรงที่พวกมันไม่เพียงพยายามนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับอภิปรัชญา
พลางครุ่นคิด วิเคราะห์ถึงชีวิต รวมไปถึงแก่นสารแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์เท่านั้น
แต่ยังมุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์ สัญชาตญาณ และความทรงจำบางอย่างโดยอาศัยพลังของภาพและดนตรีประกอบ
(ซึ่งมาลิคจะเลือกใช้ดนตรีคลาสสิกเป็นหลัก) เฉกเช่นหนังเงียบในยุคกำเนิดภาพยนตร์
ไม่มีการผูกพล็อตซับซ้อน สร้างปมปัญหาที่รอการคลี่คลาย ในผลงานชิ้นล่าสุดของเขาเรื่อง
To the Wonder บทสนทนาระหว่างตัวละครแทบจะไม่ปรากฏ หรือมีความสลักสำคัญใดๆ
จริงอยู่ว่าคนดูยังสามารถตระหนักเรื่องราวคร่าวๆ ได้ไม่ยากนัก (อย่างน้อยมันก็ไม่ถึงขั้นเป็นหนังทดลองเต็มรูปแบบ)
แต่ในเวลาเดียวกันมาลิคก็เว้นช่องว่างเอาไว้ให้แต่ละคนเติมเต็มรายละเอียด
หรือตีความกันเองตามสะดวก ส่งผลให้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความท้าทาย ความแปลกใหม่ และอัดแน่นไปด้วยอารมณ์
ความรู้สึกที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น