ในระหว่างการกลับมาเยี่ยมเพื่อนซี้ที่โดนเขาหักหลัง
เรนตัน (ยวน แม็กเกรเกอร์) พยายามจะไถ่ถอนความผิดเมื่อ 20
ปีก่อนด้วยการนำเงินส่วนแบ่ง 4,000 ปอนด์ที่เขาขโมยไปมาคืนให้
ไซมอน (จอนนี ลี มิลเลอร์) แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ฝ่ายหลังหายเดือดดาลแม้แต่น้อย
“4,000 ปอนด์ ดอกเบี้ยก็ไม่มี จะเอาไปทำอะไรได้
ซื้อเครื่องย้อนเวลางั้นเหรอ” ขณะเดียวกัน
เพื่อนคนที่เขายกส่วนแบ่งให้เมื่อ 20 ปีก่อนอย่าง สปัด (อีเวน เบรมเนอร์) ก็ไม่ได้ดีใจที่ได้เห็นหน้าเพื่อนเท่าไหร่
แม้เรนตันจะเพิ่งช่วยชีวิตเขาได้ทันจากความพยายามฆ่าตัวตาย “แกคิดว่าขี้ยาอย่างฉันจะเอาเงิน 4,000 ปอนด์ไปทำอะไร”
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงหมาบ้าอย่าง เบ็กบี (โรเบิร์ต
คาร์ไลล์) ซึ่งเฝ้าฝันอยากเชือดคอเรนตันไม่เว้นแต่ละวัน และตั้งแต่ฉากแรกคนดูจะเห็นว่าการใช้เวลา
20 ปีในคุกไม่ได้ช่วยให้เบ็กบีจิตใจสงบ หรือเย็นลงสักนิด
แต่ละคนเลือกจะโทษความเส็งเคร็งของชีวิตในปัจจุบันว่าเป็นผลจากการหักหลังของเรนตันเมื่อ
20 ปีก่อน โดยไม่ทันตระหนักว่าแม้กระทั่งคนที่ขโมยเงินพวกเขาไปเสวยสุขที่อัมสเตอร์ดัมก็หาได้ลงเอยอย่างสุขสันต์
ชีวิตแต่งงานของเรนตันจบลงด้วยการหย่าร้าง ไม่มีลูก ไม่มีงาน ไม่มีเพื่อน ไม่มีแม้กระทั่งที่พักขณะอายุล่วงเลยมา
46 ปี แถมสุขภาพยังเริ่มดิ่งลงเหวอีกต่างหาก
แต่ปัญหาของเรนตันไม่ได้อยู่ตรงความเป็นไปได้ว่าตัวเองอาจอายุสั้น
หรือตายก่อนวัยอันควร ตรงกันข้ามเมื่อหมอผ่าตัดหัวใจแก้ไขข้อผิดพลาดได้สำเร็จ
พร้อมกับแจ้งข่าวดีว่าหัวใจเขาจะแข็งแรงเหมือนใหม่ ใช้ต่อไปได้อีก 30 ปี คำถามที่ตะโกนก้องในหัวเรนตันคือ “กูจะอยู่ทำอะไรอีกตั้ง
30 ปี”
ถ้าฉากจบของ
Trainspotting
อาจมีนัยยะคลุมเครือในจุดมุ่งหมาย
เนื่องจากมันผสมปนเประหว่างความรู้สึก แฮปปี้ เอ็นดิ้ง (ตัวเอกหลบหนีจากชีวิตติดยา/อาชญากรรมได้สำเร็จด้วยการขโมยเงินสกปรกจากเพื่อนๆ) กับความเยาะหยัน
(เขาได้หวนกลับไปสู่ชีวิตแบบที่เขาเคยปฏิเสธ/แปลกแยก) ฉากเปิดเรื่องของ T2 Trainspotting ดูจะช่วยเคลียร์ความเข้าใจได้ทันทีว่ามันโน้มเอียงมาทางอย่างหลังมากกว่า
เพราะการ “เลือกชีวิต” ของ มาร์ค
เรนตัน หาได้หมายถึงความสุขตลอดไป และที่น่าขำขื่นยิ่งขึ้น คือ เขาหัวใจวายขณะกำลังวิ่งอยู่บนสายพายในฟิตเนส
ขณะกำลังใช้ชีวิตในแบบพิมพ์นิยมของชนชั้นกลาง แตกต่างจากชีวิต “ขบถ” ขี้ยาอย่างที่เขาเป็นมาในช่วงวัยรุ่น (การตัดสลับช็อตสุดท้ายของหนังภาคแรกเข้ามาไม่เพียงจะช่วยเชื่อมโยงตัวละครหลังเวลาผันผ่านไป
20 ปีเท่านั้น แต่ยังช่วยสานต่อเรื่องราวด้วยว่ามาร์คลงเอยใช้ชีวิตตามที่เสียงวอยซ์โอเวอร์ของเขาบอกคนดูเอาไว้ในตอนจบของ
Trainspotting จริง)
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ามาร์คจะมีชีวิตที่ดีกว่า
หากเขาไม่ได้เลือกหักหลังเพื่อนแล้วกลับตัวกลับใจเป็นคนดี มีงานมีการทำ
มีทีวีจอใหญ่ เครื่องซักผ้า รถยนต์ ฯลฯ ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในกรณีของสปัด
ซึ่งไม่อาจสลัดหลุดจากอำนาจของยาเสพติด จนสุดท้ายก็ต้องเสียงาน ลูกเมีย
และกำลังมุ่งหน้าสู่ความตายก่อนเรนตันจะโผล่มาทำลายแผน ดูเหมือนไม่ว่าคุณจะเลือกชีวิต
หรือเลือกผลาญชีวิต สุดท้ายหายนะและความผิดหวังย่อมหาคุณจนเจอในที่สุด
T2
Trainspotting ดัดแปลงคร่าวๆ จากนิยายของ เออร์วิน เวลช์ เรื่อง
Porno ซึ่งเป็นภาคต่อของ Trainspotting เล่าถึงชีวิตของตัวละครต่างๆ หลังเวลาผ่านไป 10 ปี
แต่ในเวอร์ชั่นหนังของ แดนนี บอยล์ เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังภาคแรกถึง 20
ปีตามเวลาจริง (Trainspotting ออกฉายเมื่อ 21
ปีที่แล้ว) ฉะนั้นมาร์คกับผองเพื่อนจึงก้าวย่างเข้าสู่วัยกลางคนเต็มตัว
และต่างพบว่าชีวิตไม่ได้ดำเนินไปตามที่คาดหวังไว้ ความบ้าดีเดือด
อิสรภาพแห่งวัยหนุ่มพลุ่งพล่านที่ไม่สนใจกฎ หรือธรรมเนียมปฏิบัติถูกแทนที่ด้วยความเศร้า
อาการติดแหง็กอยู่กับอดีตดังจะเห็นได้จากการยืนกรานให้ลูกชายเจริญรอยตามเส้นทางโจรของเบ็กบี
โดยไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มวางแผนจะลงเรียนการโรงแรมในวิทยาลัย และไม่อยากสืบทอด “กิจการ” ครอบครัว แต่แน่นอนว่าเบ็กบีไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านใดๆ
และสุดท้ายภารกิจยกเค้าครั้งแรกของสองพ่อลูกก็จบลงอย่างน่าผิดหวัง ไม่ต่างจากความพยายามจะมีเซ็กซ์ระหว่างเบ็กบีกับภรรยา
ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคนที่ใช้เวลาอยู่ในคุกนานสองทศวรรษจะยึดมั่นอยู่กับอดีต
แต่ในแง่หนึ่งมาร์คเองก็ไม่ต่างจากเบ็กบีสักเท่าไหร่ เขาไม่อาจเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อัมสเตอร์ดัมได้
และสุดท้ายก็ต้องกลับมาเผชิญหน้าภูติผีแห่งอดีตที่เอดินบะระ
โดยภูติผีเชิงสัญลักษณ์ถูก แดนนี บอยล์ ถ่ายทอดเป็นรูปธรรมชัดเจนในฉากที่เงาของแม่มาร์คทาบทับผนังบ้านเหมือนเธอกำลังนั่งร่วมโต๊ะอาหาร
ขณะพ่อเขาเล่าว่าทุกอย่างในห้องนอนมาร์คถูกแช่แข็งไว้เหมือนเดิมเพราะคุณนายเรนตันเชื่อว่าสักวันลูกชายจะต้องกลับมา
ซึ่งก็เป็นจริง เพียงแต่เธอไม่มีโอกาสได้อยู่เห็นวันนั้น
ในฉากหนึ่ง
มาร์คพาสปัดไปวิ่ง พร้อมกับเสนอแนะให้เขาเปลี่ยนถ่ายอาการเสพติดจากโคเคน
หรือเฮโรอีนไปยังสิ่งอื่น เพราะขี้ยาระดับฮาร์ดคอร์อย่างพวกเขาไม่มีวันหยุดไปดื้อๆ
โดยไม่มีสิ่งอื่นให้ยึดเหนี่ยว ให้เสพติดแทนและควบคุมมันได้
หลายคนเลือกที่จะวิ่งออกกำลังกาย หรือชกมวย หรืออย่างอื่นแล้วแต่ต้องการ
เมื่อสปัดถามว่าเขาเลือกอะไร คำตอบของเขาคือ “หลบหนี” แต่หลบหนีจากอะไร
เขาไม่ได้อธิบายต่อ สภาพแวดล้อมอันหดหู่? ชีวิตขี้ยา?
ความผิด/รู้สึกผิด? ถ้าเหล่าโปรเตสแตนต์ที่ถูกมาร์คกับไซมอนขโมยบัตรเครดิตไปรูดลุ่มหลงอยู่กับชัยชนะแสนหวานเมื่อหลายร้อยปีก่อน
จนไม่อยากตื่นมาเผชิญความจริงในโลกสมัยใหม่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร มาร์คเองก็ติดแหง็กไม่ต่างกัน
แต่ในวังวนของการพยายามวิ่งหนีจากฝันร้าย จากอดีตอันขมขื่น
กระนั้นท่ามกลางประสบการณ์เลวร้าย
เช่น การตายของทอมมี ซึ่งมาร์คก็มีส่วนรับผิดชอบ ในระหว่างช่วงเวลาแห่งการเผาผลาญวัยเยาว์ไปกับพฤติกรรมไร้แก่นสาร
เช่น เสพเฮโรอีน ชีวิตของมาร์คในเอดินบะระกลับเปี่ยมความหมาย หยั่งรากลึกกว่า 20 ปีในอัมสเตอร์ดัม
ซึ่งท้ายที่สุดปลดเปลื้องเขาให้เหลือเพียงกระเป๋าเล็กๆ หนึ่งใบ
ไม่แตกต่างจากตอนที่เดินทางไปพร้อมกระเป๋าใส่เงิน 12,000 ปอนด์
และความหวังที่จะลงหลักปักฐาน สร้างชีวิตใหม่ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ที่นั่น ไม่มีเยื่อใยหลงเหลือ
ตรงข้ามกับมิตรภาพและความรักของครอบครัวที่ยังรอคอยเขาอยู่เสมอในเอดินบะระ
แม้ว่าเพื่อนบางคนอาจต้อนรับด้วยกำปั้นแทนอ้อมกอดในช่วงแรก เนื่องจากเคยถูกมาร์คหักหลัง
แต่จนแล้วจนเล่าสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแน่นแฟ้นเกินกว่าจะตัดขาด
ภาพเปรียบเทียบระหว่างประสบการณ์เฉียดตายของมาร์ค
(ในฟิตเนสท่ามกลางคนแปลกหน้า) กับสปัด (ในอ้อมแขนของเพื่อนที่คอยรับเขาไว้ไม่ให้ร่วงหล่น) พิสูจน์ให้เห็นว่าทำไมมาร์คถึงตัดสินใจอยู่ช่วยไซมอนปั้นฝันในการดัดแปลงบาร์ร้างคนให้กลายเป็นซ่องชั้นสูง
(หรือที่เขาเรียกว่า “ซาวน่า”) มันไม่ใช่เพราะเขาไม่เหลือทางเลือกอื่นที่ดีกว่าเท่านั้น
แต่เป็นเพราะเขาอยากจะทำเพื่อเพื่อนที่สนิทที่สุดเพียงคนเดียวของเขา
หนังไม่เพียงเป็นการทบทวนความหลังระหว่างมาร์คกับไซมอนเท่านั้น
แต่ยังเป็นเหมือนเครื่องย้อนเวลาสำหรับนักดูหนังในยุค 90 อีกด้วย
อารมณ์ “ถวิลหาอดีต” ที่ไซมอนกล่าวหามาร์คตอนพวกเขาเดินทางไปไว้อาลัยให้กับทอมมี
อาจใช้อธิบายตัวหนัง T2 Trainspotting ควบคู่ไปด้วยในคราวเดียวกัน
แดนนี บอยล์ พยายามปลุกวิญญาณของหนังภาคแรกด้วยวิธีหลากหลาย
ตั้งแต่แบบตรงไปตรงมาอย่างการหยิบหลายฉากจำสุดคลาสสิกมาฉายซ้ำ เปรียบเทียบ นำเพลง ซึ่งเป็นนิยามของหนังภาคแรกอย่าง
Lust for Life ของ อิกกี้ ป็อป มาเปิดซ้ำ
ไปจนถึงวิธีที่ยอกย้อนขึ้นหน่อยอย่างการใช้เทคนิคภาพคุ้นตา (ฟรีซ
เฟรม, กล้องมุมเอียง) หรือการเลือกให้เบ็กบีเผชิญหน้ากับมาร์คในห้องน้ำ
ซึ่งทำให้คนดูย้อนนึกไปถึงฉากมุดโถส้วมอันลือลั่นในภาคแรก
แน่นอนอายุที่เพิ่มมากขึ้นของทีมงาน
ของตัวละครย่อมทำให้อารมณ์โดยรวมของหนังย่างเข้าใกล้ความหม่นเศร้า
หดหู่มากกว่าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังคึกคัก หรือวิญญาณขบถเหมือนในภาคแรก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังจะแร้นแค้นอารมณ์ขันเสียทีเดียว (ส่วนใหญ่มักตกอยู่บนบ่าของสปัดกับเบ็กบีเป็นหลัก)
ขณะเดียวกัน บอยล์ก็พยายามพิสูจน์อย่างเต็มที่ว่าเขาไม่ใช่ตาแก่ที่หลงลืมความกระฉับกระเฉงแห่งวัยเยาว์
ผ่านมุมกล้องหวือหวาและการตัดภาพแบบฉับไว ซึ่งถือเป็นเครื่องหมายการค้าของเขามานานนม
(เขาคงเป็นผู้กำกับคนเดียวที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายที่ตกลงไปติดอยู่ในซอกหินจนต้องเลื่อยแขนตัวเองทิ้งเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยการเคลื่อนกล้อง
ตัดภาพสุดสวิงสวายยิ่งกว่าหนังแข่งรถ) แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่
หรือน่าตื่นตาเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนอีกต่อไป
แง่มุมวิพากษ์สังคมสมัยใหม่
หรือระบบทุนนิยมที่เคยเข้มข้น ให้อารมณ์เสียดสีเยาะหยันในภาคแรกถูกลดทอนลงจนเกือบจะเป็นศูนย์
(ซึ่งก็ไม่น่าแปลกอีกเช่นกันเพราะคนเราเมื่อเริ่มแก่ตัว อายุมากขึ้น
อุดมการณ์ที่เคยร้อนแรงเดือดพล่านก็มักจะค่อยๆ ดับลง) แม้จะยังหลงเหลือกลิ่นอายอยู่บ้างเมื่อมาร์คอธิบายความหมายของวลี
“เลือกชีวิต” ให้ เวโรนิกา (แอนเจลา เนดยัลโควา) ฟัง (“เลือกเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ สแนปแชต อินสตาแกรม และอีกหลายพันวิธีเพื่อก่นด่าคนที่คุณไม่เคยรู้จัก
เลือกอัพเดทโปรไฟล์ บอกให้โลกรู้ว่าคุณกินอะไรมื้อเช้าและหวังว่าจะมีใครสักคน ณ
ที่ไหนสักแห่งสนใจ...ปฏิสัมพันธ์ถูกลดค่าให้เหลือเพียงแค่ข้อมูล”)
โดยรวมแล้ว
T2
Trainspotting มีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมาขึ้นทั้งในแง่เนื้อหาและอารมณ์
น่าสนใจว่าบอยล์กับแม็กเกรเกอร์อาจจะอินเรื่องราวในหนังเป็นพิเศษ ซึ่งโฟกัสไปยังการปรองดอง
การหันกลับมาเผชิญหน้าอดีตอันขมขื่น เพราะเพิ่งจะผ่านประสบการณ์ในทำนองเดียวกับมาร์คและไซมอน
ทั้งสองเป็นคู่หูดารา-ผู้กำกับที่สนิทสนมกลมเกลียวกันตลอดหนังสามเรื่อง
(Shallow Grave, Trainspotting, A Life Less Ordinary) จนกระทั่ง
The Beach สร้างรอยร้าวที่กินเวลายาวนานนับ 10 ปี (แม็กเกรเกอร์ถูกหลอกล่อให้เชื่อว่าเขาจะได้รับบทนำ
แต่สุดท้ายบอยล์กลับมอบบทนี้ให้กับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกหาก T2 Trainspotting จะเดินหน้าไปสู่ตอนจบแบบ
แฮปปี้ เอ็นดิ้ง (เช่นเดียวกับชีวิตจริงของบอยล์และแม็กเกรเกอร์)
โดยไม่แฝงนัยยะเยาะหยันใดๆ เวโรนิกาได้กลับไปหาลูกน้อย
สปัดเลือกวิธีเลิกยาด้วยการถ่ายทอดชีวิตลงในงานเขียนแทนการชกมวย เบ็กบีถูกส่งกลับคุกซึ่งเหมาะกับเขา
และมาร์คย้ายไปอยู่ในห้องเดิม ล้อมรอบด้วยวอลเปเปอร์ลายรถไฟเดิมๆ และเปิดเพลงเดิมๆ
ฟังอีกครั้ง ขณะภาพอดีตถูกตัดแวบเข้ามาเปรียบเทียบ... ชีวิตของ มาร์ค เรนตัน
อาจวนกลับมายังจุดเดิม แต่อย่างน้อยเขาก็หยุดวิ่งหนีแล้ว