เมื่อพูดถึงความสำเร็จระดับตำนานของ
The Sound
of Music (1965) ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอเมริกาเป็นอันดับ
3 (หลังปรับค่าเงินเฟ้อ) รองจาก Gone
with the Wind (1939) และ Star Wars (1977) สองปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามคือ
จูลี แอนดรูว์ส และทีมนักแต่งเพลงละครบรอดเวย์ ริชาร์ด ร็อดเจอร์ส
กับ ออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ คนแรกเป็นนักแสดงนำหญิงที่สวมบทบาทตัวละครมาเรียได้อย่างมีชีวิตชีวา
น่าเชื่อถือ ทำให้คนดูสามารถกล้ำกลืนพล็อตเรื่องซึ่งค่อนไปทางคลองแสนแสบและทุ่งดอกทิวลิปได้คล่องคอขึ้น
ขณะที่สองคนหลังเป็นผู้รังสรรค์เพลงฮิตติดหูในหนัง
ซึ่งคนทั่วโลกหลงรักและสามารถร้องตามได้อย่างขึ้นใจ
ภาพจำของ The Sound of Music
สำหรับเด็กรุ่นใหม่น่าจะเป็นฉากเปิดเรื่องที่มาเรียหมุนตัว
ผายมือร้องเพลงอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวชะอุ่มบนเนินเขา โดยภาพนิ่งของฉากดังกล่าวถูกนำมาใช้แทนนิยามของคำว่า
“โลกสวย” ในยุคอินเทอร์เน็ต
ซึ่งหากมองจากพล็อตหลักของหนังที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย (แม่ชีได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กในคฤหาสน์ของนายทหารหนุ่มใหญ่รูปหล่อ
ร่ำรวย เธอกลายเป็นที่รักของเด็กๆ สอนพวกเขาร้องเพลง พร้อมกับขโมยหัวใจของพ่อหม้ายหนุ่มมาครองในที่สุด) นิยามดังกล่าวก็อาจถือว่าไม่ห่างไกลจากความจริงมากนัก
แต่นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของหนังเท่านั้น
แม้จะเป็นครึ่งที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบและจดจำได้เป็นหลักก็ตาม ทั้งนี้เพราะ The Sound of Music หาได้จบลงตรงงานแต่งของมาเรียกับ
เกออร์ก ฟอน แทรป (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) แต่ยังคืบคลานไปยังซอกหลืบที่ขมขื่น มืดหม่นอีกด้วย
เมื่อลัทธินาซีเริ่มแผ่อิทธิพลครอบงำประเทศออสเตรีย คนดูตระหนักถึงโทนอารมณ์โดยรวมที่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ตึงเครียด ไม่เพียงจากจำนวนเพลงที่ลดน้อยลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฉากกลางคืนที่เพิ่มขึ้น
และถ่ายทำโดยเน้นแสงเงาเด่นชัด ส่งผลให้งานเทศกาลดนตรีในตอนท้ายขาดสีสัน
ชีวิตชีวาเหมือนฉากร้องเพลงในช่วงครึ่งแรก (การที่ตัวละครร้องซ้ำเพลงเดิมยิ่งเทียบให้เห็นความแตกต่างเด่นชัด) ตรงข้ามกับฉากกลางคืนในช่วงครึ่งแรก (เพลง Sixteen
Going On Seventeen และ Something Good) ที่มักจะถูกลดทอนคอนทราสต์ผ่านการใช้
ซอฟต์ โฟกัส ซึ่งสะท้อนอารมณ์ฟุ้งฝัน โรแมนติกได้ดีกว่า
ครึ่งแรกมาเรียคือตัวละครหลักที่ขับเคลื่อนเรื่องราว
เธอเป็นเหมือนตัวแทนของปัจเจกนิยม ใฝ่หาอิสรภาพ ปฏิเสธที่จะถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่เธอจะกลายเป็นตัวปัญหาเมื่อต้องมาอยู่ในคอนแวนต์ ซึ่งเต็มไปด้วยกฎระเบียบ
จนสร้างอาการปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเหล่าแม่ชีทั้งหลาย (“เราจะไขว่คว้าเมฆให้หยุดนิ่งได้อย่างไร”)
เช่นเดียวกัน บ้านตระกูล ฟอน แทรป ก็ขับเคลื่อนอย่างเคร่งครัดด้วยวินัยและข้อห้ามไม่ต่างจากในกองทัพ
หรือคอนแวนต์ จึงไม่แปลกที่มาเรียจะประสบปัญหาในการเดินตามคำสั่ง เธอท้าทายกฎของกัปตันฟอน
แทรปตั้งแต่นาทีแรกด้วยการปฏิเสธที่จะใช้นกหวีดเป่าเรียกเด็กๆ ก่อนจะแหกกฎอีกหลายข้อ
ซึ่งเธอเห็นว่าไม่สมเหตุสมผลในเวลาต่อมา แต่ปัญหาของมาเรีย คือ
เธอปรารถนาและดิ้นรนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน (แม่ชี)
แม้ว่ามันจะขัดกับความต้องการลึกๆ ภายใน นั่นเป็นเพราะเธอเติบโตมาในโลกที่ปิดแคบ
และมองไม่เห็นทางเลือกอื่นใด
ชัยชนะของมาเรียหาใช่แค่การชนะใจเด็กๆ
ด้วยเสียงเพลง ความรัก ความเอาใจใส่ แล้วหลอมละลายความแข็งกระด้างของกัปตันฟอน
แทรป ช่วยให้เขากลับมาเป็นพ่อของลูกๆ อีกครั้ง แต่ยังรวมไปถึงการเรียนรู้ที่จะอ้าแขนต้อนรับความฝัน/ตัวตนที่แท้จริง (Climb Every Mountain) อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ในฉากงานแต่งเพลง Maria จึงถูกร้องบรรเลงขึ้นอีกครั้ง
เพราะนี่ไม่ใช่แค่บทสรุปความรักที่สมหวังเท่านั้น แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองปัจเจกภาพอีกด้วย
แต่หากจะมีเพลงใดที่เปี่ยมความสำคัญสูงสุดในหนัง
เพลงนั้นคงหนีไม่พ้น Edelweiss เพราะมันช่วยเชื่อมโยงครึ่งแรกกับครึ่งหลังของหนังได้อย่างหมดจด
และถือเป็นความชาญฉลาดของคนเขียนบท เออร์เนส เลห์แมน ที่ตัดสินใจปรับเปลี่ยนจากเวอร์ชั่นละครเพลงด้วยการนำเพลงนี้มาใส่ไว้ครั้งแรกช่วงกลางเรื่อง
มันเป็นเพลงที่ทำให้กัปตันฟอน แทรปรำลึกได้ว่าครอบครัวเขาเคยมีความสุขแค่ไหน
มาเรียนำเสียงเพลงกลับมายังครอบครัวฟอน แทรปอีกครั้ง และช่วยทลายกำแพงที่กัปตันฟอน
แทรปสร้างขึ้นหลังจากเขาสูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รักไป กำแพงที่ปิดกั้นเขาจากลูกๆ
เรื่องราวในครึ่งแรกของหนังจึงลงเอยด้วยความสุขสมหวัง เมื่อครอบครัวฟอน
แทรปกลับมาครบถ้วน สมบูรณ์อีกครั้ง
กระนั้น Edelweiss กลับเป็นเพลงที่อบอวลด้วยอารมณ์หวานปนเศร้า
สาเหตุสำคัญก็เพราะมันสะท้อนให้เห็นบทสรุปของหนังในช่วงครึ่งหลังไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นดอกเอเดลไวส์ในเพลงจึงไม่เพียงเป็นการหวนรำลึกถึงอดีตครอบครัวแสนหวาน
แต่ยังหมายความถึงประเทศออสเตรียที่กำลังจะกลายเป็นอดีตจากภัยคุกคามของนาซีอีกด้วย
โดยในช่วงครึ่งหลังมาเรียถูกผลักให้หลบไปอยู่เบื้องหลัง ขณะที่กัปตันฟอน
แทรปก้าวขึ้นมาเป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราวแทน
ทัศนคติของเขาต่อลัทธินาซีได้รับการสนับสนุนจากมาเรีย แต่ความพยายามของเขาที่จะหยุดยั้งเพื่อนร่วมชาติไม่ให้อ้าแขนต้อนรับนาซีกลับต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
ดังนั้นความหมายของ Edelweiss ในฉากเทศกาลเพลงจึงแตกต่างจากในช่วงกลางเรื่อง
มันสื่อแทนประเทศบ้านเกิดที่เขากำลังจะสูญเสีย และสุดท้ายก็ต้องโบกมือลาในที่สุด
ถ้าชัยชนะของมาเรียปิดท้ายด้วยความยิ่งใหญ่ของพิธีแต่งงานในโบสถ์
ความพ่ายแพ้ของเกออร์กก็ได้รับการตอกย้ำด้วยบทสรุปอันน่าเศร้าของสัมพันธ์รักระหว่างวัยรุ่นหนุ่มสาว
ลีเซล (ชาร์เมียน คาร์) กับ รอล์ฟ (เดเนียล ทรูฮิตต์) ซึ่งยั่วล้อเป็นคู่ขนานกับโรแมนซ์ของผู้ใหญ่ทั้งสองคน
อย่างไรก็ตาม
หนังเลือกจะไม่รุมเร้าคนดูด้วยความขมขื่น มืดหม่นจนเกินไป ประกายความหวังปรากฏให้เห็นในรูปของการประสานเสียงร้องเพลง
Edelweiss ของผู้ชมในโรงละคร
ความช่วยเหลือที่ครอบครัวฟอน แทรปได้รับในการหลบหนี ก่อนหนังจะปิดท้ายด้วยความสดใส
สุกสว่างขณะครอบครัวฟอน
แทรปเดินขึ้นเขาเพื่อหนีไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์พร้อมเสียงเพลง Climb
Every Mountain ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง มันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้เนื้อเพลงกลายเป็นรูปธรรมและยังสะท้อนความหวัง
ความรื่นรมย์ของฉากเปิดเรื่องไปในตัว (ในชีวิตจริงครอบครัวฟอน
แทรปนั่งรถไฟไปยังอิตาลีโดยไม่มีใครพยายามขัดขวาง หรือตามล่า)
มองในแง่นี้จะพบว่าบางทีอีกหนึ่งสาเหตุที่
The Sound of Music ประสบความสำเร็จอย่างสูง
ทำให้ผู้คนทั่วโลกซาบซึ้ง ประทับใจ อาจไม่ใช่แค่เรื่องเปลือกนอกอย่างบทเพลงแสนไพเราะ
หรือวิวทิวทัศน์อันงดงามเท่านั้น แต่เป็นสารแห่งความหวังตรงแก่นกึ่งกลางของหนัง
จากการฟันฝ่าอุปสรรคจนค้นพบและยอมรับในตัวเอง ไปจนถึงพลังของเสียงเพลงและความรักที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในชีวิต
การนั่งดู The Sound of Music ในปี 2016 ปลุกอารมณ์ถวิลหาอดีตได้ไม่น้อย (ตัวหนังเองก็สะท้อนอารมณ์ดังกล่าวอยู่แล้วจากฉากหลังของหนังซึ่งดำเนินเหตุการณ์
ตามคำบรรยายต้นเรื่อง ในช่วง “วันชื่นคืนสุขสุดท้ายของทศวรรษ
1930”) ภาษาหนัง ตลอดจนเทคนิคบางอย่างอาจดูเชย หรือพ้นยุคพ้นสมัยไปบ้างเมื่อเทียบกับรสนิยมการทำหนังในปัจจุบัน
แต่น่าสนใจว่าเนื้อหาบางอย่างกลับคงความ “ร่วมสมัย” ได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะความรักบนความแตกต่างระหว่างมาเรียกับกัปตันฟอน
แทรป แม้หลายคนจะวิพากษ์ว่าหนังสะท้อนอุดมคติอนุรักษ์นิยมแบบอเมริกันในยุคสงครามเย็น
ไม่ว่าจะเป็นการเชิดชูวิถีชีวิตชนบท อิทธิพลของศาสนา ความสำคัญของสถาบันครอบครัว รวมถึงตำนานความสำเร็จของเหล่าผู้อพยพผ่านเรื่องราวในรูปแบบของนิทานซินเดอเรลลา
กัปตันฟอน แทรปถูกนำเสนอในฐานะตัวแทนจากอดีต
เขาดำรงสถานะเจ้าขุนมูลนายในประเทศที่ปราศจากราชวงศ์
มีตำแหน่งทหารเรือในประเทศซึ่งปราศจากพื้นที่ติดทะเล (หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) เขาเป็นตัวแทนเศษเสี้ยวอนุรักษ์นิยมจากยุคอาณาจักรรุ่งเรือง
อารมณ์โหยหาภรรยาที่จากไปและความรุ่งโรจน์ของออสเตรียในอดีตทำให้ เกออร์ก ฟอน แทรป
หลบหนีไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของบารอนเนส เอลซา (เอเลนอร์ พาร์คเกอร์)
สาวสังคมร่วมชนชั้นสูงจากเวียนนา ซึ่งไม่แยแสลูกๆ ของเขา แต่ดูจะหลงรักเขาด้วยความจริงใจ
การจับคู่กันของทั้งสองปลุกกระตุ้นความคุ้นเคย ดำรงรักษาความต่อเนื่องทั้งด้านไลฟ์สไตล์และตัวตนทางสังคม
ในทางตรงกันข้าม
มาเรียเปรียบได้กับตัวแทนชาวบ้านระดับล่าง ซึ่งใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ ขุนเขา
ทุ่งหญ้า และศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก เธอผูกติดกับดนตรีโฟล์กพื้นบ้าน (กีตาร์โปร่งเป็นเครื่องดนตรีประจำตัวเธอ)
หาใช่ดนตรีชั้นสูง ซึ่งแทนสัญลักษณ์ด้วยเปียโนกับวงออร์เคสตราแบบในยุคโมสาร์ทครองซาลซ์บูร์ก
(ในฉากหนึ่งบารอนเนสแอบประชดเมื่อเห็นเกออร์กร้องเพลงโฟล์กให้ลูกๆ
ฟังว่า “ทำไมไม่บอกกันก่อน ฉันจะได้พกหีบเพลงมาด้วย”)
เกออร์กตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตร่วมกับมาเรียในท้ายที่สุด
เพราะเธอฉุดรั้งเขาให้อยู่กับปัจจุบัน กับความเป็นจริง แทนที่จะหลุดลอยเข้าสู่อดีตซึ่งไม่อาจเรียกคืนมาได้
มันอาจไม่ใช่การปฏิวัติ แต่ก็สามารถเรียกว่าเป็นวิวัฒนาการได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ที่สำคัญ การผสมผสานระหว่างชนชั้นล่างกับชนชั้นสูง ระหว่างชนบทกับเมืองใหญ่ยังเปรียบเสมือนการ
“หลอมรวม” แทนการ “แบ่งแยก” ซึ่งสอดคล้องและเน้นย้ำแก่นต่อต้านลัทธินาซี ซึ่งเชิดชูความยิ่งใหญ่ของชนชาติอารยัน
พร้อมกำจัดความแตกต่างทุกชนิด ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ฉากร้องเพลง Edelweiss
ในช่วงท้ายเรื่องจึงเปี่ยมความนัย ตลอดจนอารมณ์ยิ่งใหญ่หลายระดับด้วยกัน
ทั้งจากเนื้อเพลงเกี่ยวกับดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ที่มักจะขึ้นอยู่ตามเทือกเขาสูง
และจากการร้องคู่กับกีตาร์โปร่งตัวเดียวต่อหน้าวงออร์เคสตราขนาดใหญ่
ความพยายามจะสร้างตัวตนของสาธารณรัฐออสเตรีย
ขณะที่คนส่วนใหญ่มองว่ามันคือส่วนหนึ่งของเยอรมนี
เป็นจุดก่อกำเนิดแนวคิดชาตินิยมในระหว่างช่วงปี 1934-1938
โดยมีแก่นหลักว่าออสเตรียเป็น “เยอรมันที่ดีกว่า”
ต่อต้านลัทธินาซี และสนับสนุนให้มีการหลอมรวมวัฒนธรรมมวลชน
เข้ากับรากเหง้าแห่งราชวงศ์ รวมถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งทำให้ออสเตรียในอดีตแตกต่างจากเยอรมนี
เกออร์ก ฟอน แทรปเปรียบดังตัวแทนแนวคิดดังกล่าว (เขาแขวนธงชาติออสเตรียในห้องบอลรูม
ก่อนต่อมาจะฉีกธงสัญลักษณ์สวัสติกะทิ้ง) พันธมิตรของเขาหาใช่แค่มาเรียเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงแม็กซ์ (ริชาร์ด ไฮดิน) เพื่อนนักฉวยโอกาสและค่อนข้างโลภ
ซึ่งรูปลักษณ์และคุณลักษณะดังกล่าวทำให้เขาสามารถเทียบเคียงได้กับชาวยิวในออสเตรีย
แต่เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ แนวคิดดังกล่าวล่มสลายไปพร้อมกับการบุกรุกของนาซี
ซึ่งชาวออสเตรียหลายคนอ้าแขนต้อนรับ ดังจะเห็นได้จากปฏิกิริยาของ เซลเลอร์ (เบน ไรท์) รอล์ฟ หรือพ่อบ้าน ฟรานซ์ (กิล สจ๊วต)
ท่ามกลางกระแส
Brexit ปัญหาผู้อพยพ และความนิยมชมชอบในตัว โดนัลด์ ทรัมป์
ดูเหมือนเราจะกลับมาเผชิญหน้าวิกฤติเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า อังกฤษเริ่มต้นด้วยการก้าวเท้าข้างหนึ่งไปสู่การแบ่งแยกแทนที่จะหลอมรวม
พวกเขายึดติดกับอดีตอันรุ่งเรืองแทนที่จะดำรงอยู่กับปัจจุบัน อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เรามารอดูกันว่าอเมริกาจะเลือกเดินไปทางไหน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น