วันเสาร์, พฤษภาคม 19, 2561

Oscar 2018: Best Supporting Actor


แซม ร็อคเวล (Three Billboards Outside Ebbing, Missouri)

หลังจากเล่นหนังมาแล้วมากกว่า 50 เรื่อง ตั้งแต่ Confessions of a Dangerous Mind จนถึง Matchstick Men และ Moon ในที่สุด แซม ร็อคเวล นักแสดงวัย 49 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่ในแมนฮัตตันกับแฟนสาวนักแสดง เลสลี บิบบ์ ก็มีโอกาสจะคว้ารางวัลออสการ์มาครองเป็นครั้งแรกจากบทบาทการแสดงใน Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ซึ่งเขารับบทเป็นนายตำรวจเหยียดสีผิวที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่ลึกๆ กลับซ่อนแง่มุมอ่อนแอบางอย่างไว้ข้างใน เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรกับเทศกาลรางวัล ร็อคเวลตอบว่า “ก็สนุกดี ผมปลาบปลื้มที่ได้ร่วมสังสรรค์กับนักแสดงที่ผมเทิดทูนอย่าง แกรี โอลด์แมน มันสุดยอดมาก หรือ ทอม แฮงค์ ซึ่งผมเคยร่วมงานด้วย เมอรีล สตรีพจูดี้ เดนช์... อ้อ ผมยังได้เต้นกับ จัสติน ทิมเบอร์เลค ด้วยเหล่าแฟนหนังต่างรู้ดีว่าร็อคเวลเองก็เป็นขาแดนซ์ เคยโชว์สเตปอยู่หลายครั้งจนมีคนตัดต่อคลิปรวมลีลาการเต้นของเขาไว้ “ใช่ ผมพอเต้นได้ แต่ไม่เก่งเท่าจัสตินหรอกจากนั้นเขาก็เล่าว่าได้พูดคุยอะไรกับทิมเบอร์เลคบ้าง “เราคุยกันเรื่อง บ็อบ ฟอสซี ซึ่งผมกำลังจะสวมบทบาท จัสตินรู้เรื่องเขาเยอะเลย

นี่ไม่ใช่การร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างร็อคเวลและนักเขียนบทละครเชื้อสายไอริชที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ มาร์ติน แม็คโดนาห์ เขาเคยร่วมแสดงใน Seven Psychopaths ผลงานกำกับชิ้นที่สองของแม็คโดนาห์ และ A Behanding in Spokane ละครบรอดเวย์เมื่อปี 2010 ร็อคเวลยกย่องฝีมือเขียนบทของแม็คโดนาห์ว่าอยู่ในระดับเดียวกับ เดวิด มาเม็ทเควนติน ตารันติโนฮาโรลด์ พินเตอร์แซม เชปพาร์ด และ เคนนี โลเนอร์แกน “เขาเขียนบทได้เหลือเชื่อมาก และตอนนี้เขายังเป็นผู้กำกับชั้นยอดอีกด้วย เรื่องนี้น่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขา ขอยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าผมดูหนังมากกว่าหนึ่งรอบ ผมภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้

ตัวละครที่ร็อคเวลแสดง เจสัน ดิกสัน เป็นตัวละครน่ารังเกียจ ขี้เหล้า เหยียดสีผิว ควบคุมสติอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ แต่สุดท้ายเขากลับเรียกร้องความเห็นใจจากคนดูได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อค้นหาข้อมูล ร็อคเวลได้เดินทางไปยังมิสซูรี แล้วขอนั่งรถลาดตระเวนไปกับตำรวจจริงในพื้นที่ และขอให้พวกเขาช่วยอ่านบทพูดของเขาในเรื่อง “ดิกสันเป็นตัวละครที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธร็อคเวลอธิบาย “ทำให้คุณอดจะคิดย้อนไปถึงปูมหลังของเขาไม่ได้ ซึ่งผมมองว่าความโกรธทั้งหลายนั้นมีรากฐานมาจากความกลัว ล่าสุดผมเพิ่งเล่นเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติในหนังอีกเรื่อง และผมได้พูดคุยกับพวกชาตินิยมขวาจัดคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาไม่ได้เกลียดคนผิวดำ หรือคนผิวน้ำตาล แต่เขาเกลียดตัวเองมากกว่า ผมว่านั่นละคือกุญแจสำคัญ คนพวกนี้ถูกปลูกฝังให้เติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกเกลียดชังตัวเอง สิ่งแรกที่คุณต้องถามตัวเอง คือ ‘เรามีส่วนที่เหมือนกับตัวละครนี้ตรงไหนบ้างยีน แฮ็คแมน เคยกล่าวไว้ แล้วค่อยเริ่มต้นจากตรงนั้น ผมไม่ใช่พวกเหยียดเชื้อชาติ ผมไม่ได้โตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น แต่คุณสามารถค้นหาอารมณ์ร่วมได้ ทุกคนสามารถเป็นไอ้ขี้ขลาดและฮีโรได้มากพอๆ กัน คุณแค่ต้องค้นหาส่วนนั้นในตัวเองให้พบ

หนังข้างต้นมีชื่อว่า The Best of Enemies ซึ่งร็อคเวลรับบทเป็น ซีพี เอลเลส หัวหน้ากลุ่มคลูคลักซ์แคลนที่กลับตัวกลับใจ ละทิ้งอดีต แล้วกลายมาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง ส่วนพวกชาตินิยมขวาจัดที่ร็อคเวลได้พูดคุยด้วยคือ คริสเตียน พิกซิโอลินี ที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวละคร เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ใน American History X เขาเคยอยู่กลุ่มหัวรุนแรงขวาจัดเชิดชูเผ่าพันธุ์คนขาว แต่ตอนนี้กลับพยายามช่วยเหลือผู้คนให้หลุดพ้นจากความเกลียดชังเหล่านั้น การได้พูดคุยกับพิกซิโอลินีทำให้เขาได้มองเห็นโลกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากโลกในชีวิตจริงของเขา “ผมเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงผิวดำ ผมคลุกคลีกับกลุ่มคนที่หลากหลายเขาเล่าถึงชีวิตวัยรุ่นในซานฟรานซิสโก “ผมเป็นเด็กชาวกรุง แต่ผมมักจะได้รับบทเป็นคนบ้านนอก หรือพวกคาวบอย

นั่นอาจหมายรวมถึงหนังใหม่ล่าสุดของเขา Backseat ผลงานกำกับของ อดัม แม็คเคย์ (The Big Short) ซึ่งร็อคเวลจะรับบทเป็น จอร์จ ดับเบิลยู บุช แต่หนังจะโฟกัสไปยังชีวประวัติของ ดิก เชนีย์ ซึ่งรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีในช่วงที่บุชบริหารประเทศ “ก็นั่นแหละเขากล่าวพร้อมกับหัวเราะ “ที่จริงมันน่าหวาดหวั่นไม่น้อย ผมคิดว่าเขาเป็นลูกเศรษฐีที่ตกกระไดพลอยโจรจนถอนตัวไม่ขึ้น เขามีเสน่ห์แบบที่ ดิก เชนีย์ ขาดแคลน มันเป็นเหมือนเรื่องราวของ Cyrano de Bergerac (กวีจมูกโตผู้เปี่ยมพรสวรรค์ แต่ขาดความมั่นใจในรูปลักษณ์ เขาช่วยเหลือนายทหารหนุ่มหล่อที่ขาดวาทศิลป์ เขียนจดหมายจีบสาวสวยคนที่เขาเองก็แอบหลงรักอยู่ แต่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวเธอจะรังเกียจหน้าตาเขา)นอกจากนี้เขายังมีโครงการจะเล่นหนังใหม่ของ ดันแคน โจนส์ ชื่อ Mute อีกด้วย หลังจากทั้งสองเคยร่วมงานกันใน Moon แต่ร็อคเวลบอกว่าบทของเขาจะเป็นแค่บทรับเชิญ “ตอนถ่าย  Moon เรากลัวกันมาก เพราะเราไม่รู้ว่าแม่งจะออกหัวหรือก้อยเขาหัวเราะ “แต่ตอนนี้มันกลับถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังไซไฟเรื่องเยี่ยมในรอบ 20 ปี

หนังไซไฟเคยเป็นแนวทางที่ถูกโฉลกกับร็อคเวล เขาร่วมแสดงใน Galaxy Quest (1999) หนังตลกล้อเลียนที่ต่อมากลายเป็นคัลท์คลาสสิก และ The Hitchhiker’s Guild to the Galaxy (2005) ในบทประธานาธิบดีแห่งจักรวาล บทเหล่านี้ดูจะห่างไกลหลายปีแสงจากบทคนประหลาด คนเหยียดเชื้อชาติ ขี้เหล้า และคนโรคจิต ซึ่งเขามักจะได้แสดงอยู่บ่อยๆ “ผมอยากได้บทหนักๆ ออกแนวมืดหม่นมาตลอด แต่ผมก็ชอบเล่นบทบ้าๆ บอๆ ด้วยเขากล่าว “บางครั้งบทตลกก็ทำให้คุณหมดแรงเหมือนกัน ไม่ได้เหนื่อยกายเหมือนไปแบกอิฐแบกปูนนะ แต่เป็นเรื่องจิตใจมากกว่า คุณต้องทำงานวันละ 16 ชั่วโมงเพื่อปิดกล้องให้ได้ตามกำหนด ทำงานกับ อดัม แม็คเคย์ รับบทเป็น จอร์จ ดับเบิลยู บุช โดยมี คริสเตียน เบล รับบทเป็น ดิก เชนีย์... ถือเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงเลย พอจบสัปดาห์คุณย่อมอดไม่ได้ที่จะดื่มเบียร์ฉลอง

เขาคาดหวังอะไรสำหรับอนาคตในวันข้างหน้า “แค่อยากผลิตผลงานดีๆ นั่นเป็นสิ่งที่ผมสามารถทำได้ร็อคเวลกล่าว “โลกเรามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ผมไม่ถนัดการจัดงานระดมทุน หรืองานการกุศลสักเท่าไหร่ แต่ผมสามารถรับบทเป็นตัวละครคลูคลักซ์แคลน แล้วพยายามถ่ายทอดเขาให้ดูน่าเชื่อถือได้ และถ้าหนังออกมาดีพอแบบ Three Billboards Outside Ebbing, Missouri หรือ One Flew Over the Cuckoo’s Nest หรือ Midnight Cowboy บางทีมันอาจช่วยเปลี่ยนความคิดคนได้ อย่างอื่นผมไม่มีอำนาจควบคุม นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมรู้ว่าต้องทำยังไง



วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน (Three Billboards Outside Ebbing, Missouri)


มีอยู่ฉากหนึ่งใน Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ที่สามารถสรุปโทนอารมณ์ของหนังได้อย่างแม่นยำ ผสมผสานด้านสว่างและด้านมืด อารมณ์ขันและโศกนาฏกรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน นายอำเภอวิลโลบี รับบทโดย วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน ซึ่งตกเป็นเป้าจู่โจมของคุณแม่เลือดเดือด มิลเดร็ด (ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์เขียนจดหมายหลายฉบับให้กับตัวละครหลายคน เนื้อหาในจดหมายค่อนข้างหนักหน่วง เคร่งเครียด แต่เสียงวอยซ์โอเวอร์ของฮาร์เรลสันกลับปราศจากท่าทีเน้นย้ำความสำคัญ หรือน้ำเสียงจริงจัง ตรงกันข้ามเสียงอ่านจดหมายของเขาให้อารมณ์อบอุ่น เป็นมิตร แบบที่คนดูคุ้นหูมาตั้งแต่ยุคเขารับบทบาร์เทนเดอร์ใน Cheers ซิทคอมที่สร้างชื่อเสียงให้ฮาร์เรลสันเป็นครั้งแรก มันช่วยนิยามแก่นทางอารมณ์ของหนังได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ฮาร์เรลสันเล่าว่าทั้งหมดเป็นความบังเอิญ “ผมเพิ่งปิดกล้อง ถ่ายฉากสุดท้ายจบ แล้วกำลังจะกลับบ้าน จู่ๆ พวกเขาก็พูดว่า ‘เออ วู้ดดี้ มีอีกอย่าง คุณต้องอ่านจดหมายสามฉบับนี้ผมตอบไปว่า ‘ล้อกันเล่นรึเปล่าจากนั้นผมเลยอ่านจดหมายแบบเร็วๆ ฉับ ฉับ ฉับ เป็นอันจบ พวกเขาพอใจ มันช่างวิเศษจริงๆ เพราะมันกลายเป็นส่วนที่ผมชื่นชอบที่สุดเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ในหนัง” วิลโลบีไม่ใช่นายอำเภอใจไม้ไส้ระกำ ตรงกันข้าม เขาเป็นที่รักของชาวเมืองและเพื่อนร่วมงานในกรมตำรวจ เขาตระหนักดีถึงความชอกช้ำของมิลเดร็ดที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปแบบนั้น (ถูกฆ่าข่มขืน) เขาได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขาเท่าไหร่ ทั้งในเรื่องการสะสางคดีและชีวิตส่วนตัว แต่ข้อเท็จจริงอันน่าเศร้าเกี่ยวกับวิลโลบีไม่อาจดับไฟแค้น ความเจ็บปวด หรือความร้อนลุ่มในใจมิลเดร็ดได้

การไม่คิดตีความให้ซับซ้อนเกินไปเป็นบทเรียนที่ฮาร์เรลสันจดจำมาใช้ตลอด 30 ปีในวงการหนัง นับจากเปิดตัวด้วยซิทคอม Cheers ซึ่งพูดได้ว่าเขาแทบจะรับบทเป็นตัวเอง ฮาร์เรลสันมีโอกาสได้เล่นหนังหลากหลายแนวทาง ตั้งแต่หนังตลกอย่าง White Men Can’t Jump, Kingpin, Zombieland หนังโรแมนติกอย่าง Indecent Proposal หนังแอ็กชั่นอย่าง Money Train หนังเขย่าขวัญการเมืองอย่าง Welcome to Sarajevo ไปจนถึงหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง The Hunger Games เขารับบทฆาตกรต่อเนื่องใน Natural Born Killers ของ โอลิเวอร์ สโตน มีส่วนร่วมใน The Thin Red Line หนังสงครามมหากาพย์ของ เทอร์เรนซ์ มาลิก และแสดงเป็นนักล่าค่าหัวใน No Country for Old Men ของสองพี่น้อง โจเอล และ อีธาน โคน เขาเคยเข้าชิงออสการ์สองครั้งในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก The People vs. Larry Flynt (รับบท แลร์รี ฟลินท์ ราชานิตยสารโป๊ Hustler) และในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก The Messenger (รับบทนายทหารซึ่งมีหน้าที่ส่งข่าวร้ายให้กับครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต)

ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของฮาร์เรลสัน หลังกอบโกยคำชมจากนักวิจารณ์ด้วยการแสดงนำในซีซั่นแรกของ True Detective ทางช่อง HBO เมื่อปีก่อนเขารับบทเป็นครูมัธยมใน The Edge of Seventeen ผู้พันจอมคลั่งใน War of the Planet of the Apes อดีตประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน ใน LBJ และได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สามจาก Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ซึ่งเป็นการร่วมงานกันครั้งที่สองของเขากับผู้กำกับ มาร์ติน แม็คโดนาห์ หลังจาก Seven Psychopaths เมื่อ 7 ปีก่อน “ดีกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วนักแสดงวัย 56 ปีที่ถือกำเนิดในเท็กซัส แต่ใช้เวลาช่วงวัยรุ่นอยู่ในซินซินเนติ กล่าว “น่าตกใจมากว่าทุกอย่างไปได้สวยขนาดนี้ ผมไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว นี่เป็นราคาที่ต้องจ่าย ผมต้องพยายามหาจุดสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว

ฮาร์เรลสันทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมาหลังหยุดพักงานแสดงไปนานตอนปลายยุค 1990 ถึงต้นยุค 2000 โดยช่วงเวลาระหว่างนั้นเขาไปพักผ่อนกับครอบครัวที่คอสตาริกา “มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตผมเขากล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาตัดสินใจกลับเข้าสู่วงการ ทุกอย่างหาได้สวยหรูเสมอไป “ทุกคนไม่ได้ดีใจ เปิดแขนต้อนรับผมอย่างอบอุ่น ผมรู้สึกเหมือนเป็นบุคคลที่ถูกลืม การหางานกลายเป็นเรื่องยากอยู่พักใหญ่แต่หลัง No Country for Old Men เข้าฉายในปี 2007 ค่ายกลเหมือนถูกปลดล็อก งานเริ่มหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย “ของแบบนี้อยู่ๆ จะเกิดมันก็เกิด พอคุณได้เล่นหนังดีๆ สักเรื่อง จู่ๆ ทุกคนก็อยากใช้งานคุณ แต่ผมคงไม่หยุดพักจากงานแสดงไปแบบนั้นอีกแน่ เพราะไม่ง่ายเลยกว่าจะมายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้” ฮาร์เรลสันคงหมดห่วงเรื่องตกงานได้อีกสักพัก เพราะปีนี้ Solo: A Star Wars Story จะเข้าฉาย ซึ่งรับประกันได้ว่ามันจะเป็นหนึ่งในหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพนักแสดงเขา แม้ว่าจะมีข่าวไม่ค่อยสู้ดีนักเกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวผู้กำกับกะทันหันในช่วงโค้งสุดท้ายจากสองคู่หู คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ กับ ฟิล ลอร์ด ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ 21 Jump Street และ The Lego Movie มาเป็น รอน โฮเวิร์ด “ผมอ่านเจอว่าแฟนๆ เป็นห่วงชะตากรรมของหนังเรื่องนี้ แต่เชื่อสิ พลังยังอยู่ข้างหนังอย่างแน่นอนฮาร์เรลสันจะรับบทอาจารย์ของ ฮัน โซโล วัยหนุ่ม (อัลเดน เอห์เรนไรค์)

นอกจากนี้ ฮาร์เรลสันยังเริ่มเบนเข็มมาทำงานหลังกล้อง นั่งเก้าอี้ผู้กำกับเป็นครั้งแรกใน Lost in London ซึ่งถ่ายทำแบบเทคเดียวโดยใช้กล้องตัวเดียว ไมโครโฟน 150 ตัว นักแสดงเข้าฉาก 30 คน (เขาได้แรงบันดาลใจจากหนังเยอรมันเรื่อง Victoria) แล้วถ่ายทอดสดไปยังโรงหนังกว่า 500 แห่งในอเมริกาคืนวันที่ 19 มกราคม 2017 หนังดัดแปลงจากประสบการณ์จริงของฮาร์เรลสันในกรุงลอนดอนเมื่อปี 2002 เมื่อเขาถูกตำรวจจับด้วยข้อหาทำลายประตูและข้าวของในรถแท็กซี สำหรับฮาร์เรลสันสัปดาห์นั้นถือเป็นสัปดาห์แห่งหายนะ เพราะไม่กี่วันก่อนหน้าปาปาราซซีชาวอังกฤษเพิ่งแอบถ่ายรูปเขานอนบนเตียงกับผู้หญิงสามคน แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ ลอรา ลูอี้ ภรรยาเขา (เขาขอโทษเธอในภายหลัง เธอยกโทษให้ ทั้งสองยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาจนถึงปัจจุบัน) “ผมยินดีจะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อลบสัปดาห์นั้นออกไปจากชีวิตผม ทั้งข่าวแท็บลอยด์ ทั้งโดนตำรวจจับ ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน จู่ๆ ปัญหาก็พุ่งเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวเขากล่าว “แต่มันก็เป็นบทเรียนให้ผมคิดได้ ผมก็เหมือนชายคนหนึ่งที่มีทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีทุกอย่าง จนกระทั่งถูกย้ำเตือนให้ตระหนักว่าตัวเขานั้นโชคดีแค่ไหน แล้วมีโอกาสได้ไถ่ถอนความผิดพลาดไม่แน่ในคืนวันอาทิตย์ที่ มีนาคม ฮาร์เรลสันอาจได้สิ่งหนึ่งที่เขายังไม่มีในครอบครอง นั่นคือ รางวัลออสการ์ 


คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ (All the Money in the World)

สามเดือนก่อนหน้า ยังไม่มีใครพูดถึงแนวโน้มว่า คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ อาจได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ หรือแม้กระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ความเป็นไปได้ข้างต้นช่างดูห่างไกลจากความจริงเหลือเกิน แต่พอวันนี้เหล่านักวิจารณ์กลับพากันยกย่องสรรเสริญผลงานของเขาใน All the Money in the World กันอย่างถ้วนทั่ว จากบทที่หลายคนไม่ตระหนักว่าเขาจะได้แสดงจนกระทั่งในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เมื่อพลัมเมอร์ทราบข่าวว่าผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อต อยากพูดคุยกับเขาเรื่องมาเล่นบทที่ เควิน สเปซีย์ เคยแสดงไว้ในหนังดรามาเกี่ยวกับคดีลักพาตัวทายาทมหาเศรษฐี จอห์น พอล เก็ตตี้ผมกำลังเตรียมตัวจะไปเที่ยวฟลอริด้า นอนอาบแดดบนชายหาด ทุกหน้าหนาวผมจะอพยพไปอยู่ที่นั่น แต่พวกเขาดันโทรมาซะก่อนพลัมเมอร์กล่าวด้วยแววตายิ้มแย้ม “แย่จริงๆ

อย่างที่เราทุกคนทราบกันดี หลังจาก เควิน สเปซีย์ เผชิญข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศจนกลายเป็นข่าวอื้อฉาว สก็อตตัดสินใจในช่วงเทศกาลวันหยุดขอบคุณพระเจ้าที่จะตัดทุกฉากที่สเปซีย์ ซึ่งรับบทเป็นเจ้าพ่อบ่อน้ำมัน จอห์น พอล เก็ตตี้ มีส่วนร่วมในหนังออก เพื่อให้คนดูสามารถตัดสินหนังได้อย่างเป็นกลางโดยไม่ต้องพะวง แล้วให้พลัมเมอร์มาเล่นแทน (เขาเป็นตัวเลือกแรกของสก็อตอยู่แล้ว แต่เพราะผู้บริหารสตูดิโอต้องการนักแสดงที่ “มีชื่อเสียง” สเปซีย์จึงคว้าบทนี้ไป) โดยไม่คิดจะเลื่อนกำหนดฉายหนังในวันคริสต์มาส ออฟฟิศของสก็อตโทรหาพลัมเมอร์ที่บ้านในนิวยอร์กเพื่อขอนัดหมายท่ามกลางความรู้สึกประหลาดใจของนักแสดงวัย 88 ปี “ริดลีย์เดินทางจากลอนดอนมาเกลี้ยกล่อมผมให้ตอบตกลงพลัมเมอร์รำลึกเหตุการณ์ ทั้งสองพูดคุยกันนาน 30 นาที “ผมชอบเขา เขาเป็นคนตลก มีอารมณ์ขันเป็นเลิศ พอได้อ่านบทหนังในวันถัดไป ผมก็ตอบตกลงสามวันนับจากนั้นการถ่ายซ่อมก็เริ่มต้นขึ้นที่ลอนดอน

นักแสดงหลักอีกสองคนในเรื่อง มิเชล วิลเลียมส์ และ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก วางแผนเจียดเวลาในช่วงวันหยุดเทศกาลมาร่วมเข้าฉาก สก็อตรวบรวมทีมงาน แล้วเริ่มถ่ายทำเป็นเวลา วันเต็มที่ลอนดอนและกรุงโรม แล้วใช้เวลาในช่วงกลางคืนของแต่ละวันตัดต่อฟุตเตจ หนังมีทุนในการถ่ายซ่อมทั้งหมด 10 ล้านเหรียญ พลัมเมอร์ยอมรับว่าเขารู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็สนุกกับความท้าทาย “มันน่าตื่นเต้นมาก อาจมากเกินไปด้วยซ้ำ มันสนุกและเสี่ยง แต่ผมชอบความเสี่ยง ริดลีย์ก็เหมือนกันนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Beginners กล่าว

เนื่องจากความฉุกละหุกของการถ่ายซ่อมทำให้พลัมเมอร์มีเวลาน้อยนิดในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเก็ตตี้ แต่จะว่าไปก็มีแหล่งข้อมูลอันจำกัดจำเขี่ยสำหรับทำการศึกษาอยู่แล้ว ต่อให้คุณมีเวลาหนึ่งหรือสองเดือนในการเตรียมตัวก็ตาม “มีเทปบันทึกเสียงเขา แต่ผมว่าไร้ประโยชน์ที่จะพยายามเลียนแบบเสียงเขาพลัมเมอร์กล่าว “ผมพึ่งพาสัญชาตญาณแล้วเดินตามรอยคนเขียนบท (เดวิด สคาร์ปา) ซึ่งมอบสีสันให้กับตัวละครนี้ไม่น้อย เขาไม่ใช่แค่นักธุรกิจที่ละโมบและตระหนี่ถี่เหนียว เขามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผมมีโอกาสที่จะมอบมิติหลายด้านให้กับเขานอกจากนี้พลัมเมอร์ยังต้องเผชิญปัญหากับการท่องจำบทพูดยาวๆ อีกด้วย “บทพูดบางช่วงค่อนข้างยาก เพราะผมอยากทดลองโน่นนี่ แต่การทดลองทั้งที่ยังศึกษาบทพูดไม่ละเอียดถือเป็นความยากลำบากแสนสาหัส ผมรู้สึกว่าแรงปรารถนากำลังนำหน้าศักยภาพอยู่ ผมจึงเลือกโฟกัสไปยังฉากหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าบ่งชี้ตัวตนและความเปราะบางของตัวละครนี้ได้ชัดเจนที่สุด ฉากที่เขาพูดถึงข้อเท็จจริงว่ามีบางอย่างซึ่งบริสุทธิ์และสวยงามกว่าผู้คน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้คนดูมองเห็นว่าเขาอาจยังพอมีมนุษยธรรมหลงเหลืออยู่ภายในถึงแม้พลัมเมอร์จะชื่นชอบความเสี่ยง แต่หลายครั้งเขาก็ไม่แน่ใจว่าผลงานจะออกมาดีพอ การที่สก็อตยืนกรานจะไม่ถ่ายแต่ละคัทเกิน เทคช่วยบรรเทาความเครียดได้บ้าง “ผมมักรู้สึกว่าถ้าผู้กำกับทำงานช้า ถ่ายละเอียดหลายๆ เทค ผมจะเริ่มกลายเป็นเครื่องจักร ขาดพลัง ไม่เป็นธรรมชาติ ริดลีย์ไม่ชอบถ่ายซ้ำบ่อยๆ เราทำงานเข้าขากันได้ดี

หกสัปดาห์ถัดมา หนังเกี่ยวกับคดีลักพาตัวอันโด่งดังในปี 1973 เมื่อหลานชายของ จอห์น พอล เก็ตตี้ ถูกโจรลักพาตัวไป แต่คุณปู่กลับไม่ยินดีจะจ่ายเงินค่าไถ่ทั้งที่เขามีทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ก็เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้ตรงตามกำหนดเดิม “ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะทำสำเร็จมิเชล วิลเลียมส์ ซึ่งรับบทอดีตลูกสะใภ้ของเก็ตตี้และคุณแม่ของเด็กหนุ่มวัย 16 ปีที่ถูกลักพาตัว กล่าว เธอเล่าถึงประสบการณ์ถ่ายทำในครั้งแรกว่า ฉันไม่ค่อยได้สุงสิงกับเควินเท่าไหร่ เราพูดจากันแค่ไม่กี่คำ และเข้าฉากด้วยกัน แต่แค่นั้นจริงๆ เราไม่ได้มีเวลาทำความรู้จักกันมากนักทางด้านพลัมเมอร์เองก็บอกว่าเขาไม่เคยดูฉากที่สเปซีย์เล่นไว้ “ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้า เพราะผมขอที่จะไม่ดูมัน ริดลีย์มอบอิสระให้ผมเต็มที่ เขาไม่เคยพูดคุยถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ผู้กำกับ Gladiator และ Black Hawk Down กล่าวว่าเขาพอใจกับการแสดงของสเปซีย์ ซึ่งให้อารมณ์เย็นชามากกว่า (ตอนแรกเก็ตตี้ปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าไถ่แม้แต่แดงเดียว ก่อนสุดท้ายจะยอมตกลงในจำนวนที่สามารถเอาไปหักลดหย่อนภาษีได้) แต่พลัมเมอร์ได้ผนวกเสน่ห์เจ้าเล่ห์บางอย่างเข้าไปด้วย “ถ้าคุณจะเล่นเป็นตัวร้าย มันน่าสนใจกว่าถ้าคุณค้นพบแง่มุมดีๆ เกี่ยวกับคนนั้นพลัมเมอร์กล่าว “แล้วสะท้อนแง่มุมนั้นออกมาพลัมเมอร์บอกว่าเขาเคยเจอตัวจริงของลูกชายเก็ตตี้ที่ยุโรปก่อนจะเกิดคดีลักพาตัว “พอลเป็นคนรักสนุกเขากล่าว ต้องยอมรับว่าช่วงสองสามปีมานี้อาชีพการงานของพลัมเมอร์กำลังพุ่งถึงขึ้นขีดสุด เขามีส่วนร่วมในหนังสามเรื่องที่จะเข้าฉายในปีนี้ และวางแผนที่จะเปิดแสดงวันแมนโชว์ชื่อว่า A Word or Two อีกครั้ง “อาชีพผมค่อนข้างขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งผมก็ต้องเล่นหนังห่วยๆ เพื่อเงิน คุณไม่สามารถทำตัวหัวสูงได้ แต่ตอนนี้เหมือนจะมีคนส่งบทให้ผมเป็นว่าเล่นแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันเหลือเชื่อมาก ผมอายุ 88 แล้วแต่ยังมีข้อเสนอหลั่งไหลมาตลอดอย่างไรก็ตาม โปรเจ็กต์แรกของพลัมเมอร์ในตอนนี้ คือ บินลงใต้ “ผมอยากไปนอนเล่นชายหาดที่ฟลอริด้าเขากล่าวพร้อมกับยิ้มกริ่ม


วิลเลม เดโฟ (The Florida Project)

วิลเลม เดโฟ เป็นนักแสดงที่ขยันขันแข็งจากบทบาทในหนังหลายสิบเรื่องตลอดอาชีพกว่า 30 ปี เมื่อต้นปีที่แล้ว เขาให้เสียงพากย์เป็นตัวร้ายในหนังเรื่อง Death Note ของเน็ทฟลิกซ์ จากนั้นก็ร่วมแสดงในหนังสืบสวนรวมดารา Murder on the Orient Express ส่วนปีนี้เขาจะรับบทเด่นในหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่อง Aquarman แต่งานแสดงที่ได้รับความสนใจสูงสุดของเขาในรอบหลายปีได้แก่ การรับบทบ็อบบี้ใน The Florida Project ผู้จัดการโรงแรมจิ้งหรีดบนทางหลวงใกล้กับดีสนีย์เวิลด์ ซึ่งพยายามรักษาระบบระเบียบ แต่สุดท้ายไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับชีวิตอันวุ่นวายของเหล่าผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้น อย่างเฮลีย์ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวกับลูกสาวจอมซนวัย 6 ขวบ มูนี แม้จะเล่นหนังมามากมายหลายเรื่อง แต่คนดูส่วนใหญ่มักจดจำเดโฟได้จากบทวายร้าย หรือตัวละครที่ซุกซ่อนด้านมืดอยู่ภายใน ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับบทบ็อบบี้ ซึ่งเขาสวมวิญญาณได้แนบเนียน เปล่งประกายความอบอุ่นอย่างคาดไม่ถึง

นี่เป็นบทแบบที่ค่อยๆ ซึมลึกเดโฟกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ที่ลอสแอนเจอลิส “ผมชอบไอเดียของหนัง แต่ผมไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่ว่าคนดูจะตอบสนองกับตัวละครนี้อย่างไร แต่พอได้ดูหนัง ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก” จากนั้นเขาก็เสริมว่า “ผมแปลกใจกับปฏิกิริยาของคนดูต่อบ็อบบี้ เขาไม่ใช่คนโดดเด่น ไม่ได้แสดงให้เห็นพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ ไม่มีฉากเปิดเผยอารมณ์หนักหน่วง แต่เขาเป็นเหมือนตัวแทนของปุถุชนทั่วไป

The Florida Project เป็นผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ ฌอน เบเกอร์ ซึ่งนิยมพาคนดูไปยังโลกที่แตกต่าง ผลงานสร้างชื่อของเขาคือหนังอินดี้เรื่อง Tangerine สำรวจชีวิตเหล่าหญิงข้ามเพศในลอสแอนเจลิส ส่วนผลงานก่อนหน้านั้น Starlet เขาก็พาคนดูไปทำความรู้จักกับอุตสาหกรรมหนังโป๊ใน ซานเฟอร์นันโด วัลเลย์ หนังเรื่อง Prince of Broadway เล่าถึงถนนของพ่อค้าต่างด้าวในกรุงนิวยอร์ก ส่วน The Florida Project เป็นการนำเสนอปรากฏการณ์ที่เบเกอร์เรียกว่า “คนไร้บ้านล่องหนหมายถึงเหล่าคนจนชายขอบที่ต้องหาเช้ากินค่ำ มีเงินแค่พอเลี้ยงปากท้องไปวันๆ แต่ไม่อาจสร้างความมั่นคงใดๆ ให้กับชีวิต หนังทุกเรื่องของเบเกอร์มีพลังในการดึงดูดคนดูให้จมดิ่ง และถึงแม้สภาพความเป็นจริงจะโหดร้าย แต่คุณก็สามารถค้นพบเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และแรงปรารถนาที่จะทำความเข้าใจตัวละครเหล่านั้น ปกติเขามักทำงานกับนักแสดงสมัครเล่น หรือคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อน ฉะนั้นการได้นักแสดงที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สองครั้งอย่างเดโฟมาร่วมงานด้วยจึงถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับผลงาน 

เบเกอร์เลือกหนูน้อย บรู้คลิน พรินซ์ ซึ่งเคยผ่านงานแสดงมาบ้างเล็กน้อยมาเล่นเป็นมูนี ส่วนบทแม่ของมูนี เขาเลือก เบรีย วินเนียต ซึ่งไม่เคยแสดงหนังมาก่อน (เขาค้นพบเธอทางอินสตาแกรม) “ผมชอบจับนักแสดงอาชีพมาเล่นกับนักแสดงหน้าใหม่ หรือนักแสดงสมัครเล่นเบเกอร์อธิบาย จะเกิดประกายบางอย่างที่น่าทึ่งเมื่อคุณผสมทั้งหมดนั้นเข้าด้วยกันเดโฟเดินทางมายังฟลอริด้าก่อนเปิดกล้องเพื่อพูดคุยกับเจ้าของโรงแรมจิ้งหรีดทั้งหลาย แล้วค้นหาแรงบันดาลใจให้กับตัวละครที่เขาเล่น เบเกอร์ยอมรับว่าเขาตกใจในความเป็นมิตรของเดโฟ เขาไม่มีอีโก้ อ่อนโยนและใจเย็นเสมอ นี่ไม่ใช่การทำงานในแบบกองถ่ายหนังฮอลลีวู้ดทั่วไป แต่วิลเลมกลับเข้าอกเข้าใจและถึงขนาดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่ใช่ในลักษณะสั่งสอน แต่ด้วยท่าทีที่นุ่มนวลกว่า เขาช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเบรีย และให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง

ที่สำคัญ เดโฟยังปรับตัวเข้ากับสไตล์การทำงานแบบกองโจรของเบเกอร์ได้อย่างแนบเนียน เปิดใจรับการอิมโพรไวส์ที่อาจไม่ปรากฏอยู่ในบท (หนึ่งในนั้นเป็นตอนที่เขาขับไล่ฝูงนก) เขาบอกว่าการได้ร่วมงานกับนักแสดงอย่างวินเนียตและพรินซ์ช่วยให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าเรากำลังสร้างโลกอีกใบ และแต่ละคนก็ร่วมแบ่งปันสิ่งที่พวกเขามี งานของผมคือการอยู่ร่วมในโลกใบนี้ พวกเขาก็เช่นกัน เราทุกคนต้องจับมือร่วมกันเดโฟกล่าว เวลาอยู่ในกองถ่ายคุณจะไม่มานั่งคิดหรอกว่าใครไม่เคยเล่นหนังมาก่อน ใครไม่ใช่นักแสดงอาชีพ เราต่างต้องร่วมมือกัน คุณจะลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร ลืมเรื่องอีโก้อะไรพวกนี้ไปหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยินดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางนักแสดงกลุ่มนี้

นักแสดงมากประสบการณ์วัย 62 ปีเริ่มฉายแววในช่วงปลายยุค 70 จนถึงต้นยุค 80 จากหนังอย่าง The Loveless, Streets of Fire และ To Live and Die in L.A. ก่อนจะได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจาก Platoon และรับบทเป็นพระเยซูในหนังเรื่อง The Last Temptation of Christ ของ มาร์ติน สกอร์เซซี นับจากนั้นบทบาทในหนังของเขาเต็มไปด้วยความหลากทั้งในแง่ตัวละครและทุนสร้าง เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกครั้งจากหนังฟอร์มเล็กอย่าง Shadow of the Vampire และเล่นเป็นตัวร้ายในหนังบล็อกบัสเตอร์สุดฮิตชุด Spider-Man การได้ร่วมงานบ่อยๆ กับ เวส แอนเดอร์สัน, ลาร์ส ฟอน เทรียร์, เอเบล เฟอร์รารา และ พอล ชเรเดอร์ ทำให้ชื่อของเดโฟเป็นที่รู้จักคุ้นหูในหมู่นักดูหนังอาร์ต/หนังต่างประเทศ ปัจจุบันเขาจะเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างนิวยอร์กกับโรม (เขาแต่งงานกับนักทำหนังสาวชาวอิตาเลียน เกียดา โคลาแกรนเด) “ผมไม่รู้ว่าฮอลลีวู้ดคืออะไรเดโฟกล่าว ฮอลลีวู้ดเป็นแค่ความรู้สึก เป็นที่พักอาศัย หรือเป็นอุตสาหกรรม บางครั้งผมอยู่นี่ บางครั้งก็ไม่อยู่ แต่ผมทำงานที่นี่ เคยมีประวัติผลงานที่นี่ ผมไม่ได้เกลียดฮอลลีวู้ด ไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงมัน คุณเลือกหยิบโอกาสดีๆ ที่มันนำเสนอ แต่อย่าปล่อยให้มันมาบดบังโอกาสอื่นๆ นอกฮอลลีวู้ด คุณพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

นอกเหนือจาก Aquaman แล้ว คิวงานในอนาคตของเดโฟยังคงแน่นเอี้ยด โดยล่าสุดเขาจะรับบท วินเซนต์ แวน โก๊ะ ในหนังเรื่อง At Eternity’s Gate ของ จูเลียน ชเนเบิล (The Diving Bell and the Butterfly) “ผมชอบสร้างโน่นสร้างนี่เขากล่าว ผมชอบความรู้สึกของการถูกกลืนหายไปเป็นอีกสิ่งที่ผมไม่รู้จัก แล้วกลับออกมาพร้อมความรู้สึกว่าผมได้เรียนรู้บางอย่าง หรือประสบการณ์นั้นได้เปลี่ยนแปลงผม ทำให้ผมมองชีวิตได้แตกต่างออกไป มันเป็นเรื่องของความอยากรู้อยากเห็น การค้นพบสิ่งใหม่ๆ เพื่อชีวิตคุณจะได้ไม่เหมือนเครื่องจักรที่โดนตั้งโปรแกรมไว้แล้ว


ริชาร์ด เจนกินส์ (The Shape of Water)

ริชาร์ด เจนกินส์ ไม่คิดว่า แซลลี ฮอว์กินส์ จะฟาดแขนเขา ในหนังเรื่องใหม่ของทั้งสอง The Shape of Water ฮอว์กินส์รับบทเป็นอีไลซา พนักงานทำความสะอาดที่เป็นใบ้ ส่วนเจนกินส์รับบทเป็นกิลส์ เพื่อนบ้านช่างพูด ศิลปินเกย์ที่ไม่ได้เปิดเผยตัวเองกับใคร กิลส์คิดว่าเขาเป็นครูของอีไลซา แต่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขาประเมินเธอต่ำเกินไป มีสัตว์ประหลาดถูกล่ามโซ่อยู่ในบ่อน้ำของห้องแล็บที่อีไลซาทำงานอยู่ เธออยากจะปล่อยมันเป็นอิสระ ในฉากเด่นฉากหนึ่งของหนัง อีไลซาดึงดันจะให้กิลส์ช่วยเธอในภารกิจเสี่ยงตาย เราซ้อมกันหลายรอบเจนกินส์ให้สัมภาษณ์จากบ้านที่โรดไอส์แลนด์ ซึ่งเขาพักอยู่กับภรรยา ชารอน ฟรีดริค นักออกแบบท่าเต้น เป็นเวลา 48 ปีและมีลูกด้วยกันสองคนซึ่งตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่พอถ่ายจริง กลับไม่เหมือนตอนซ้อมเลยสักอย่างเพื่อยั่วประสาทเขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เธอฟาดแขนเขา เขาผงะถอย เธอคว้าคอเสื้อเขา เดิมพันสูงขึ้นเรื่อยๆเขากล่าว นี่เป็นสิ่งที่คุณคาดหวัง การแสดงควรจะเป็นแบบนี้ คนสองคนที่อินกับบท กับสถานการณ์ตรงหน้า แล้วใช้ชีวิตร่วมกันในโลกบนจอ

ถ้าคุณอยากเห็นความอ่อนไหวของเพศชาย ริชาร์ด เจนกินส์ ถือเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ เขาเฉียบคม ส่งรับบทได้อย่างลื่นไหล และสามารถเล่นเป็นตัวละครอบอุ่น เปี่ยมความหวังได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น เมื่อเขาประกบ จูเลีย โรเบิร์ตส์ ใน Eat Pray Love หรือเป็นตัวละครที่ภายนอกดูจืดชืด แต่ซุกซ่อนแง่มุมร้ายกาจไว้ลึกๆ แบบในซีรีส์ Six Feet Under ของช่อง HBO ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเจนกินส์ถนัดรับบทผู้ชายมุมห้อง คนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโต๊ะทำงานโดยไม่มีใครสนใจ ผู้ชายคนที่จิตใจงดงาม แต่อ่อนแอจากบาดแผลที่เขาพยายามปิดบัง หรือบางทีเขาอาจรับบทคุณพ่อหรือสามีผู้เปี่ยมความรัก ความเข้าใจ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก เช่น เมื่อเขาแสดงประกบ ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์ ในมินิซีรีส์ชนะรางวัลเอ็มมีเรื่อง Olive Kitteridge รวมไปถึงตัวละครที่ค่อยๆ คืบคลานออกจากเปลือกนอกอันแข็งกระด้างอย่างใน The Visitor ซึ่งทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก

ใน The Shape of Water กิลส์พยายามจะสร้างสรรค์ความงาม ผ่านภาพที่เขาวาด ผ่านหนังเพลงฮอลลีวู้ดที่เขาชอบดู ผ่านพายที่เขาหลวมตัวซื้อมากินเพื่อจะได้พูดคุยกับพนักงานขาย แต่ชีวิตจริงเขากลับเต็มไปด้วยความมืดหม่น ไม่ต่างจากตัวละครอื่นๆ ในผลงานที่ผ่านมาของเจนกินส์ กิลส์พยายามใช้ชีวิตโดยส่งผ่านความดีงาม ความเมตตาให้มากที่สุด แน่นอน เขาอาจดูน่าสมเพชอยู่บ้าง เขาสับสนหลงทาง เปลี่ยวเหงา และปรารถนาการยืนยันว่าเขามีคุณค่าพอ (เขาชอบพูดว่า นี่เป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดของผมเลย คุณว่ามั้ยเพื่อร้องขอคำชมจากอีกฝ่าย) แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ฟอนเฟะจากภายในเหมือนตัวละครบางคนในเรื่อง เจนกินส์ชื่นชมการเชิดชูแง่งามแห่งมนุษย์ของ กิลเลอร์โม เดล โทโร ตลอดจนมุมมองอันรอบด้านของเขาต่อโลก เขามีคำตอบสำหรับทุกสิ่ง เขาทำให้ผมนึกถึง ไมค์ นิโคลส์ ซึ่งผมเคยร่วมงานด้วย (Wolf และ What Planet Are You From?) ผมไม่เคยเห็นไมค์เดินย่ำรอยตัวเอง กิลเลอร์โมก็เช่นกัน เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับหลายอย่างในชีวิต หนังเรื่องนี้ผ่านการคิดมาอย่างละเอียด ผมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของเขา ผมไม่ตระหนักว่าเรื่องราวในหนังช่างงดงามขนาดไหนจนกระทั่งผมได้เห็นมันคลี่คลายบนจอ วิธีที่กิลเลอร์โมถ่ายและตัดหนังช่างน่าตื่นตะลึง นับเป็นของขวัญชั้นยอดที่ผมได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ

เมื่อปีที่ผ่านมาเจนกิส์เพิ่งอายุครบ 70 ปี แต่ในวัยที่ดาราฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่เริ่มผลิตผลงานน้อยลง เจนกินส์กลับกลายเป็นที่ต้องการอย่างสูง การถ่ายหนังหรือเล่นละครเวทีช่วยให้คุณรู้สึกกระชุ่มกระชวยเขากล่าว ตอนนี้ผมมักจะเป็นคนที่แก่สุดในกองถ่าย การได้อยู่ร่วมห้องเดียวกับคนหนุ่มสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นทุ่มเทเป็นเรื่องน่ายินดี ช่วยให้คุณไม่แก่ไปตามวัยอย่างไรก็ตาม เจนกินส์ยอมรับว่าเขาตื่นตระหนกไม่น้อยตอนอายุขึ้นเลข 7 แบบที่ไม่เคยรู้สึกตอนเขาอายุขึ้นเลข 5 หรือ 6 “แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมชอบเกี่ยวกับวัยชรา ผมชอบที่ผมมีอดีตให้มองย้อนกลับไป ผมชอบที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ผมยังสับสนกับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ก็มีบางอย่างทั้งในชีวิตและอาชีพการงานที่ผมมองเห็นได้อย่างชัดเจนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราเป็นใคร เราต้องการอะไร เราเชื่อในสิ่งไหน เราจะทำงานอย่างไร เราจะทำความเข้าใจภรรยาอย่างไร ผมสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดชีวิตเขาพูดก่อนจะหยุดคิด ผมแค่ไม่ชอบการมีอายุ 70

เจนกินส์เกิดและเติบโตมาในรัฐอิลลินอยส์ เขาพบฟรีดริคที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่น ทั้งสองแต่งงานกันขณะอายุได้ 22 ปี เราพูดคุยภาษาเดียวกัน เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ไปในทางเดียวกันเขาเล่า ตอนนั้นมันอาจยังไม่มีความหมายอะไรนัก แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความอุ่นใจอย่างยิ่ง เมื่อคุณตระหนักว่ายังมีอีกคนในห้องที่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูดถึงเกี่ยวกับปี 1962 รู้จักเพลงในยุคเดียวกัน เพลงที่คนอื่นๆ แทบไม่มีใครรู้จักกันแล้ว

ในตอนจบของ The Shape of Water กิลส์ได้ผันตัวเป็นวีรบุรุษ ไม่ใช่ด้วยความกล้าหาญ หรือพลังเหนือมนุษย์ แต่ด้วยหัวใจอันเปี่ยมเมตตาและความรัก ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าใจอีไลซาได้อย่างถ่องแท้ เขาค้นพบความเห็นใจทั้งในตัวคนธรรมดาและสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมดา กิลส์คิดมาตลอดว่าเขามีหน้าที่เป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนที่จะคอยสั่งสอน ให้คำแนะนำ เด็กสาวข้างห้อง แต่สุดท้ายกลับค้นพบว่าเธอต่างหากที่เป็นครู หนังสามารถบำบัดจิตใจของเราได้อย่างแน่นอนเจนกินส์กล่าว นั่นคือประเด็นของดรามา ละครชีวิตกรีกจะพูดถึงสังคม สั่งสอนศีลธรรม มันถือกำเนิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงมุมมองของผู้คน ศิลปะมีอิทธิพลสำคัญ แม้บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น: