Call
Me by Your Name พังทลายทางอารมณ์อย่างแท้จริง เป็นหนังที่ดัดแปลงนิยายได้งดงาม
เลือกตอนจบได้ลงตัว เจือความหวังเอาไว้จางๆ เพราะสุดท้ายเอลิโอยังอยู่ในวัยเยาว์
แม้ตอนนี้เขาจะปวดร้าว แต่ก็สามารถมองไปข้างหน้าแล้ววาดฝันความเป็นไปได้มากมาย
ขณะที่ในนิยายเหตุการณ์ดำเนินต่อไปอีกสิบกว่าปี โดยที่บาดแผลไม่เคยจางหาย
ส่วนชีวิตและหัวใจซึ่งเราได้รับมอบมาเพียงหนึ่งเดียวก็โดนบดขยี้จนแทบไม่เหลือซาก
Elle ถ้าหนังมาเข้าฉายในช่วงนี้
มันคงตกเป็นเป้าโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าผู้อ้างตัวว่าเป็นเฟมินิสต์และหน่วยลาดตระเวน PC จะพากันรุมทึ้งการนำเสนอเหยื่อข่มขืนว่ามีท่าที “เอ็นจอย” เซ็กซ์กับความรุนแรง
พวกเขาจะไม่ตลกไปกับอารมณ์ขันร้ายๆ ของ พอล เวอร์โฮเวน รวมถึงความพยายามตีแผ่ก้นบึ้งแห่งจิตใจมนุษย์
ซึ่งไม่เหลือพื้นที่สำหรับความถูกต้องทางการเมืองใดๆ
Manchester
by the Sea บางครั้งมนุษย์ก็อ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวข้ามความผิดพลาดในชีวิต
เราทำได้เท่าที่ศักยภาพเอื้ออำนวย แล้วจำทนอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบนั้น
Moonlight ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย
เต็มไปด้วยอคติ ความเกลียดชัง และมาตรฐานอันไม่เป็นธรรม ยังมีมุมเล็กๆ สำหรับความรัก
ความเข้าอกเข้าใจให้ค้นพบ หากคุณกล้าพอจะเปิดรับมัน
Wind
River เป็นหนังเพื่อความบันเทิงที่ฉลาดเล่าเรื่อง เร้าอารมณ์คนดูได้ถูกจังหวะและเปี่ยมประสิทธิภาพ
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งน้ำหนักทางด้านประเด็นเนื้อหา
นักแสดงชาย
เคซีย์ อัฟเฟล็ก (Manchester by the Sea) ที่สุดของความหมดอาลัยตายอยาก
เจมส์ บอลด์วิน (I Am Not Your Negro) นอกจากเป็นนักเขียนชั้นยอดแล้ว
เขายังเป็นนักพูดที่ทั้งน่าฟัง ได้อารมณ์ฮึกเหิม และเฉียบคมในเวลาเดียวกัน
ฉากที่เขาตอบโต้ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเยลระหว่างออกรายการโทรทัศน์จนหน้าหงายเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของสารคดีทั้งเรื่อง
ทิโมธี ชาลาเมต์ (Call Me by Your Name) เปิดหัวใจให้คนดูเข้าไปสัมผัส
เลยไม่แปลกที่เราจะพลอยหัวใจสลายไปพร้อมกับตัวละครเมื่อถึงฉากสุดท้าย
ออสติน แอบรัมส์ (Brad’s Status) เหมือนน้ำชะโลมใจทุกครั้งที่ตัวละครพ่อ
(เบน สติลเลอร์) เริ่มลำไยจนน่ากระโดดถีบ
รักษาสมดุลระหว่างความไร้เดียงสากับวุฒิภาวะที่เกินตัวได้อย่างน่าทึ่ง
อาร์มี แฮมเมอร์ (Call Me by Your Name) รูปปั้นกรีกก็มีหัวจิตหัวใจนะ
นักแสดงหญิง
อิสซาเบลล์ อูแปต์ (Elle) ความยอดเยี่ยมของอูแปต์อยู่ตรงเธอกล้าจะปกปิดคนดูไม่ให้เข้าถึงตัวละครได้อย่างถ่องแท้
เธออาจหยิบยื่นเบาะแสให้บ้าง แต่แนบเนียนจนแทบไม่สังเกตเห็น
แล้วจากนั้นก็อาจทำอะไรที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
นี่ทำให้ตัวละครของเธอมีความเป็นมนุษย์มากๆ ยากจะหยั่งถึง
และเป็นแง่มุมที่มักจะถูกมองข้าม เมื่อเทียบกับความกล้าแบบเถรตรง เช่น
เมื่อเธอส่องกล้องดูเพื่อนบ้านสุดหล่อไปพร้อมกับช่วยตัวเอง อย่าว่าแต่ เอ็มมา
สโตน เลย แบบนี้ เมอรีล สตรีพ ก็ยังทำไม่ได้
เคียสเตน ดันส์ (The Beguiled) หมดสภาพนางเอกสไปเดอร์แมน
แต่ฝีมือการแสดงยังเชื่อขนมกินได้ ประกายความหวังในแววตาเมื่อเธอสัมผัสได้ถึงชีวิตชีวาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีทำให้คนดูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสมเพชและเศร้าใจเมื่อเธอพบว่าทั้งหมดเป็นแค่ความหวังลมๆ
แล้งๆ
ทิฟฟานีย์ แฮดดิช (Girls Trip) แค่ฉากสาธิตการใช้เกรปฟลุตเพื่อให้ผัวรักผัวหลงฉากเดียวก็ชนะเลิศ
มันเล่นโดยไม่เผลอหลุดขำออกมาได้ไง เป็นความจังไรแบบไร้เทียมทานขนานแท้
ทาเทียนา มาสเลนีย์ (Stronger) คาดหวังว่าจะได้ดู
เจค จิลเลนฮาล ปล่อยพลัง แต่เขาดันโดนโขมยซีนเฉย
คริสเตน สจ๊วต (Personal Shopper) หนังมันบ้าบอเหนือการคาดเดาขนาดนี้
(คำชม) นางก็ยังสามารถทำให้คนดูเชื่อและเจ็บไปกับตัวละครได้อย่างเหลือเชื่อ
รู้สึกเหมือน โอลิเวียร์ อัสซายาส
สร้างหนังเรื่องนี้มาเพื่อจะเปิดโอกาสให้สจ๊วตได้ฉายแสงเต็มที่ สังเกตจากผลลัพธ์ต้องถือว่าทำสำเร็จตามเป้า
ความคิดเห็น
รู้สึกหดหู่อย่างมากกับกระแสล่าแม่มดในอเมริกา
อ่านข่าวแต่ละวันแล้วนึกว่าอยู่เราในยุคแม็คคาธีย์ ใครที่ตั้งข้อสงสัย
หรือเตือนสติกระแส Me
Too และ Time’s Up ล้วนถูกจับเผาประจานในทวิตเตอร์และตาม
โซเชียล มีเดีย จนสุดท้ายบางคนก็ต้องยอมจำนน
แล้วออกมาขอโทษทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรผิดเลย เช่น แม็ท เดมอน บางคนถูกเหมารวมไปกับ
ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน เพียงเพราะเขาไม่ “เซนส์ซิทีฟ”
มากพอระหว่างออกเดทกับผู้หญิง เช่น อาซิซ แอนซารี แต่ที่น่าเศร้าใจที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการตามรังควานเหล่านักแสดงที่เคยร่วมงานกับ
วู้ดดี้ อัลเลน เพื่อกดดันให้พวกเขาสำนึกผิดแล้วสาบานว่าจะไม่ทำงานร่วมกับปีศาจร้ายตนนี้อีก
บ้างก็ยอมตามกระแสเพื่อรักษาโอกาสบนเวทีออสการ์ เช่น เกรตา เกอร์วิก
บ้างก็มองเห็นความไร้สาระ แล้วยืนหยัดตามข้อเท็จจริง เช่น อเล็ก บอลด์วิน
เราไม่อาจรู้แน่ได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อ
25 ปีก่อน (อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีใครยอมรับว่าโกหก)
แต่ข้อเท็จจริง คือ วู้ดดี้ อัลเลน ไม่เคยถูกตั้งข้อหาหลังจากถูกสอบสวนโดยทีมอิสระสองทีม
นี่ไม่ใช่กรณีของผู้ชายทรงอิทธิพล
ซึ่งพยายามจะหุบปากผู้หญิงที่สิ้นไร้ทางสู้เพราะขาดกำลังหรือกองหนุน มีอา
ฟาร์โรว์ มีชื่อเสียงและเงินทองพร้อมสรรพ
ทนายความของเธอเป็นทนายความระดับแถวหน้า แต่สุดท้ายขบวนการสอบสวนสรุปว่าไม่ปรากฏหลักฐานตามข้อกล่าวอ้าง
หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่ตราหน้าความผิดของอัลเลน คือ การแต่งงานกับซุนยี ซึ่งสำหรับกลุ่มม็อบแค่นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
และการที่ทั้งสองยังคงอยู่กินมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่อาจลบล้างความรู้สึกเลวร้ายใดๆ
ได้
บ้านตระกูลฟาร์โรว์
ยกเว้นเพียง โมเสส ฟาร์โรว์ ที่ออกมายืนอยู่ฝั่งอัลเลน มองเห็นความพยาบาทเป็นของหวานมาตลอด
พวกเขาพยายามจะเอาผิดกับเหล่านักแสดงหลายคน แต่ไม่เป็นผล (เคท
แบลนเช็ตต์ เคยโดนกดดัน แต่เธอเลือกยืนอยู่ตรงกลางความขัดแย้งโดยบอกว่า
“เราได้แต่คาดเดา” ส่วน สการ์เล็ต
โจแฮนสัน เอนเอียงเข้าข้างอัลเลนด้วยการตำหนิความพยายามล่าแม่มดของ ดีแลน
ฟาร์โรว์) กระแส Time’s Up กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับใช้ทำลายล้างอาชีพของอัลเลน
เมื่อดาราหญิงหลายคนออกมายืนข้างฟาร์โรว์ ไม่ว่าจะเป็น นาตาลี พอร์ตแมน,
รีส วิทเธอร์สพูน, รีเบคก้า ฮอลล์ หรือแม้กระทั่ง มีรา ซอร์วีโน
ซึ่งได้ออสการ์จากหนังของอัลเลนและเคยชื่นชมเขาเอาไว้อย่างสวยหรูในหนังสารคดี
คนพวกนี้ไม่เคยได้ยินข้อกล่าวหาของฟาร์โรว์มาก่อนจะร่วมงานกับ วู้ดดี้ อัลเลน เลย?
ตลอด 25 ปีที่ผ่านมาไม่ปรากฏหลักฐานใหม่ใดๆ
นอกจากข้อเขียนของ ดีแลน ฟาร์โรว์ เมื่อสี่ปีก่อน
ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ยับยั้งใครไม่ให้มาเล่นหนังอัลเลน หรือแสดงความเสียใจที่เคยเล่นหนังของอัลเลน
แต่พอมาวันนี้ หลังจาก ทิโมธี ชาลาเมต์ กระโดดลงเรือหนีตายตามไปอีกคน ดูเหมือนว่า A
Rainy Day in New York อาจกลายเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของอัลเลน
บางคนถึงกับบอกว่า อเมซอนอาจไม่จัดจำหน่ายหนังเรื่องนี้ในโรงด้วยซ้ำ หลังจาก Wonder
Wheel ถูกฝังกลบจนไม่เหลือซาก
เรามาถึงยุคที่ข้อกล่าวหาเทียบเท่ากับบทพิสูจน์ความผิดกันแล้วหรือ
อย่างน้อยในยุคแม็คคาธีย์ก็ยังมีการไต่สวน วู้ดดี้ อัลเลน แตกต่างจาก ฮาร์วีย์
ไวน์สตีน และ บิล คอสบี เพราะนอกจากกรณีฟาร์โรว์แล้ว
ยังไม่มีใครเคยกล่าวหาเขาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศอีกเลย น่าสนใจดีที่ มีอา
ฟาร์โรว์ ประณามอัลเลน แต่กลับเลือกจะปกป้อง โรมัน โปลันสกี้
ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง
ขณะเดียวกันนักแสดงที่ร่วมงานกับโปลันสกี้ก็ไม่เห็นจะถูกตามล้างตามเช็ดแบบเดียวกับนักแสดงในหนังของอัลเลน...
แต่อย่างว่าแหละ ที่นี่มันฮอลลีวู้ด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น