วันเสาร์, พฤษภาคม 19, 2561

Oscar 2018: ออสการ์เสี่ยงทาย


มองภาพรวมรายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์ในปีนี้แล้วค่อนข้างเป็นไปตามความคาดหมาย แม้จะมีเซอร์ไพรส์ให้เห็นบ้างประปราย บ้างก็หลุดเข้าชิงอย่างไม่น่าเชื่อ บ้างก็หลุดโผในนาทีสุดท้าย ทั้งนี้เพราะไม่มีอะไรแน่นอน นอกจากความตายกับ เมอรีล สตรีพ ซึ่งเข้าชิงเป็นครั้งที่ 21 สถิติซึ่งยากจะหาใครมาล้มได้ อย่างไรก็ตามคงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่ออสการ์ยากต่อการคาดเดาผู้ชนะในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เนื่องจากไม่มีหนังเรื่องใดเป็นตัวเก็งแบบปราศจากข้อกังขา ไม่มี The King’s Speech ไม่มี The Artist ไม่มี Birdman ที่สำคัญไม่มีแม้กระทั่ง Spotlight โดยปกติแล้วเมื่อการแข่งเดินทางมาถึงระยะสุดท้าย มักปรากฏตัวเก็งให้เห็นชัดเจนสองเรื่อง แต่ปีนี้ดูเหมือนทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ แน่นอน ตัวเก็งสองเรื่องที่ทำคะแนนนำหน้าคนอื่นอยู่ คือ The Shape of Water และ Three Billboards Outside Ebbing, Missouri แต่ดูเหมือนทั้งสองจะทิ้งห่าง Get Out กับ Lady Bird ไม่มากนัก

ก่อนอื่นเราจะมาวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยของหนังแต่ละเรื่องในเชิงสถิติกันดู ในอดีตการเข้าชิงสูงสุดถึง 13 สาขาของ The Shape of Water ควรจะทำให้มันกลายเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่งโดยอัตโนมัติแบบปราศจากข้อกังขา แต่ในช่วงหลังๆ สถิติดังกล่าวไม่ค่อยขลังเหมือนแต่ก่อน ดังจะเห็นได้จากชะตากรรมของหนังอย่าง The Revenant และ La La Land ลางร้ายที่เด่นชัดที่สุดของ The Shape of Water อยู่ตรงการพลาดเข้าชิงรางวัลสมาคมนักแสดงแห่งอเมริกา (SAG) ในสาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม ซึ่งเปรียบเสมือนสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นี่เป็นคำสาปแบบเดียวกับที่ The Revenant และ La La Land โดนมาแล้วทั้งคู่ ในขณะที่ La La Land อาจมีข้ออ้างว่าเป็นหนังที่เล่นกันหลักๆ แค่สองคน แต่ The Shape of Water กลับไม่ใช่แบบนั้น ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอธิบายได้เลยว่าทำไมมันถึงไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขานี้ นอกจากหนังไม่ได้เป็น “ที่รัก” ของเหล่านักแสดงมากเท่าเรื่องอื่นๆ ซึ่งนั่นคือปัญหาใหญ่ เมื่อพิจารณาว่านักแสดงยังคงเป็นกรรมการกลุ่มที่ใหญ่สุดของรางวัลออสการ์  Braveheart เป็นหนังเรื่องเดียวที่ชนะรางวัลสูงสุดบนเวทีออสการ์โดยไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล SAG ในสาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม (1995 ถือเป็นปีแรกของการแจกรางวัล SAG)

นับแต่กวาดรางวัลบนเวทีลูกโลกทองคำมาครอง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri (หนัง,บท,นำหญิง,สมทบชาย) ก็กลายเป็นเต็งหนึ่งขึ้นมาในบัดดล ก่อนจะตามมาด้วยการเก็บรางวัลนักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมบนเวที SAG ซึ่งถือเป็นการแลกคนละหมัดกับ The Shape of Water ที่ได้รางวัลของสมาคมผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา (PGA) เช่นเดียวกับการกวาดรางวัล Critics’ Choice ทั้งสาขาหนังและผู้กำกับยอดเยี่ยม ทุกอย่างทำท่าจะไปได้สวย จนกระทั่ง มาร์ติน แม็คโดนาห์ หลุดโผออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม นี่ถือเป็นข้อพิสูจน์ได้ไหมว่าหนังหาได้แข็งแกร่งอย่างที่หลายคนคาดคิด (แต่อย่างน้อยมันก็เข้าชิงสาขาลำดับภาพ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ Lady Bird กับ Get Out ขาดแคลนการพลาดเข้าชิงผู้กำกับเคยเป็นเหมือนการถูกตอกตะปูปิดฝาโลง ก่อน เบน อัฟเฟล็ก จะทำลายอาถรรพ์ด้วยชัยชนะของ Argo (นับจาก Driving Miss Daisy เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว) แต่ ณ เวลานั้น อัฟเฟล็กถือเป็นขวัญใจฮอลลีวู้ด (ก่อนเขาจะกลายเป็นตัวตลกให้คนล้อเลียนจากการรับบทแบทแมนใน Justice League) ส่วนหนังของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้านรายได้ (ทำเงินเกิน 100 ล้านในอเมริกาในทางตรงกันข้าม แม็คโดนาห์เป็นผู้กำกับชาวอังกฤษเชื้อสายไอริช ซึ่งโด่งดังแค่ในหมู่เซียนดูหนังหลังผลงานกำกับสองชิ้นแรก (In Bruges, Seven Psychopaths) ได้รับเสียงชื่นชม Three Billboards Outside Ebbing, Missouri เป็นหนังดูสนุก ทำเงินได้น่าพอใจ (ขณะนี้ทำเงินในอเมริกาไป 40 ล้านเหรียญและที่สำคัญยังคว้ารางวัลขวัญใจมหาชนมาครองจากเทศกาลหนังโตรอนโตแบบเดียวกับ The King’s Speech และ 12 Years a Slave เคยทำสำเร็จ อาจต้องมาลุ้นกันต่อไปว่ามันจะเอาชนะคำสาปของการหลุดเข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมได้หรือไม่

ส่วน Get Out กับ Lady Bird นั้นได้เข้าชิงรางวัลสำคัญครบถ้วน ทั้งออสการ์สาขาผู้กำกับ และ SAG นักแสดงกลุ่ม แต่ยังไม่สามารถคว้ารางวัลสำคัญของเหล่าสมาคมนักวิชาชีพในอเมริกามาครอง (Lady Bird อาจได้เปรียบกว่าหน่อยตรงที่ชนะลูกโลกทองคำสาขาหนังเพลง/ตลก) นอกจากนี้หนังดูเหมือนจะขาดเสียงสนับสนุนอย่างถ้วนทั่วจากกรรมการในหมวดงานเทคนิค ดังจะเห็นได้จากการเข้าชิงแค่ 4 และ 5 สาขาตามลำดับ ตัวอย่างหนังที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกัน คือ Spotlight ซึ่งเข้าชิงทั้งหมด 6 สาขา โดยความแตกต่างสำคัญอยู่ตรงที่มันได้เข้าชิงสาขาลำดับภาพด้วย หลายคนเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวลในเมื่อ Birdman ซึ่งเป็นหนังที่มีการตัดภาพ (แบบซ่อนมุมกล้องเพียงไม่กี่ครั้ง ก็เคยชวดเข้าชิงสาขาลำดับภาพ มาแล้ว และนั่นไม่ได้ทำลายแนวโน้มในการคว้ารางวัลสูงสุดของมันเลย แต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ Birdman เดินหน้ากวาดรางวัล SAG, PGA และ DGA มาครองได้แบบครบถ้วน การทำลายอาถรรพ์ของ Birdman (หนังเรื่องแรกที่ได้ออสการ์หนังเยี่ยมโดยไม่เข้าชิงสาขาลำดับภาพนับจาก Ordinary People) เป็นสิ่งที่ถูกคาดเดาไว้แล้ว ที่สำคัญ หนังของ อเลฮานโดร อินาร์ริตู ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงมากถึง 9 สาขาอีกด้วย พิสูจน์ให้เห็นถึงการยอมรับ ชื่นชมจากคณะกรรมการโดยทั่วไป เมื่อเทียบกับการเข้าชิงอันจำกัดจำเขี่ยของ Lady Bird และ Get Out

ทีนี้เราจะลองมาพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลไม่น้อยกว่ากัน หนึ่งในนั้น คือ วิธีการลงคะแนนแบบเรียงลำดับ หรือ preferential ballot ซึ่งเริ่มใช้ในปี 2009 ให้ผลประโยชน์หนังที่ไม่มีใครเกลียด ลงโทษหนังที่ค่อนข้างสุดโต่งประเภท ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย หรือหนังที่มีจุดสะกิดใจคนให้ไม่อยากโหวต ตัวอย่างของหนังซึ่งน่าจะได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากการลงคะแนนแบบเรียงลำดับ คือ Spotlight เพราะมันเป็นตัวเลือกที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ไม่มีใครเกลียดหนังเรื่องนี้แบบที่ The Revenant อาจเผชิญ ไม่มีใครตั้งอคติกับมันเหมือนอย่างที่ Mad Max: Fury Road อาจโดน (แค่หนังป็อปคอร์น สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง) เพราะใครก็ตามที่เลือกหนังสองเรื่องนั้นเป็นอันดับหนึ่ง มีจำนวนไม่น้อยที่เลือก Spotlight เป็นอันดับสอง หรืออาจพูดง่ายๆ ได้ว่า Spotlight เป็นหนังแห่งฉันทามติ ประเด็นนี้จะมีความสำคัญอย่างมากในปีที่การแข่งขันค่อนข้างสูสี และความเห็นไม่ได้เป็นเอกฉันท์ตั้งแต่การนับคะแนนรอบแรก

มองในจุดนี้จะพบว่าทั้ง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri และ The Shape of Water ล้วนประสบปัญหาเรื่องแรกกำลังเผชิญกระแสต่อต้านจากกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งมองว่าหนัง “มีปัญหา” ในการนำเสนอเรื่องราวของตัวละครที่เหยียดเชื้อชาติ (แซม ร็อคเวล) บ้างถึงขั้นกล่าวหาว่าหนังเรื่องนี้ racist ซึ่งออกจะเกินเลยไปนิด แต่แน่นอนว่ารอยด่างพร้อยได้บังเกิดขึ้นแล้ว ไอเดียถูกจุดประกาย กรรมการจะทบทวนซ้ำสองก่อนโหวตให้กับหนังเรื่องนี้ อีกหนึ่งจุดที่อาจทำลายพลังในการเข้าถึงคนในวงกว้าง คือ ตัวหนังเอง (ไม่ต่างจากตัวละครที่ ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์ รับบท) ค่อนข้างจะสุดโต่ง เน้นการเผชิญหน้า และจบลงในลักษณะที่ไม่คลี่คลายปมปัญหา ซึ่งย่อมทำให้กรรมการบางส่วนงุนงง หรือกระทั่งต่อต้าน ส่วนปัญหาของ The Shape of Water น่าจะมีรากเหง้ามาจากมันเป็นหนังที่ “ประหลาด” สำหรับคนหมู่มาก นั่นยังไม่รวมถึงอคติโดยทั่วไปของกรรมการต่อหนังแฟนตาซี หรือหนังสัตว์ประหลาด ซึ่งมักถูกมองว่าขาด “ความสำคัญ” มากพอจะเป็นหนังยอดเยี่ยม แต่อย่างน้อยทีมงานคงอุ่นใจขึ้นมาได้บ้างจากข้อเท็จจริงที่ว่า The Lord of the Rings: The Return of the King เคยทำสำเร็จมาแล้ว แม้ว่า The Shape of Water จะขาดสโคปและการเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งวัฒนธรรมป็อปแบบมหากาพย์ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน ก็ตาม

หนังที่อาจได้ประโยชน์จาก preferential ballot คือ Lady Bird ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเกลียด (สังเกตได้ว่ามันเป็นหนังที่ได้สกอร์สูงสุดในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes) แม้หลายคนจะเห็นว่ามัน “เล็ก” และ “อินดี้” เกินไปโดยเฉพาะในหมู่กรรมการผู้ชาย ซึ่งไม่ค่อยอินกับหนัง แต่เป็นชนกลุ่มใหญ่ เช่นเดียวกัน Get Out ก็เป็นหนังที่ไม่มีใครเกลียด แต่ปัญหาของมันอาจคล้ายคลึงกับ The Shape of Water ตรงอคติต่อตระกูลหนังสยองขวัญ แม้ว่ามันจะมีข้อได้เปรียบเหนือ The Silence of the Lamb (หนังสยองขวัญเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้ารางวัลสูงสุดบนเวทีออสการ์ตรงการแทรกแง่มุมสะท้อน/เสียดสี/วิพากษ์สังคมเอาไว้อย่างแยบยล และประเด็นเหยียดเชื้อชาติยังเป็นประเด็นที่เข้ายุคเข้าสมัย สร้างอารมณ์ร่วมในหมู่อเมริกันชนได้อย่างมากมายอีกด้วย

ปัจจัยสุดท้ายที่อาจส่งผลต่อการเลือกของกรรมการ คือ กระแสสังคมและการเมือง โดยในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ ท่ามกลางการลุกฮือของผู้หญิงที่ประกาศกร้าวว่าพวกเธอจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป หนังเรื่องใดจะได้ประโยชน์สูงสุด แน่นอน หลายคนใฝ่ฝันอยากจะเห็นชัยชนะของผู้หญิง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เกรตา เกอร์วิก ถึงฝ่าด่านของผู้กำกับชายอีกหลายคนมาติด 1 ใน 5 ได้สำเร็จ (กระแสจากลูกโลกทองคำอาจมีส่วนไม่น้อย) พวกเขาไม่อยากเห็นหายนะแบบเดียวกับ ฮิลลารี คลินตัน เกิดขึ้นอีก หรือเผชิญกับข้อกล่าวหาทำนอง #OscarSoMale จึงต้องพยายามผลักดันเธออย่างถึงที่สุด และนั่นก็เป็นข้อได้เปรียบของ Lady Bird เหนือหนังเรื่องอื่น เพราะนี่เป็นหนังผู้หญิงอย่างแท้จริง กำกับโดยผู้หญิง เล่าถึงการเดินทางของเด็กผู้หญิง คุณคงไม่อยากถูกกล่าวหาว่ากำลังขัดขวางความเท่าเทียมทางเพศ เช่นเดียวกับไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเหยียดสีผิว (นั่นอาจมีส่วนทำให้ Moonlight พลิกล็อกเอาชนะ La La Land ได้สำเร็จเมื่อปีก่อน) แต่อย่างที่กล่าวไปแล้ว หนังดูเหมือนจะไม่สามารถสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับกรรมการผู้ชายได้เลย ที่สำคัญ คู่แข่งสำคัญของ Lady Bird ก็เล่าเรื่องราวที่มีผู้หญิงเป็นตัวละครหลักเช่นกัน

หนังอีกเรื่องที่อาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากกระแส #MeToo ได้แก่ Three Billboards Outside Ebbing, Missouri เนื่องจากตัวละครเอกเป็นคุณแม่ที่ลูกสาวถูกฆ่าข่มขืน แต่ตำรวจไม่อาจจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้ ความโกรธแค้นของเธอสะท้อนอารมณ์แบบ “พอกันที” ของเหล่าผู้หญิงที่ถูกกดขี่จากระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่ และในเวลาเดียวกันอาการไปกันใหญ่ของเธอในช่วงท้ายเรื่อง (ซึ่งน่าจะโดนเสียงต่อต้านจากกรรมการหลายคนอยู่เหมือนกัน) ก็สะท้อนถึงความลุกลามใหญ่โตของกระแส #MeToo จนแทบจะกลายเป็นปรากฏการณ์ล่าแม่มดได้อีกด้วย

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ โดยรวมแล้ว ต้องยอมรับว่า The Shape of Water นำหน้าคู่แข่งอยู่เล็กน้อย หลังจากมันเดินหน้าเก็บรางวัล PGA, DGA และ Critics’ Choice มาครอง แต่โอกาสที่มันจะโดน Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ขัดขาในจังหวะสุดท้ายก็ยังพอมีอยู่ ส่วนรางวัลใหญ่ในสาขาอื่นนั้นอาจเรียกได้ว่า ล็อกเกือบหมดแล้ว ผู้กำกับ กิลเลอร์โม เดล โทโร ซึ่งเป็นที่รักของคนในวงการ น่าจะเจริญรอยตามเพื่อนซี้อย่าง อเลฮานโดร อินาร์ริตู และ อัลฟอนโซ กวารอน ไปติดๆ หลังจากเพิ่งเก็บ DGA มาครอง ขณะที่สาขานักแสดงก็น่าจะเป็น ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์, แกรี โอลด์แมน, แซม ร็อคเวล และ อัลลิสัน แจนนีย์ สอดคล้องกับรางวัลของ SAG โดยคนที่เปราะบางสุดในกลุ่มน่าจะเป็นแจนนีย์ ซึ่งแน่นอนว่าป็อปปูล่าในหมู่นักแสดงทีวี (สมาชิกส่วนใหญ่ของ SAG) แต่บางครั้งกรรมการออสการ์ก็ชอบทำตัว หัวสูงและอาจเลือกนักแสดงที่โดดเด่นจากแวดวงละครเวทีขึ้นมาแทนอย่าง ลอรี เม็ทคาล์ฟ เหมือนที่ มาร์ค ไรแลนซ์ เคยทำได้เมื่อสองปีก่อน นอกจากนั้นนี่อาจเป็นสาขาเดียวสำหรับมอบรางวัลให้กับ Lady Bird หากกรรมการต้องการเฉลี่ยรางวัลให้กับหนังอย่างถ้วนทั่ว หรือไม่งั้น เลสลีย์ แมนวิลล์ ก็อาจสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการซิวรางวัลไปครอง หากกรรมการชื่นชอบ Phantom Thread มากพอ


พลิกล็อก

* เจมส์ แฟรงโก (The Disaster Artist) ออกสตาร์ทช่วงแรกได้อย่างสวยงาม เข้าชิงนำชายแทบทุกรางวัลใหญ่ๆ ที่มีการประกาศ และบางครั้งก็ถึงขั้นคว้ารางวัลไปครองด้วยซ้ำ เช่น ลูกโลกทองคำ และ กอแธม อวอร์ด จนกระทั่งข่าวอื้อฉาวเรื่องเขาล่วงเกินทางเพศผู้หญิงหลายคนเริ่มแพร่กระจายในช่วงไม่กี่วันก่อนจะปิดการลงคะแนนเสียง ทันใดนั้นโอกาสเข้าชิงของเขาก็พลันตกวูบ แล้วถูกแทนที่โดยขวัญใจออสการ์อย่าง เดนเซล วอชิงตัน (Roman J. Israel, Esq.) กับหนังที่ปราศจากกระแสใดๆ อย่างสิ้นเชิง แต่เช่นเดียวกับ เมอรีล สตรีพ เดนเซลสั่งสมบารมีมาในระดับที่คนสามารถกดโหวตได้โดยสนิทใจ เหมือนตรา อย. ประทับรับประกันคุณภาพ อีกหนึ่งเหตุผลอาจเป็นเพราะบทตลกมักถูกประเมินค่าต่ำบนเวทีออสการ์ ขณะเดียวกันแฟรงโกเองก็มักจะมีพฤติกรรมค่อนข้างแปลก พิสดาร ทำให้เขาไม่ใช่ขวัญใจคนหมู่มากตั้งแต่ก่อนจะเกิดข่าวอื้อฉาวด้วยซ้ำ

* Phantom Thread มาแรงเหนือความคาดหมาย (หนังเข้าฉายช้าสุด จึงมีส่วนทำให้มันพลาดเข้าชิงรางวัลนำร่องอื่นๆ ก่อนหน้าโดยมีชื่อปรากฏในสาขาใหญ่ๆ เกือบจะครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นหนัง ผู้กำกับ นำชาย หรือสมทบหญิง เซอร์ไพรส์แท้จริงอยู่ตรงสาขาผู้กำกับ ซึ่ง พอล โธมัส แอนเดอร์สัน เบียด มาร์ติน แม็คโดนาห์ จาก Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ตัวเต็งในสาขาหนังเยี่ยม ชนิดไม่มีใครคาดคิด และนักแสดงสมทบหญิง เลสลีย์ แมนวิลล์ ซึ่งมาเสียบแทน ฮอง เชา (Downsizing) ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำ SAG และ Critics’ Choice อย่างครบถ้วน แต่คนหลังถือว่าไม่น่าแปลกใจนัก เพราะหนังของเธอได้เสียงตอบรับไม่ค่อยดี ตรงข้ามกับ Phantom Thread และ The Shape of Water (ออกเทเวีย สเปนเซอร์)

* คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ได้รางวัลตอบแทนคุณงามความดีจากการเร่งถ่ายซ่อมแบบ 9 วันรวด (เพื่อเขี่ย เควิน สเปซีย์ ซึ่งโดนข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศฝังกลบ ออกจากหนังด้วยการเป็นคนเดียวที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากหนังเรื่อง All the Money in the World เบียดแซงสองนักแสดงจาก Call Me by Your Name อย่าง อาร์มี แฮมเมอร์ และ ไมเคิล สตูห์ลบาร์ก ในช่วงโค้งสุดท้าย

* การเข้าชิงแค่สองสาขาของ The Post อาจถือเป็นจุดจบของหนังแนว “เหยื่อล่อออสการ์ในแบบเก่า (พูดถึงสารที่ยิ่งใหญ่ นำแสดงโดยซูเปอร์สตาร์) ซึ่งเริ่มจุดประกายตั้งแต่ปีก่อน เมื่อ La La Land พ่ายให้กับ Moonlight ออสการ์ได้ผันตัวสู่เส้นทางใหม่ กรรมการหนุ่มสาวจะไม่คำนึงถึงเรื่องทักษะ หรือเทคนิคภาพยนตร์มากเท่าไหร่ มากสุดที่พวกเขาจะให้ได้ คือ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมต้องเป็นหนังที่แสดงจุดยืนทางการเมืองที่ถูกต้อง มี “ตัวตนแบบที่คนรุ่นใหม่สามารถเชียร์ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ กลุ่ม woke เริ่มมีอิทธิพลสำคัญเหนือกลุ่ม steak eater (ซึ่งเชื่อกันว่ามีส่วนช่วยบล็อกโหวตหนังอย่าง Brokeback Mountain และเป็นเหตุผลให้หนังอย่าง American Sniper ประสบความสำเร็จพวกเขาต้องการโหวตให้กับหนังอย่าง Lady Bird และ Get Out ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับชนชั้นกลางผิวขาว กำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก เพราะมันไม่ “เท่พวกเขาได้กลิ่นกระสันรางวัลของ The Post มาแต่ไกล และไม่ชอบกลเกม สูตรสำเร็จ หรือการถูกจูงจมูก ท่ามกลางกระแส #MeToo กับ #OscarSoWhite หนังของสปีลเบิร์กให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นอายจากอดีต ซึ่งควรถูกฝังกลบไปแบบเดียวกับ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ที่ในยุคหนึ่งเคยครองความยิ่งใหญ่บนเวทีออสการ์ (สุดยอดความสำเร็จของเขาที่ทุกคนจำได้ดี คือ เมื่อ Shakespeare in Love พลิกคว่ำตัวเก็งอย่าง Saving Private Ryan ของสปีลเบิร์ก)... หรือบางทีเหตุผลง่ายๆ อาจเป็นแค่กรรมการไม่ชอบ The Post มากเท่าหนังเรื่องอื่น


เกร็ดสถิติ

เมอรีล สตรีพ ยังคงเดินหน้าทำลายสถิติของตัวเองต่อไป นี่เป็นการเข้าชิงครั้งที่ 21 แต่น่าสนใจว่า The Post เป็นหนังเรื่องแรกของเธอที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขาหนังเยี่ยมนับจาก Out of Africa (1985) เมื่อ 32 ปีก่อน จนอาจพูดได้ว่าเธอสามารถเข้าชิงได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบารมีของหนัง ถือเป็นแนวโน้มที่ตรงข้ามกับช่วงเริ่มต้นอาชีพนักแสดง เมื่อเธอได้เข้าชิงสองครั้งแรกจาก The Deer Hunter (1978) และ Kramer vs. Kramer (1979) ซึ่งต่างก็เดินหน้าคว้าออสการ์หนังเยี่ยมไปครองในที่สุด ขณะที่ แดเนียล เดย์-ลูว์อิส ได้เข้าชิงเป็นครั้งที่ 6 (ทั้งหมดในสาขานำชายจากหนังที่เข้าชิงสาขาสูงสุดอย่างครบถ้วน (แต่ไม่มีเรื่องไหนเคยชนะ) นั่นคือ My Left Foot (1989), In the Name of the Father (1993), Gangs of New York (2002), There Will Be Blood (2007), Lincoln (2012) และ Phantom Thread (2017)

ทิโมธี ชาลาเมต์ (Call Me by Your Name) สร้างสถิติเป็นนักแสดงที่อายุน้อยสุดอันดับ 3 ที่ได้เข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (22 ปี) ตามหลัง แจ็คกี้ คูเปอร์ ซึ่งเข้าชิงจาก Skippy (1931) ขณะอายุได้ 9 ขวบ และ มิคกี้ รูนีย์ ซึ่งได้เข้าชิงจาก Babes in Arms (1939) ขณะอายุได้ 19 ปี

เรเชล มอร์ริสัน กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เข้าชิงออสการ์ในสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมจาก Mudbound

เกรตา เกอร์วิก เป็นผู้กำกับหญิงคนแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงจากผลงานกำกับเรื่องแรก Lady Bird และเป็นผู้กำกับหญิงคนที่ 5 ที่ได้เข้าชิงสาขานี้ คนเดียวที่คว้ารางวัลไปครองได้ คือ แคทธีน บิเกโลว์ จาก The Hurt Locker เมื่อปี 2010

ดี รีส์ เป็นผู้หญิงผิวดำคนที่สองที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขาบทภาพยนตร์จาก Mudbound (บทดัดแปลงโดยคนแรกที่ทำได้ คือ ซูซานน์ เดอ พาส จาก Lady Sings the Blues (บทดั้งเดิมเมื่อปี 1972

จอร์แดน พีล เป็นผู้กำกับผิวดำคนที่ 5 ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Get Out และมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์เป็นคนแรกที่ชนะรางวัล นอกจากนี้เขายังได้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทดั้งเดิมยอดเยี่ยมอีกด้วย ถือเป็นคนผิวดำคนแรกที่ทำได้

Get Out เป็นหนังเรื่องแรกที่เข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนับจาก The Silence of the Lambs เมื่อปี 1991

ออกเทเวีย สเปนเซอร์ (The Help, Hidden Figures) ทำสถิติเท่ากับ ไวโอลา เดวิส (Doubt, The Help, Fences) ในฐานะนักแสดงหญิงผิวดำที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์บ่อยที่สุด (3 ครั้ง) นอกจากนี้เธอยังเป็นนักแสดงหญิงผิวดำคนแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สองปีติดต่อกัน

นักทำหนังชาวฝรั่งเศสระดับตำนานวัย 89 ปี อานเญส วาร์ดา ซึ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขาสารคดียอดเยี่ยม (Faces Places) เป็นผู้เข้าชิงที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (เธอแก่กว่า เจมส์ ไอวอรี ซึ่งเข้าชิงในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจาก Call Me by Your Name แปดวัน) ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งได้รางวัลออสการ์เกียรติยศในเดือนพฤศจิกายน


แยนซี ฟอร์ด กลายเป็นผู้กำกับข้ามเพศคนแรก (เขาเป็นชายข้ามเพศที่ถูกเสนอเชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากหนังสารคดีเรื่อง Strong Island



ปฏิกิริยาผู้เข้าชิง

เจอาร์กับฉันสร้างหนัง Faces Places เพื่อให้คนดูได้แบ่งปันและชื่นชม เราดีใจที่หนังเราติดรายชื่อ 15 หนังสารคดีที่ได้รับคัดเลือกให้เข้ารอบ แต่การมีชื่อติด 5 เรื่องสุดท้ายทำให้เรามีความสุขมากๆ นั่นแปลว่าเราต้องแข่งขันกับหนังดีๆ อีก 4 เรื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าสนุก แต่ทำยังไงได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราดีใจที่ได้มีส่วนร่วม สำหรับศิลปินชาวฝรั่งเศส นี่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งอานเญส วาร์ดา (เข้าชิงสาขาหนังสารคดีขนาดยาวยอดเยี่ยม)

ผมทำสกอร์ให้หนังทุกเรื่องของ มาร์ติน แม็คโดนาห์ ส่วน ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์ กับผมก็เริ่มต้นอาชีพมาพร้อมกันเมื่อ 35 ปีก่อนกับเรื่อง Blood Simple ผมรู้สึกเหมือนได้แบ่งปันเกียรติยศร่วมกับสมาชิกในครอบครัวคาร์เตอร์ เบอร์เวลล์ (เข้าชิงสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม)

ผมปลื้มใจมากที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จาก Call Me by Your Name ในความคิดผม งานเขียนบทหนังชั้นดีเป็นศิลปะขั้นสูง ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าผมจะเอื้อมถึงมาตลอด ฉะนั้นในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์การได้รับเกียรติในครั้งนี้จากเหล่าเพื่อนนักเขียนทั้งหลายทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก” เจมส์ ไอวอรี (เข้าชิงสาขาบทดัดแปลงยอดเยี่ยม)

ฉันไม่เคยตื่นเต้นมากเท่านี้มาก่อน มันเหมือนฝันที่เป็นจริง เหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเพื่อนฉัน สตีเวน (โรเจอร์สเขียนบทนี้ให้ฉัน เขาชอบพูดว่า ผมเขียนบทนี้เพื่อให้คุณได้รางวัลออสการ์ฉันรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขาสำหรับเกียรติยศในครั้งนี้ นี่เป็นเช้าที่พิเศษสุดอย่างไม่ต้องสงสัย” อัลลิสัน แจนนี (เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม)

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ผมกำลังเดินทางอยู่กับ อาร์มี แฮมเมอร์ ตลอด 12 ชม. ที่ผ่านมา เครื่องเราจะลงจอดในอีกสองชม. เราจะได้กลับมายังอิตาลีด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีครึ่ง คืนนี้เราจะทานอาหารเย็นกับ ลูก้า กัวดานีโน ถ้าปราศจากอัจฉริยภาพและวิสัยทัศน์ของเขา ความไว้วางใจ การชี้แนะของอาร์มี ทุนการศึกษาสาธารณะซึ่งช่วยให้ผมมีโอกาสได้เรียนที่ลากัวร์เดีย ผมคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้ ขอบคุณทุกคนที่ช่วยทำให้วันนี้เป็นไปได้ และขอบคุณคณะกรรมการที่ให้การยอมรับทิโมธี ชาลาเมต์ (เข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม)

ช่างวิเศษสุดจริงๆ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากโครงการหนังที่คุณหลงรัก แล้วได้เห็นทุกคนทุ่มเทหัวใจและจิตวิญญาณในการสร้างมันลอรี เม็ทคาล์ฟ (เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม)

ไม่มีความคิดเห็น: