วันเสาร์, เมษายน 25, 2558

Short Comment: Cinderella


ท่ามกลางกระแสความนิยมของหนังชุด Twilight และ 50 Shades of Grey ซึ่งพลิกตลบแนวคิดเกี่ยวกับเฟมินิสต์ให้ย้อนไปสู่ยุคกลางด้วยการเทิดทูนบูชาเพศชายในฐานะผู้ปกป้องคุ้มภัยและมีอำนาจเหนือหัว ความคิดที่จะนำเอาเทพนิยายอย่าง Cinderella มาดัดแปลงสร้างใหม่จึงถือเป็นเรื่องเข้ายุคเข้าสมัยอยู่พอสมควร เมื่อพิจารณาว่าตัวละครเอกในเทพนิยายเรื่องนี้คือที่มาของคำศัพท์ทางจิตวิทยาสำหรับอธิบายภาวะปรารถนาที่จะพึ่งพิงผู้อื่น ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และหวาดกลัวที่ยืนหยัดบนลำแข้งของตัวเอง (Cinderella Complex)

และเพื่อให้อินเทรนด์สมบูรณ์แบบผู้กำกับ เคนเน็ธ บรานาห์ และคนเขียนบท คริส ไวท์ซ เลือกจะยึดตามเรื่องราวตามการ์ตูนฉบับ วอลท์ ดิสนีย์ เป็นหลัก แทนการดัดแปลงใหม่ให้ได้กลิ่นอายเฟมินิสต์แบบแข็งทื่อ (ตัวละครเอกเพศหญิงมีความเป็นผู้นำและเข้มแข็งแบบนักรบ) อย่าง Mirror, Mirror และ Snow White and the Huntsman หรือล่าสุด Maleficent เพราะแนวคิดดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นสารตกค้างจากทศวรรษ 1990s ไปแล้ว ยุคสมัยที่ เธลมา กับ หลุยส์ ทนความเลวกว่าหมาของผู้ชายไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาอาละวาดให้สาแก่ใจ (อันที่จริง Maleficent ยังยึดตามแนวคิดดังกล่าวอยู่พอสมควร) ความโกรธขึ้ง อัดอั้นตันใจจากเก่าก่อนถูกแปรเปลี่ยนเป็นแฟนตาซีย้อนยุค เมื่อเหล่าผู้หญิงสมัยใหม่ เลือกจะเป็นเบี้ยล่างของผู้ชายที่เข้มแข็ง (ไม่ว่าในแง่กายภาพ หรือสถานะทางการเงิน) แต่ขณะเดียวกันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ (หรือบุคลิกน่าขนลุก ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน)

การกระทำดังกล่าวอาจพูดได้ว่าเป็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของ Cinderella เวอร์ชั่นนี้ กล่าวคือ มันแทบจะสิ้นไร้ความคิดสร้างสรรค์ หรือความกล้าหาญ (ย้อนแย้งกับคำพูดที่แม่บอกกล่าวซินเดอเรลลาก่อนตาย ซึ่งถูกเน้นย้ำในหนังอยู่หลายครั้ง) แต่ในเวลาเดียวกันก็ตระหนักดีว่าตัวเองต้องการอะไร และไม่พยายามอวดอ้าง หรือสวมบทบาทเป็นอย่างอื่นที่มากมายกว่านั้น ที่สำคัญ การพยายาม ดัดแปลงหรือสร้างเรื่องขึ้นใหม่ย่อมเสี่ยงต่อการทำลายเสน่ห์ดั้งเดิมของตัวละคร (ไม่เชื่อก็ลองดู Maleficent เป็นตัวอย่าง) และเรื่องราวคลาสสิก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสามารถดึงดูดอารมณ์ร่วมของผู้คนจำนวนมากได้ มิเช่นนั้นแล้วมันคงไม่เป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การบอกว่า Cinderella เวอร์ชั่นนี้ปราศจากความแปลกใหม่ใดๆ เลยก็อาจไม่ค่อยยุติธรรมนัก เพราะถึงแม้อารมณ์แฟนตาซีพาฝันของหนังจะบรรลุจุดประสงค์ตามเป้าหมาย ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณงานสร้างอันประณีตบรรจงและตอบโจทย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ขณะเดียวกันบทหนังก็มีความพยายามจะอุดช่องโหว่บางจุดในแง่เรื่องเล่าได้ดี เช่น การให้เวลาเล็กน้อยสำหรับอธิบายความดีงามของซินเดอเรลลา (ลิลลี เจมส์) ตลอดจนความชั่วร้ายของแม่เลี้ยง (เคท แบลนเช็ตต์) ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนตัวละครเอกในนิยาย เฮนรี เจมส์ (The Wings of the Dove) โดยเมื่อต้องเลือกระหว่างความรักกับเงินทอง เธอก็ไม่รีรอที่จะเลือกอย่างหลังแล้วแต่งงานไปกับพ่อของเอลลา (เบน แชปลิน) เพื่อความอยู่รอดของตนเองกับลูกสาวอีกสองคน (ซึ่งไม่ฉลาดหรือสวยงามพอจะหาคู่ครองดีๆ ได้) เนื่องจากผู้หญิงในยุคนั้นปราศจากตัวเลือกมากมายนัก นอกจากนี้ ความรักระหว่างซินเดอเรลลากับเจ้าชาย (ริชาร์ด แมดเดน) ก็ดูจะมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อเขาได้พบเจอเธอก่อนงานเลี้ยงเต้นรำ และรู้สึกชื่นชมจิตใจอันเปี่ยมเมตตาของหญิงสาว รวมไปถึงความกล้าที่จะแหกกฎประเพณี ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเองก็ปรารถนาจะทำให้ได้เช่นกัน หลังจากถูกบิดายืนกรานให้แต่งงานกับเจ้าหญิงจากแดนอื่นเพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักรแทนการเลือกคู่ครองจากความรัก

คงไม่เป็นการสปอยล์หนังจนเกินไป หากจะบอกว่าสุดท้ายแล้วทุกวิกฤติความขัดแย้งก็สามารถคลี่คลายได้อย่างงดงาม (และง่ายดาย) ความรักถูกเฉลิมฉลองผ่านฉากแต่งงานอันยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับเมตตาธรรม เมื่อซินเดอเรลลาหันไปบอกแม่เลี้ยงของเธอก่อนจะตามเจ้าชายกลับไปยังพระราชวังว่า ฉันยกโทษให้คุณ”… หลังจากต้องทนทรมานจากการถูกกลั่นแกล้งสารพัดและโดนดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นานา  คำพูดดังกล่าวช่างฟังดูทรงพลังและยิ่งใหญ่เหนือกว่าความรักใดๆ ระหว่างเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กับหญิงสาวสามัญชน

ไม่มีความคิดเห็น: