ตอนที่
ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ อายุ 28 ปี เขาได้รวบรวมเพื่อนๆ ในเมืองบ้านเกิด (ออสติน
รัฐเท็กซัส) มาช่วยกันถ่ายหนังทุนต่ำ (23,000 เหรียญ) เรื่องหนึ่งซึ่งปราศจากพล็อตและดำเนินเหตุการณ์ภายในหนึ่งวัน
เกี่ยวกับกลุ่มคนที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากพูดคุยเกี่ยวกับชีวิต อวกาศ
และทฤษฎีสมคบคิด Slacker เปิดฉายที่เทศกาลหนังซันแดนซ์สองปีหลังจาก
Sex, Lies, And Videotape ของ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก และหนึ่งปีก่อนหน้า
Reservoir Dogs ของ เควนติน ตารันติโน มันได้รับการยกย่องอย่างสูงและกลายเป็นภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกในเวลาต่อมา
ส่วนลิงค์เลเตอร์ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับรุ่นบุกเบิกที่ช่วยผลักดันกระแส “อเมริกันอินดี้” ให้ได้ลืมตาอ้าปาก
กลายเป็นที่จับตามองของทุกคน
การผันตัวไปเป็นมือปืนรับจ้างให้กับสตูดิโอฮอลลีวู้ดของลิงค์เลเตอร์ในเวลาต่อมาลงเอยด้วยผลลัพธ์ลุ่มๆ
ดอนๆ บางเรื่องกลายเป็นหนังฮิต เช่น School of Rock บางเรื่องกลับกลายเป็นหนังที่ทุกฝ่ายอยากจะลืม
เช่น The Newton Boys แต่เมื่อใดก็ตามที่ลิงค์เลเตอร์ทำหนังอิสระแบบที่เขาอยากทำจริงๆ
ส่วนใหญ่มักลงเอยด้วยมนตร์เสน่ห์แสนงดงาม ดังจะเห็นได้จากหนังชุด Before
Trilogy ซึ่งถ่ายทำโดยทิ้งเวลาห่างกันเรื่องละ 9 ปี ดำเนินเหตุการณ์ภายในหนึ่งวันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงคู่หนึ่ง
เริ่มต้นจากเมื่อครั้งที่พวกเขาตกหลุมรักและแยกทางกัน (Before Sunrise) ก่อนต่อมาจะได้พบเจอกันอีกครั้ง แล้วตระหนักว่ารสชาติหอมหวานแห่งรักนั้นหาได้จืดจางลงแต่อย่างใด
(Before Sunset) จนในที่สุดจึงตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันท่ามกลางอุปสรรคและความคับข้องใจ
(Before Midnight) หนังทั้งสามเรื่องประสบความสำเร็จอย่างสูง
และช่วยสะท้อน “รูปแบบ” หนังอินดี้ของลิงค์เลเตอร์ให้เด่นชัดขึ้น
กล่าวคือ พวกมันมักจะอัดแน่นไปด้วยบทสนทนาซึ่งมีความสมจริง ใกล้เคียงกับสิ่งที่คนทั่วๆ
ไปพูดคุยกันในชีวิตประจำวัน (ตรงนี้จะแตกต่างจากบทสนทนาในหนังของ
เควนติน ตารันติโน ซึ่งมักสอดแทรกความยอกย้อน เล่นลิ้น คมคายในแบบวรรณกรรม)
ผ่านหัวข้อหลากหลายตั้งแต่ปรัชญา ความรัก
ไปจนถึงการดำรงอยู่ของชีวิต ขณะเดียวกันเรื่องราว (ถ้าพอจะมีอยู่บ้าง)
และตัวละครของเขาก็จะไม่ผูกติดกับการเล่าเรื่องแบบคลาสสิกของฮอลลีวู้ด
แต่ใกล้เคียงกับหนังอาร์ตของฝั่งยุโรปมากกว่า
แม้ว่าหนังของลิงค์เลเตอร์หลายเรื่องจะเข้าข่าย
“พูดมาก” แต่รวมๆ แล้วมันกลับไม่เคยน่าเบื่อ
หรือน่ารำคาญ ทั้งนี้เพราะสิ่งที่ตัวละครเหล่านั้นพูดคุยนั้นล้วนมีความน่าสนใจ เปี่ยมอารมณ์ขัน
และสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้คนได้โดยปราศจากกำแพงทางวัฒนธรรม หรือเชื้อชาติ
นอกจากนี้ลิงค์เลเตอร์ยังจับอารมณ์ร่วมแห่งยุคสมัยได้อย่างแม่นยำ เช่น แก่นสารแห่งชีวิตของวัยรุ่น
Gen X ในหนังอย่าง Slacker และ Dazed
and Confused ซึ่งปรารถนาจะใช้เวลาว่างในการสังสรรค์
เชื่อมโยงกับเพื่อนรุ่นเดียวกันแทนการแสวงหาความก้าวหน้าทางด้านอาชีพ และหลายครั้งหนังของเขาจะสะท้อนภาวะอันเป็นสากลซึ่งทุกคนล้วนเคยประสบพบพานมาแล้วอย่างงดงาม
ไม่ว่าจะเป็นภาวะการตกหลุมรักใครสักคนแบบใน Before Trilogy หรือการก้าวข้ามจากช่วงวัยเด็กสู่วัยรุ่น
จากวัยหนุ่มสาวเปี่ยมความฝันสู่วัยผู้ใหญ่เปี่ยมภาระและความรับผิดชอบแบบใน Boyhood
ผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นล่าสุดของเขา ซึ่งใช้เวลาถ่ายทำ 12 ปีในการจับภาพช่วงเปลี่ยนผ่านของตัวละคร
ตลอดจนยุคสมัยในอเมริกาจากรัฐบาลบุชมาถึงรัฐบาลโอบามา
ธีมที่ปรากฏเด่นชัดในหนังของลิงค์เลเตอร์เสมอมา
คือ การผันผ่านของเวลา และอารมณ์ถวิลหาก็เป็นสิ่งที่คอยหลอกหลอนอยู่ในผลงานแทบทุกเรื่อง
ดังจะเห็นได้ว่าแม้กระทั่งหนึ่งในหนังที่โรแมนติกที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกภาพยนตร์อย่าง
Before
Sunrise ก็ยังสรุปตบท้ายด้วยซีเควนซ์แสนเศร้า ขมขื่น และกระทบจิตใจอย่างรุนแรง
นั่นคือ ภาพสถานที่ต่างๆ ซึ่งสองคู่รักได้แวะเยี่ยมชมตลอดหนึ่งคืนที่ผ่านมา
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแค่อดีตที่ไม่อาจเรียกคืน เป็นภาพบันทึกในความทรงจำของช่วงเวลาอันแสนพิเศษ
อารมณ์ถวิลหาดังกล่าวพบเห็นได้บ่อยครั้งในหนังอย่าง Dazed and Confused,
Waking Life และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Boyhood กระนั้นลิงค์เลเตอร์ก็มีรสนิยมพอที่จะไม่ได้ตอกย้ำ
หรือบีบเค้นทางอารมณ์ แต่กลับปล่อยให้มันผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านเลยไป เช่น
ฉากที่เด็กชายต้องลบรอยวัดความสูงของตนบนกำแพงก่อนจะย้ายบ้านไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง ฉากเล็กๆ
น้อยๆ แต่ละเอียดอ่อนในแง่อารมณ์เหล่านี้ถือเป็นเสน่ห์สูงสุดในหนังของลิงค์เลเตอร์
เพราะมันช่วยปลุกกระตุ้นความสุข ความเจ็บปวด ความยุ่งยากในชีวิตเราให้แจ่มชัดขึ้น
และขณะเดียวกันก็ทำให้เราตระหนักถึงความงามที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น