กระแสความหวาดกลัวเกี่ยวกับแม่มดและมนตร์ดำเริ่มต้นขึ้นในยุโรปตั้งแต่ปลายสมัยกลาง (ศตวรรษที่
13) และดำเนินต่อมาจนถึงต้นสมัยใหม่ (ศตวรรษที่
16) ภายใต้อิทธิพลของโบสถ์คาทอลิก ก่อนจะลามปามมายังอเมริกา
เมื่อชาวยุโรปอพยพไปตั้งรกรากในแถบนิวอิงแลนด์ (ปัจจุบันกินอาณาบริเวณ
6 รัฐทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา นั่นคือ
คอนเนตทิคัต, เมน, เวอร์มอนต์, นิวแฮมป์เชียร์, โรดไอแลนด์ และแมสซาชูเซตส์) เป็นแห่งแรกในปี 1620
โดยการพิจารณาคดีในข้อกล่าวหาว่าเป็นแม่มดที่เมืองซาเลม
รัฐแมสซาชูเซตส์ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 1692 – พฤษภาคม 1693
(20 คนถูกตัดสินประหารชีวิต 14 ในนั้นเป็นผู้หญิง)
ถือเป็นการพิจารณาคดีที่โด่งดัง (และอื้อฉาว)
ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและนักเขียนมากมาย
เหยื่อรายแรกต่อปรากฏการณ์
“อุปาทานหมู่” ใน 13 อาณานิคม
คือ ผู้หญิงชื่อ บริดเจ็ต บิชอป
ซึ่งถูกตัดสินว่าผิดจริงในข้อหาเล่นคุณไสยใส่หญิงสาวกลุ่มหนึ่งในเมืองบ้านเกิดของเธอที่ซาเลม
โดยหลักฐานคือคำให้การของบรรดาเพื่อนบ้านที่อ้างว่าบิชอปมาที่บ้านแล้วบีบคอและหยิกพวกเธอ
นอกจากนี้เธอยังโดนกล่าวหาว่าฆ่าเด็กและทรมานหมูอีกด้วย ขณะเดียวกันเอกสารการสอบสวนในศาลยังระบุว่ามีการตรวจสอบร่างกายจำเลยโดยกลุ่มผู้หญิงท้องถิ่น
ซึ่งอ้างว่าบิชอปมี “หัวนมที่ผิดธรรมชาติ” ซึ่งในสายตาของพวกเธอถือเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเธอสมคบคิดกับซาตาน
เช่นเดียวกับผู้หญิงอีกหลายคนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในข้อหาเป็นแม่มด
หลักฐานที่ใช้มัดตัวบิชอปส่วนมากได้แก่ คำให้การของพยาน ซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจยึดถือความถูกต้อง
แม่นยำได้เท่ากับพยานวัตถุ เพราะมนุษย์ย่อมเต็มไปด้วยอคติ
แม้ว่า
The Witch
ผลงานกำกับเรื่องแรกของ โรเบิร์ต เอกเกอร์ส จะดำเนินเหตุการณ์ก่อนช่วงเวลาข้างต้น
(ราวปี 1630) เมื่อชาวอังกฤษเพิ่งเดินทางมาตั้งรกรากในนิวอิงแลนด์ได้ไม่นาน
แต่มันสะท้อนให้เห็น “ร่องรอย”
ที่เป็นต้นกำเนิดแห่งอุปาทานหมู่ผ่านการกล่าวหาใส่ร้ายกันไปมาระหว่าง โธมาซิน (แอนยา เทย์เลอร์-จอย)
กับคู่หูเด็กแฝด เมอร์ซีย์ (เอลลี เกรนเจอร์) และ โจนาส (ลูคัส ดอว์สัน) ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานอันง่อนแง่น ปราศจากพยานวัตถุใดๆ
แต่ท่ามกลางความหวาดกลัว ความตื่นตระหนกจากปรากฏการณ์ “ประหลาด” ทั้งหลาย จากความโดดเดี่ยวของการอยู่ตามลำพัง คำอ้างเหล่านั้นกลับดูน่าเชื่อถือและเป็นไปได้ในความคิดของคนเป็นพ่อแม่อย่าง
วิลเลียม (ราล์ฟ อิเนสัน) และ
แคทเธอรีน (เคท ดิกกี)
ความหวาดกลัวส่วนหนึ่งมีบ่อเกิดจากการต้องย้ายมาตั้งรกรากยังโลกใบใหม่
ที่คุกคามความคุ้นเคย ความคล้ายคลึงกันอันอบอุ่นของโลกใบเก่า
คนดูจะได้เห็นอินเดียนแดงสองสามคนแค่ในฉากช่วงต้นเรื่อง ขณะวิลเลียมพาครอบครัวออกจากอาณานิคม
โดยหลังจากนั้นป่าไม้ถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนอารมณ์คุกคามของ “ความเป็นอื่น” มันเป็นเหมือนสิ่งต่างด้าว แปลกปลอมที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
เป็นเขตต้องห้ามสำหรับเด็กๆ โดยอันตรายสามารถไล่เรียงตั้งแต่สัตว์ดุร้ายไปจนถึงมนต์ดำของอินเดียนแดง
ซึ่งแคทเธอรีนอ้างถึงในฉากหนึ่ง เมื่อพบว่าลูกชายของเธอ เคเล็บ (ฮาร์วีย์ สคริมชอว์)
ป่วยเป็นโรคร้ายหลังหายตัวเข้าไปในป่า เด็กรุ่นใหม่อาจไม่สัมผัสถึงสายใยผูกพันโลกใบเก่ามากเท่าคนรุ่นก่อน
พวกเขาไม่มีปัญหามากนักกับการถูกเนรเทศออกจากอาณานิคม ซึ่งเป็นเหมือนเศษเสี้ยวของโลกใบเก่าที่พอจะมอบความอุ่นใจ
ความรู้สึกปลอดภัยได้บ้าง ดังจะเห็นได้จากปฏิกิริยารื่นเริงบันเทิงใจของสองฝาแฝด ที่ไม่ทุกข์ร้อนกับการถูกแยกโดดเดี่ยวจากเหล่าผู้อพยพอื่นๆ
ในอาณานิคม หรือแม้กระทั่งเคเล็บเองก็เหมือนจะจดจำอะไรเกี่ยวกับประเทศอังกฤษไม่ค่อยได้
คนที่เจ็บปวดและปรับตัวเข้าโลกใหม่ไม่ได้มากสุดคงหนีไม่พ้นแคทเธอรีน ซึ่งวิงวอนขอให้สามีพาเธอกลับ
“บ้าน” โดยอ้างว่าเธอไม่อาจสัมผัสความรักของพระเจ้าได้อย่างแจ่มชัดอีกต่อไปนับแต่ย้ายมาอยู่ที่อเมริกา
ศาสนาถูกนำมาใช้ยึดเหนี่ยวเพื่อสร้างความอุ่นใจ
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันแปลกแยก แตกต่าง ดังจะเห็นได้ว่าแม้เคเล็บจะไม่ได้คิดถึง “บ้านเกิด” หรือจดจำเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งก่อนจะอพยพมาตั้งรกราก ณ
ดินแดนแห่งใหม่ได้ไม่มากนัก แต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าซามูเอล น้องชายทารก
จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์เนื่องจากเขาถือกำเนิดหลังครอบครัวถูกเนรเทศออกจากอาณานิคม
และไม่ได้เข้าพิธีศีลล้างบาปในโบสถ์เหมือนคนอื่นๆ
คริสตจักรคาทอลิก
ซึ่งปกครองโดยเพศชาย
ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการควบคุมผู้หญิงให้อยู่ภายใต้ระบอบชายเป็นใหญ่
กดทับพวกเธอให้เชื่อฟังสามี/พ่อ ดังจะเห็นได้ว่าผู้หญิงที่มีความคิดเป็นผู้นำ
หรือแสดงออกถึงความต้องการทางเพศ หรือปรารถนาที่จะเป็นอิสระมักมีโอกาสถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดมากกว่าบรรดาแม่บ้านที่เชื่อฟังสามี
ลูกสาวที่อยู่ในโอวาสของพ่อ หรือผู้หญิงที่ปฏิบัติตนตามกรอบจารีตประเพณีแห่งยุคสมัย
เพศสภาพถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อข้อกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
โดยตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาช้านาน (แน่นอนว่าผ่านแนวคิดชายเป็นใหญ่) ผู้หญิงเป็นเพศที่จิตใจอ่อนไหว อ่อนแอ รวมทั้งยังมีสภาพร่างกายที่ “เปิดรับ” จึงง่ายต่อการหลับนอนกับซาตาน หรือปีศาจ
พวกเธอกระตุ้นราคะของเพศชาย และพลังอำนาจดังกล่าวทำให้พวกเขาหวาดกลัว
ดังนั้นผู้หญิงสาวสวยจึงมักจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด เช่นเดียวกับนางผดุงครรภ์และแม่ม่าย
เพราะฝ่ายแรกมีอาชีพเกี่ยวข้องกับทารกและการปรุงยาสมุนไพร ส่วนฝ่ายหลังเพราะพวกเธอปกครองตนเองโดยอิสระ
ไม่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของผู้ชาย
ความหวาดกลัวตลอดจนหลงใหลในร่างกายเพศหญิงสะท้อนชัดใน The Witch ผ่านสายตาของเคเล็บ ซึ่งเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม และลอบมองร่องอกของพี่สาวตัวเองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ผสมผสานอารมณ์หื่นกระหายและความรู้สึกผิดบาปไว้ด้วยกัน
นอกจากนี้ความลึกลับของช่องคลอด ซึ่งจะขับเลือดออกมาอย่างต่อเนื่องหลังหญิงสาวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็ยังถูกตอกย้ำผ่านภาพชวนสยองของแม่มดที่นำเลือดทารกมาทาตัว
หรือภาพแพะที่ขับนมออกมาเป็นเลือด
โธมาซินไม่เพียงจะเปราะบางต่อข้อกล่าวหาว่าเป็นแม่มดจากเรือนร่างภายนอกในฐานะหญิงสาวสวย
คุกรุ่นด้วยพลังเย้ายวนทางเพศเท่านั้น แต่เธอยังเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ไม่ยินยอมต่อชะตากรรมภายใต้อำนาจของเพศชายอีกด้วย
เธอไม่ปรารถนาจะไปทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านคนอื่นตามข้อเสนอแนะของแคทเธอรีน
ซึ่งกล่าวโทษเธอต่อการจากไปของซามูเอล
เมื่อเคเล็บลักลอบเข้าป่าตามลำพังเพื่อไปล่าสัตว์เพื่อหวังจะช่วยพี่สาวไม่ให้ต้องไปเป็นคนรับใช้
เธออาสาจะตามไปด้วย เมื่อถูกกล่าวหาอย่างอยุติธรรมว่าใช้มนต์ดำ
เธอเลือกที่จะไม่นิ่งเฉย หรือสงบปากสงบคำ
พร้อมกับโต้กลับวิลเลียมว่าเขาปล่อยให้เธอโดนแคทเธอรีนกล่าวหาว่าเป็นขี้โขมย
ว่าเขาไม่มีปัญญาหาเลี้ยงครอบครัว ปลูกพืชไม่งอกงาม ล่าสัตว์ไม่ได้ “พ่อทำอะไรไม่เป็นนอกจากผ่าฟืน” เธอตะโกนต่อว่าเขาด้วยความโกรธ
เธอคุกคามเคเล็บด้วยพลังทางเพศ
และคุกคาม “ความเป็นชาย” ตลอดจนภาพลักษณ์ “ผู้นำครอบครัว” ของวิลเลียมด้วยบุคลิกไม่เกรงกลัวที่จะพูดความคิดในหัวออกมา
ซึ่งนั่นไม่ใช่มาตรฐานสามัญของผู้หญิงในยุคนั้น เนื่องจากอคติทางเพศ ผู้หญิงที่อวดดีหรือหยิ่งจองหองมักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
เพราะผู้ชายหลายคนในสมัยกลางจนถึงต้นสมัยใหม่ยังมองผู้หญิงเป็นเหมือนสมบัติ
หรือแม่วัวสำหรับผลิตลูกสืบสกุล ทั้งโบสถ์คาทอลิกและโปรเตสแตนท์จำกัดการแสดงออกของผู้หญิง
พยายามกำราบให้พวกเธอเรียนรู้ที่จะสงบปากสงบคำ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามกฎของสมบัติผู้ดี
ด้วยคุณสมบัติทั้งหลายที่กล่าวมาของโธมาซิน
จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเธอบรรลุชะตากรรมอันไม่อาจหลีกเลี่ยงในท้ายที่สุด
ความน่าสนใจของ
The Witch
อยู่ตรงที่มันประสบความสำเร็จทั้งในภาคหนังสยองขวัญแบบตรงไปตรงมา ผ่านการสร้างบรรยากาศหลอกหลอนอันเปี่ยมประสิทธิภาพ
โดยไม่ได้หวังพึ่งพาจังหวะตุ้งแช่เหมือนหนังสยองขวัญดาษๆ ทั่วไป และในภาคหนังดรามาครอบครัวเจือนัยยะแห่งการวิพากษ์สังคม
โดยความคลุมเครือที่ผู้กำกับพยายามหล่อเลี้ยงเอาไว้ตลอดทั้งเรื่องได้ช่วยยกระดับให้มันก้าวข้ามสถานะของผลงานเพื่อความบันเทิงฉาบฉวยขึ้นไปอีกขั้น
เช่น ในช่วงต้นเรื่อง คนดูจะไม่ได้เห็นภาพแม่มดขโมยตัวซามูเอลไป (เหล่าตัวละครต่างพยายามปลอบใจกันว่าน่าจะเป็นฝีมือของหมาป่ามากกว่า)
ฉากหญิงชราในป่าที่สังหารทารก แล้วนำเลือดมาอาบทั่วตัวจึงอาจเป็นเพียงภาพในจินตนาการอันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความหวาดกลัว
และความเชื่อดั้งเดิม เช่นเดียวกับภาพหลอนที่เคเล็บเห็นระหว่างหลงป่า ความกดดัน
เปราะบางในสถานการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญ (ดิ้นรนตามลำพังท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย)
ทำให้เราเริ่มไม่แน่ใจว่าอะไรบ้างที่จริง หรือไม่จริง
ไม่แตกต่างจากเมอร์ซีย์ ซึ่งหลงเชื่อคำหลอกของโธมาซินเป็นตุเป็นตะ
เธอกับโจนาสอาจไม่ได้จงใจเอาคืนด้วยการใส่ร้ายโธมาซิน แต่เชื่อจริงๆ ตามนั้นแบบเดียวกับเหล่าผู้คนที่ตกอยู่ในภาวะอุปาทานหมู่ระหว่างช่วงการล่าแม่มด
และความคลุมเคลือที่สำคัญที่สุด
คือ ฉากบทสนทนาระหว่างโธมาซินกับซาตานในช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งผู้กำกับจงใจไม่ให้คนดูเห็นแพะดำฟิลลิป
แต่กลับได้ยินเพียง วอยซ์ โอเวอร์ ที่ดังลอยมา (ให้เสียงโดย วาฮับ
ชอดรีย์) ขณะกล้องจับจ้องไปยังโธมาซินเป็นหลักราวกับเธอกำลังสนทนาอยู่กับจิตใต้สำนึกของตัวเอง
ซึ่งหากพิจารณาจากชุดเหตุการณ์เลวร้ายที่เธอเพิ่งเผชิญมาติดๆ กัน
ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธอจะสติหลุดจนได้ยินเสียงแว่วจากจิตใต้สำนึก
มองในแง่นิทานพื้นบ้านสยองขวัญ
ฉากจบของ The
Witch อาจกล่าวได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของศรัทธาต่อซาตานและมนต์ดำ
แต่หากมองในเชิงสัญลักษณ์ว่าแม่มดแท้จริงแล้วหาใช่สตรีผู้ยอมจำนนต่อความชั่วร้าย หรือบุคคลที่หันหลังให้กับพระเจ้า
แต่เป็นขบถซึ่งกล้าจะลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านบรรทัดฐานของชายเป็นใหญ่
ต่อจารีตที่กดทับและตีเส้นจำกัดศักยภาพแห่งเพศหญิง ฉาก “แปลงร่าง” ของโธมาซินจึงถือเป็นชัยชนะ เมื่อเธอปลดแอกจากพันธนาการแห่งครอบครัว ธรรมเนียมปฏิบัติ
แล้วค้นพบอิสระที่จะไปสัมผัสโลกกว้าง ใช้ชีวิตอันหอมหวาน... และในสภาพเปลือยเปล่า
เธอได้ถือกำเนิดใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น