วันศุกร์, มีนาคม 10, 2560

Oscar 2017: Actor in a Leading Role


เคซีย์ อัฟเฟล็ค (Manchester by the Sea)

ในร้านอาหารกลางใจเมือง หลัง เคซีย์ อัฟเฟล็ค เพิ่งเสร็จสิ้นการให้สัมภาษณ์นักข่าว นิวยอร์ก ไทมส์ เกี่ยวกับหนังเรื่องใหม่ล่าสุด ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย เมื่อชายหนุ่มเดินออกมา คู่รักชายหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กระซิบถามเขาว่า นั่นใครเหรอเหตุการณ์ทำนองนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นกับ เบน พี่ชายเคซีย์ หรือเพื่อนวัยเด็กของเขาอย่าง แม็ท เดมอน เป็นแน่แท้ เพราะทุกวันนี้จะมีใครบ้างที่ไม่รู้จักแบทแมน หรือ เจสัน บอร์น แต่นี่เป็นสิ่งที่ เคซีย์ อัฟเฟล็ค ต้องการมาตลอด ผมไม่เคยอยากดังเลยสักนิดคำกล่าวข้างต้นอาจถูกบางคนตีความได้ว่าเป็นแค่อาการองุ่นเปรี้ยว เนื่องจากอาชีพนักแสดงของอัฟเฟล็คค่อนข้างลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด แต่เดมอน ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของ Manchester by the Sea ช่วยยืนกรานอย่างแข็งขันว่าอัฟเฟล็คเป็นคนที่หวงแหนความเป็นส่วนตัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้เห็นว่าพี่ชายเขาต้องรับมือกับอะไรบ้าง เขาระแวดระวังการเปิดเผยตัวต่อสาธารณชนมากเกินไปเดมอนกล่าว นอกจากนี้เขายังมีนิสัยถ่อมตนและไม่ชอบพูดถึงตัวเองมากเหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆ

การถอยกรูดจากแสงไฟกลายเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางอาชีพอยู่บ้าง อัฟเฟล็คเคยพลาดโอกาสทั้งที่ผู้กำกับต้องการเขาเพียงเพราะผู้บริหารสตูดิโอเห็นว่าเขาขาด พลังดึงดูดหรือพูดง่ายๆ คือ ไม่ดังพอนั่นเอง ที่สำคัญเขายังเป็นนักแสดงที่ค่อนข้างจู้จี้จุกจิกในการเลือกบท เดมอนเล่าว่าเขาเคยคุยโทรศัพท์กับอัฟเฟล็คอยู่นานเป็นชั่วโมงๆ เนื่องจากอัฟเฟล็คไม่แน่ใจว่าควรรับเล่นหนังเรื่องหนึ่งหรือไม่ เขาจะระแวดระวังมากจนกระทั่งเริ่มร้อนเงินและตกลงรับบทอะไรก็ได้ที่มีคนมาเสนอ ที่เขาคิดมากแบบนี้เพราะเขามีศักดิ์ศรีมากกว่าพี่ชายเขาหรือผมเดมอนกล่าว

แต่ดูเหมือนอัฟเฟล็คจะหลบหนีชื่อเสียงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายมันก็ไล่ตามหาเขาจนเจอ เมื่อผลงานแสดงอันน่าตื่นตะลึงของเขาใน Manchester by the Sea กวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างท่วมท้น จนหลายคนยกย่องให้เป็นจุดสูงสุดในอาชีพนักแสดงของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ในหนังเรื่องนี้ ลี แชนด์เลอร์ ตัวละครที่อัฟเฟล็คสวมบทบาท ต้องเผชิญหน้าโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่จนส่งผลให้เขาด้านชาทางอารมณ์ อัฟเฟล็คยอมรับว่าเขาคงไม่สามารถเล่นบทนี้ได้ถ้าไม่เคยผ่านประสบการณ์การเป็นพ่อคนมาก่อน พอมีลูก คุณจะรู้สึกเกี่ยวกับทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้นเขากล่าว ราวกับมีคนมากดเปิดสวิทช์ไฟข้างในตัวคุณขณะเดียวกันเขาก็ยอมรับว่าการต้องล้วงลึกถึงก้นบึ้งแห่งความหดหู่ แล้วพยายามหล่อเลี้ยงระดับอารมณ์ของตัวละครที่ทนทุกข์ทรมานจากความเศร้าโศกเอาไว้โดยตลอดนั้นเป็นสิ่งที่ เจ็บปวด แต่พอทนได้

เคซีย์ อัฟเฟล็ค เกิดหลังเบนสามปี เขาเติบโตมาในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสท ก่อนจะเริ่มเข้าสู่วงการตั้งแต่ยังไม่แตกหนุ่มกับหนังดรามาเรื่อง Lemon Sky (1988) ประกบ เควิน เบคอน แต่เขาเริ่มกลายเป็นที่จับตามองจากหนังตลกร้ายของ กัส แวน แซนต์ เรื่อง To Die For (1995) ตามมาด้วยบทสมทบในหนังที่สร้างชื่อเสียงให้กับพี่ชายเขาและ แม็ท เดมอน นั่นคือ Good Will Hunting อัฟเฟล็คทะยานถึงจุดสูงสุดในปี 2007 เมื่อเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford และรับบทนำในผลงานกำกับชิ้นแรกของพี่ชายเขาเรื่อง Gone Baby Gone ซึ่ง มโนห์ลา ดาร์กิส นักวิจารณ์ของ นิวยอร์ก ไทมส์ เคยเขียนชื่นชมเขาดังนี้ ฉันไม่แน่ใจว่า เคซีย์ อัฟเฟล็ค กลายเป็นนักแสดงชั้นเลิศตั้งแต่เมื่อไหร่ นักแสดงส่วนใหญ่อยากจะให้คนดูรัก แต่ดูเหมือน เคซีย์ อัฟเฟล็ค จะไม่ตระหนักในจุดนี้ หรือเขารู้แต่ไม่สนใจ

อาชีพที่ตกอยู่ใต้เงื้อมเงาความดังของพี่ชายทำท่าจะเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที แต่หลังจากได้เข้าชิงออสการ์ บทดีๆ กลับเดินทางมาไม่ถึงมือของอัฟเฟล็คเสียที และเขาก็ก้าวเข้าสู่โหมดทำลายตัวเองด้วยการกำกับหนังล้อเลียนสารคดีเรื่อง I’m Still Here (2010) ซึ่งโดนถล่มเละจากเหล่านักวิจารณ์และล้มเหลวบนตาราง บ็อกซ์ ออฟฟิศ แต่แล้วโชคก็เริ่มเข้าข้างเขาอีกครั้ง เมื่อ แมท เดมอน ไม่สามารถรับบทนำในโครงการหนังใหม่ของ เคนเน็ธ โลเนอร์แกน ได้เนื่องจากติดถ่ายหนังอีกเรื่อง เขาจึงแนะนำให้โลเนอร์แกนเอาบทไปเสนออัฟเฟล็ค ผมรู้ว่าเคซีย์ต้องตีบทแตกกระจุยอย่างแน่นอนเดมอนกล่าว คำทำนายของเขาแม่นยิ่งกว่าคำทำนายของโหรทุกสำนักรวมกัน เมื่อหนังเปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลหนังซันแดนซ์พร้อมเสียงฮือฮาว่าอัฟเฟล็คจะกลายเป็นตัวเก็งออสการ์อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่อัฟเฟล็คนึกแขยงอย่างประหลาด ความคิดที่ว่ามีคนไม่ชอบผม หรือไม่ชอบหนังของผมเป็นเรื่องง่ายกับการทำใจยอมรับมากกว่าเวลามีคนชอบหนังของผมมากๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนักแสดงหนุ่มวัย 41 ปีกล่าว

อัฟเฟล็คเป็นนักแสดงที่คิดซับซ้อนในทุกขั้นตอนของการทำหนัง เขามักตั้งคำถามต่อทุกบทพูด หรือการกระทำของตัวละคร เขาจะใช้เวลา 45 นาทีพูดคุยกับเคนนีว่าทำไมต้องเดินผ่านห้องรับแขกในฉากนั้นแทนที่จะเดินผ่านห้องครัวลูคัส เฮดเจส ดาราหนุ่มที่รับบทเป็นหลานชายของอัฟเฟล็คกล่าว โลเนอร์แกนเล่าว่าในทุกๆ เทคอัฟเฟล็คจะคอยปรับการแสดงอย่างลุ่มลึกให้อบอุ่นขึ้น หรือเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย เขาต้องการถ่ายทอดเรื่องราวให้ถูกต้องที่สุด เวลาผมบอกว่า เทคนี้ผ่านแล้วล่ะ เขาจะพูดเสมอว่า ให้ผมลองเล่นอีกแบบไหม แน่ใจนะว่าคุณพอใจแล้วอัฟเฟล็คยอมรับว่าเขาไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ เขาอยากทุ่มเทให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด หลังจากต้องทนรับเล่นหนังแย่ๆ มาหลายเรื่อง สวมบทตัวละครซึ่งตื้นเขิน มีแค่เปลือก แต่ขาดจิตวิญญาณ จนกระทั่งในช่วง 2-3 ปีหลังเขาชักเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองควรเลิกอาชีพนักแสดงไปเลยดีไหม แต่บทในหนังเรื่อง Manchester by the Sea ได้ปลุกศรัทธาและชีวิตชีวาของเขาขึ้นมาอีกครั้ง.... ไม่แน่คราวนี้ชื่อเสียงอาจเริ่มตามมาเสียที หรืออย่างน้อยๆ ก็ตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้น เพราะไม่มีใครคู่ควรกว่าเขาอีกแล้ว 


ไรอัน กอสลิง (La La Land)

การรับบทนักเปียโนแจ๊สในหนังเพลงเรื่อง La La Land ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ ไรอัน กอสลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้กำกับ เดเมียน ชาเซลล์ ยืนกรานจะใช้การถ่ายทำแบบ long take ไม่มีการตัดภาพช่วย เพราะนั่นหมายความว่ากอสลิงจะต้องเล่นเพลงได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องเลียนแบบให้ใกล้เคียงที่สุด จริงอยู่เขาอาจเคยเล่นเปียโนมาบ้างก่อนหน้า แต่ไม่ได้มีทักษะในระดับที่สามารถเล่นเพลงแจ๊สได้ ยิ่งเพลงของ เธโลเนียส มังค์ หรือเพลงอื่นๆ ที่ผมต้องเล่นในหนังด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขากล่าว ฉะนั้นบทเซบาสเตียนจึงมาพร้อมกับการบ้านกองพะเนิน แต่มันก็เป็นโอกาสทองไปในตัว ผมอยากเล่นเปียโนเป็นมานานแล้ว ในที่สุดผมก็ได้ลงเรียน ได้ฝึกฝนไปสู่เป้าหมายนั้นเสียที ผมใช้เวลาฝึกฝนสามชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาสามเดือน เหนื่อยมากแต่ก็คุ้มค่า

นักแสดงหนุ่มวัย 36 ปียอมรับว่าเขาไม่ค่อยรู้เรื่องแจ๊สสักเท่าไหร่ก่อนมาเล่น La La Land และอย่างหนึ่งที่ช่วยเปิดโลกให้เขาได้ไม่น้อย คือ สารคดีแจ๊สของ เคน เบิร์นส์ ที่ฉายทางช่องพีบีเอส เป็นสารคดีชั้นยอดที่ช่วยให้ผมเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับโลกของดนตรีแจ๊ส

ไม่เพียงทักษะการเล่นเปียโนเท่านั้น อีกสิ่งหนึ่งที่กอสลิงต้องลุกขึ้นมาปัดฝุ่น คือ ทักษะการเต้น เพราะฉากสำคัญฉากหนึ่งของหนังเป็นฉากเต้นรำของเซบาสเตียนกับมีอา (เอ็มมา สโตน) ท่ามกลางแสงจันทร์ ซึ่งสะท้อนอารมณ์โรแมนติกในแบบหนังเพลงยุคเก่าของ เฟร็ด แอสแตร์ กับ จิงเจอร์ โรเจอร์ส ฉากนั้นใช้เวลาซ้อมหนักสามเดือนเต็มกอสลิงเล่า ทีแรกเราจะแยกกันซ้อมก่อนเป็นเวลาสองเดือน จากนั้นก็มาซ้อมเข้าฉากด้วยกันในสตูดิโออีกหนึ่งเดือน และก่อนวันถ่ายทำ เราจะไปยังโลเกชั่นจริงเพื่อฝึกซ้อมอีกสองสามคืนอย่างไรก็ตาม ฉากที่ติดตาตรึงใจกอสลิงที่สุดในหนังเป็นฉากที่เขากับ เอ็มมา สโตน ไม่ได้มีส่วนร่วมสักเท่าไหร่ ฉากร้องเพลงบนทางหลวงสนุกมาก เป็นงานยากของพวกนักเต้น แต่ได้ผลลัพธ์สุดคุ้ม พวกเขาซ้อมเต้นกันหลายเดือน แล้วต้องมาถ่ายทำจริงในวันที่ร้อนระอุที่สุดของปี ระหว่างนั่งดูเหล่านักเต้นชั้นยอดเต้นบนหลังคารถ ผมดีใจที่เป็นแค่ผู้ชมแถวหน้า ไม่ใช่ผู้ร่วมแสดงที่อาจทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่า

กอสลิงมีประสบการณ์ติดตากับเสียงเพลงและการเต้นตั้งแต่เด็ก เมื่อวันหนึ่งลุงของเขาลุกขึ้นมาแต่งตัวเลียนแบบ เอสวิส เพรสลีย์ แล้วแสดงโชว์ให้ทุกคนชมในห้องนั่งเล่น พวกเราร่วมด้วยช่วยกันกอสลิงรำลึกความหลัง แม้ว่าหลายคนจะคิดว่ามันดูตลก แต่ลุงไม่แคร์ ลุงร้องดีเลยล่ะ เข้าถึงบทบาทมาก มันเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงสำหรับเด็กอย่างผมแต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ชีวิตปกติอันราบเรียบ เหมือนคณะละครสัตว์เดินทางจากไปชายหนุ่มซึ่งเติบโตมาในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา กล่าว ผมได้แต่คิดในใจว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะกลับมาอีกพ่อกับลุงของกอสลิงทำงานในโรงงานกระดาษ พวกเขามักจะกลับมาบ้านในสภาพเหนื่อยอ่อน เนื่องจากกอสลิงเป็นเด็กสมาธิสั้น เขาจึงไม่ชอบโรงเรียน และไม่ชอบเล่นกีฬาด้วย เขาไม่รู้ว่าจะปลดปล่อยพลังงานอันล้นเหลือได้ยังไง ลุงผมเป็นคนเปิดประตูสู่ทางเลือกใหม่ ผมคิดว่าถ้าเราสามารถหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนี้ได้ ผมก็อยากลองดู

เขาเริ่มต้นด้วยการสมัครเข้าโรงเรียนเต้นรำในท้องถิ่น ซึ่งนำไปสู่การทดสอบบทเพื่อเข้าร่วม เดอะ มิกกี้ เมาส์ คลับ ของช่องดิสนีย์ ตามมาด้วยประสบการณ์สองปีของการร่วมงานกับ จัสติน ทิมเบอร์เลค, บริทนีย์ สเปียร์ส และ คริสตินา อากีเลรา ที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริด้า จากนั้นพออายุได้ 16 ปี กอสลิงก็ย้ายมาอยู่แอลเอ และเริ่มทำงานในวงการทีวี ตอนนั้นผมไม่เคยฝันว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังหรืออะไร ผมแค่นึกว่าอาจจะเป็นได้แบบคุณลุง คือ เดินสายแสดงตามห้างสรรพสินค้าแต่ผลงานภาพยนตร์ช่วยเปิดประตูสู่ทางเลือกใหม่ให้กอสลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ The Notebook โด่งดังเกินความคาด ส่งผลให้เขากลายเป็นหนุ่มในฝันของสาวๆ ทั่วโลกในชั่วข้ามคืน แต่ขณะเดียวกันกอสลิงก็โชว์ทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมผ่านหนังเด่นสามเรื่องอย่าง Half Nelson (ได้เข้าชิงออสการ์ครั้งแรก) ซึ่งเขาสวมบทเป็นคุณครูขี้ยา Lars and the Real Girl ซึ่งเขาสวมบทเป็นหนุ่มที่มีแฟนเป็นตุ๊กตายาง และ Blue Valentine ซึ่งเขาสวมบทผู้ชายที่พยายามยื้อความรักไว้ให้นานที่สุด ทักษะแบบอเนกประสงค์ของกอสลิงพิสูจน์ได้จากการที่เขาเล่นหนังมาแล้วแทบทุกแนวไม่ว่าจะเป็นหนังดรามา หนังตลก หนังแอ็กชั่น หนังเพลง หนังเขย่าขวัญ หนังรักโรแมนติก และล่าสุดกำลังจะก้าวข้ามไปสู่ดินแดนของหนังไซไฟกับผลงานภาคต่อ Blade Runner ที่ทุกคนต่างรอคอยด้วยใจจดจ่อ

การกระโดดลงมากำกับหนังเรื่องแรกอาจไม่ค่อยประสบความสำเร็จ Lost River ถูกนักวิจารณ์ส่วนใหญ่มองข้ามว่าเป็นผลงานเบาบางในแง่เนื้อหา แม้จะมีการสร้างบรรยากาศได้น่าสนใจโดยได้รับอิทธิพลหลักๆ มาจากผลงานของ เดวิด ลินช์ และ นิโคลัส วินดิง เรเฟิน ซึ่งเขาเคยร่วมงานด้วยใน Drive และ Only God Forgives แต่นั่นหาได้ทำลายกำลังใจของกอสลิงแต่อย่างใด มันเป็นงานที่ดีที่สุดในโลกเขากล่าว ทุกคนร่วมกันแสดงความเห็น คุณต้องพยายามหลอมรวมภาพในหัวคุณเข้ากับภาพในหัวของคนอื่นๆ แก้ปัญหาเป็นรายวัน มันเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุด แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องน่าปวดหัวก็ตาม มันน่าตื่นเต้นที่ผมมีอำนาจตัดสินใจในสิ่งที่ผมอยากทำ

ในช่วงสองสามปีหลัง กอสลิงเริ่มเปลี่ยนจากการรับงานที่เขา อินเป็นการส่วนตัวมารับงานที่ อิงคนดูมากขึ้น เช่น The Nice Guys หนังตลกเต็มรูปแบบครั้งแรกของเขา และ La La Land โดยก่อนหน้าจะพูดคุยกับชาเซลล์ เขาไม่เคยคิดอยากเล่นหนังเพลงมาก่อน และส่วนตัวก็ไม่ใช่แฟนหนังเพลงยุคคลาสสิก แต่เขาอยากจะเล่นหนังที่สร้างประสบการณ์ไม่รู้ลืมให้กับคนดู หนังที่คนอยากจะไปดูในโรงภาพยนตร์ เดเมียนพูดอะไรแบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง หนังที่คนอยากเข้าไปดูในโรง ไม่ใช่ดูจากจอมือถือ หนังที่สร้างประสบการณ์ร่วม พาคนดูไปยังโลกอีกใบ ที่ผ่านมาผมมักจะทำหนังโดยไม่ตระหนักถึงคนดู เป็นแค่หนังที่ผมอยากทำเพราะผมไม่รู้ว่าคนดูต้องการอะไร และผมไม่รู้วิธีจะเข้าถึงใจคนดูกอสลิงกล่าว เวลาคนพูดถึง La La Land พวกเขาไม่ได้พูดถึงแค่ตัวหนัง แต่ยังพูดถึงความสนุกที่ได้ร่วมแบ่งปันกับเพื่อนในกลุ่ม คุณสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของเสียงเพลง และผลกระทบของมันต่อคนดูในโรงได้อย่างชัดเจน


เดนเซล วอชิงตัน (Fences)

หลังจากเวียนว่ายอยู่ในแวดวงการแสดงมานานกว่า 40 ปี ผ่านบทบาทมาแล้วมากมายแทบทุกประเภทตั้งแต่มาเฟีย ไปจนถึงตัวละครจากบทละครเชคสเปียร์และฮีโร่หนังแอ็กชั่น ขณะนี้ด้วยวัย 61 ปี ซึ่งเขามองว่าเป็นการย่างเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ของชีวิต เดนเซล วอชิงตัน ตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นที่จะผลักดันโครงการหนัง ซึ่งมีความสำคัญต่อเขาสูงสุด นั่นคือ ดัดแปลงผลงานนักเขียนบทละครชั้นยอด ออกัส วิลสัน เจ้าของสองรางวัลพูลิทเซอร์ที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 2005 มาเป็นภาพเคลื่อนไหว บทละคร 10 เรื่องของวิลสันซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ American Century Cycle สำรวจประสบการณ์ชีวิตของคนผิวดำในอเมริกาแต่ละช่วงทศวรรษตลอดศตวรรษที่ 20 วอชิงตันตั้งใจจะสร้าง 9 เรื่องออกฉายทางช่องเอชบีโอ โดยเขานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้าง ส่วน Fences บทละครที่โด่งดังสุดใน 10 เรื่องนั้น เขาเลือกจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โดยควบตำแหน่งนักแสดงนำและผู้กำกับ

เช่นเดียวกับเวอร์ชั่นละครเวที ซึ่งนำกลับมาสร้างใหม่ในปี 2010 และทำให้เขาคว้ารางวัลโทนีไปครอง วอชิงตันรับบทเป็น ทรอย แม็กซ์สัน พนักงานเก็บขยะที่มีบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งใจกลางชุนชนคนผิวดำของเมืองพิทส์เบิร์กในปี 1957 เขาอาศัยอยู่กับภรรยา โรส (ไวโอลา เดวิส) และลูกชายวัย 17 ปี คอรี (โจวาน อเดโป) ทรอยอายุ 53 ปีและได้ค่าจ้างสัปดาห์ละ 74 เหรียญ ซึ่งเขาจะยื่นให้กับโรสทุกวันศุกร์ แม้ว่ารายได้อาจแค่พอประทังชีวิต (เขาไม่มีปัญญาซื้อทีวีราคา 200 เหรียญ หรือจ้างคนมาซ่อมหลังคาบ้านด้วยซ้ำ) แต่เขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ชนชั้นแรงงาน เขาภูมิใจที่สามารถดูแลครอบครัวให้อยู่รอด แต่ขณะเดียวกันถูกความแค้นต่อกระแสเหยียดสีผิวกลืนกินจิตใจ เขาเชื่อว่านั่นเป็นเหตุผลที่ถ่วงความก้าวหน้าและทำให้เขาต้องติดกับอยู่ในชีวิตอันสิ้นหวัง

บาดแผลจากวัยเด็กยังคงกัดกร่อนจิตใจ เขาเติบโตมาในรัฐทางตอนใต้ ถูกแม่ทอดทิ้ง และถูกพ่อทำร้ายร่างกายจนต้องตัดสินใจเดินทางขึ้นเหนือเช่นเดียวกับคนผิวดำทางตอนใต้อีกจำนวนมาก เขากลายเป็นคนเร่ร่อน หัวขโมย และลงเอยในเรือนจำด้วยข้อหาฆ่าคนตาย ที่นั่นเขาได้หัดเล่นเบสบอลและเข้าร่วมลีกอาชีพของคนผิวดำหลังพ้นโทษออกมา ในช่วงทศวรรษ 30-40 เขากลายเป็นนักหวดลูกดาวเด่น แต่ไม่มีโอกาสลงแข่งลีกใหญ่ ซึ่งขณะนั้นไม่เปิดรับนักกีฬาผิวสี กว่า แจ๊คกี้ โรบินสัน จะได้เข้าร่วมทีม บรู้คลิน ด็อดเจอร์ส ในปี 1947 ทรอยก็อายุ 43 แล้ว เขาเชื่อว่าเพราะสีผิว ไม่ใช่อายุ ที่ปล้นเขาจากเงินทอง ชื่อเสียงที่เขาควรได้รับ

คอรีหวาดกลัวพ่อเขามากกว่าเคารพนับถือ ความสัมพันธ์ของทั้งสองให้ความรู้สึกเหมือนขุนนางกับผู้น้อยมากกว่าพ่อกับลูก เมื่อเด็กหนุ่มได้รับเลือกจากแมวมองให้รับทุนนักกีฬาจากมหาวิทยาลัย นอร์ธ แคโรไลนา ทรอยปฏิเสธไม่ยอมให้ลูกชายรับทุนนั้น คนขาวไม่มีวันปล่อยให้แกได้ดีในวงการฟุตบอลหรอกเขาบอกลูกชาย ตั้งใจเรียนหนังสือต่อไป จะได้มีงานการมั่นคงในบริษัทเอแอนด์พี หรือซ่อมรถเป็น หรือสร้างบ้านได้ เอาไว้เป็นทักษะเลี้ยงตัว ซึ่งใครก็มายึดเอาไปไม่ได้โรสอ้อนวอนทรอยโดยบอกว่าคอรีอยากจะเป็นนักกีฬาแบบพ่อของเขา ฉันไม่อยากให้เขาลงเอยแบบฉันทรอยตอบ ฉันตัดสินใจมา 17 ปีแล้วว่าลูกชายฉันจะไม่เป็นนักกีฬา หลังจากสิ่งที่พวกนั้นทำกับฉันแต่ทั้งโรสและคอรีต่างตระหนักดีว่าลึกๆ แล้วทรอยหวาดกลัวว่าลูกชายอาจประสบความสำเร็จในแบบที่เขาไม่เคยทำได้

เมื่อถูกถามว่าพ่อเขามีอะไรคล้ายกับทรอยบ้างไหม นักแสดงเจ้าของสองรางวัลออสการ์ตอบว่า ในบางแง่มุม พ่ออ่านหนังสือไม่แตกเหมือนกัน และเคยบอกให้ผมหางานการที่มั่นคงทำ พ่อทำงานในการประปาที่นิวยอร์ก พ่อบอกว่าเขาช่วยหาตำแหน่งให้ผมได้ แต่แม่ผมมองไกลกว่านั้น แม่บอกว่าผมจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนอายุได้ 14 ปี วอชิงตันกับพี่สาวก็ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำเพื่อจะได้ไม่ต้องรับรู้ชีวิตแต่งงานที่กำลังล่มสลายของพ่อกับแม่ หลังการหย่าร้างเขาย้ายไปอยู่กับแม่ และเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มทั่วโลก อาชีพแรกในฝันของเขาคือหมอ แต่สุดท้ายวอชิงตันกลับลงเอยด้วยการเรียนเอกสิ่งพิมพ์ในมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม ที่นั่นเขาได้ค้นพบโลกมหัศจรรย์ของการแสดง ซึ่งเป็นเครื่องมือในการระบายออกทางอารมณ์อย่างหนึ่ง เขาได้เล่นบทเล็กๆ ในหนังทีวีเรื่อง Wilma เมื่อปี 1975 และได้ทุนเข้าเรียนการแสดงที่ซานฟรานซิสโกหลังรับปริญญาบัตร เมื่อกลับมายังนิวยอร์กเขาได้มีโอกาสเล่นบทละครเชคสเปียร์หลายเรื่อง โดยเรื่องที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ คือ Othello และ Richard III

วอชิงตันเปิดตัวบนจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในหนังตลกเรื่อง Carbon Copy แต่ผลงานที่ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองในฐานะนักแสดงมากฝีมือ คือ Cry Freedom ซึ่งทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์ครั้งแรก ก่อนจะคว้ารางวัลมาครองได้สำเร็จในอีกสองปีต่อมาจาก Glory ไวโอลา เดวิส บอกว่าการแสดงของเขาในหนังเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เธอ เพราะเขาถ่ายทอดความกล้าหาญและเจ็บปวดออกมาพร้อมกันได้อย่างน่าทึ่ง กระนั้นหลายคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่างานแสดงชิ้นเอกของวอชิงตัน คือ Malcolm X เพราะมัลคอล์มของวอชิงตันไม่ใช่ทั้งไอดอลแห่งความสมบูรณ์แบบอย่างที่เหล่าสานุศิษย์ทั้งหลายยกย่อง หรือ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง เวอร์ชั่นคลั่งแบบที่เหล่าสื่อมวลชนพยายามสร้างภาพ แต่เป็นมนุษย์ที่เปี่ยมเลือดเนื้อ มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง

ถึงแม้เขาจะมองว่าตัวเองเป็นแค่นักแสดง ไม่ใช่คนดังอะไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังดาราของเขาเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของหนังอย่าง Man on Fire และ Training Day และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนังอย่าง Fences ถือกำเนิดขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ผลงานแสดงของวอชิงตันในเรื่องนี้ดูจะมีความใกล้เคียงกับ Malcolm X มากกว่า Training Day กล่าวคือ เขาไม่ได้ใช้พลังดาราดึงดูดคนดูให้ไม่อาจละสายตา แต่เลือกจะเลือนหายไปกับตัวละครมากกว่า จนเราลืมไปว่าเขาคือ เดนเซล วอชิงตัน นั่นถือเป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ใจอยู่ในตัว และสุดท้ายอาจนำไปสู่ออสการ์ตัวที่สามในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า


แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Hacksaw Ridge)

การจะทำความเข้าใจว่า แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ สามารถก้าวกระโดดจาก Spider-Man มารับบทตัวละครผู้เปี่ยมศรัทธาในพระเจ้าได้อย่างไร เราอาจต้องย้อนไปไกลถึงตอนที่เขาอายุ 8 ขวบ ฮีโร่ของเขา คือ มหาตมา คานธี และหนึ่งในเป้าหมายชีวิตเขาขณะนั้น คือ ตามหานักเลงประจำโรงเรียนแล้วสวมกอดเขาด้วยความเมตตา เขาเป็นพวกหัวโจก เป็นจอมเผด็จการตัวน้อยการ์ฟิลด์เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ความตั้งใจแรกของผม คือ ผมอยากสวมกอดและจูบเขา บอกเขาว่าไม่เป็นไรนะ เขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเกเรแบบนี้ก็ได้ แหงล่ะ ทุกอย่างลงเอยด้วยการที่ผมกลับกลายเป็นเหยื่อสุดโปรดของเขา เพราะผมมองเห็นไปถึงจิตวิญญาณเขา

หากคุณได้พูดคุยกับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ คุณจะไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รับเลือกให้เล่นบทสำคัญในหนังสองเรื่องซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับศาสนา ศรัทธา และออกฉายไล่เลี่ยกันระหว่างช่วงเทศกาลล่ารางวัล ใน Hacksaw Ridge เขารับบทเป็นบุคคลจริงตามประวัติศาสตร์ เดสมอนด์ ที. ดอส วีรบุรุษจากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งกระโดดเข้าสู่สมรภูมิรบพร้อมคำสาบานว่าจะไม่ใช้อาวุธคร่าชีวิตผู้อื่น ส่วนใน Silence เขารับบทเป็นนักบวชเยซูอิตในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่ต้องเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาในดินแดนอันไม่เป็นมิตรต่อคริสตจักรอย่างประเทศญี่ปุ่น ทั้ง เมล กิ๊บสัน ผู้กำกับหนังเรื่องแรก และ มาร์ติน สกอร์เซซี ผู้กำกับหนังเรื่องหลัง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการ์ฟิลด์มีบุคลิกแน่วแน่ทางศีลธรรม ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญในการสวมวิญญาณตัวละครของหนังทั้งสองเรื่อง นักแสดงหนุ่มวัย 33 ปีกล่าวว่าเขาคงรับบทใน Hacksaw Ridge ไม่ได้หากไม่ผ่านการเตรียมตัวอย่างเข้มข้นเพื่อรับบทใน Silence (หนังของสกอร์เซซีปิดกล้องตั้งแต่ปี 2015 แต่เข้าฉายทีหลัง) มาก่อน ภายใต้คำแนะนำของนักบวชเยซูอิต คุณพ่อ เจมส์ มาร์ติน การ์ฟิลด์ต้องสวดมนต์ อดอาหาร แล้วใช้อพาร์ตเมนต์เล็กๆ ย่าน เวสต์ วิลเลจ เป็นเหมือนอาศรมเพื่อฝึกสมาธิ

แต่ทั้งหมดน่าจะเป็นเรื่องของโชคและจังหวะเวลามากกว่า เนื่องจากกิ๊บสันไม่ได้เลือกการ์ฟิลด์เพราะสกอร์เซซีเลือกเขาไปเล่น Silence และแน่นอนที่สุดว่าไม่ใช่เพราะชื่อเสียงจากหนังอย่าง The Amazing Spider-Man เนื่องจากกิ๊บสันไม่ใช่คอหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่เขาเลือกเพราะได้ดูหนังเรื่อง The Social Network ซึ่งนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษรับบทเป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยของ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก และเรียกร้องความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจากคนดูได้อย่างงดงาม เขาเป็นคนเดียวในเรื่องที่พอจะมีศีลธรรมจรรยาหลงเหลืออยู่บ้าง ท่ามกลางตัวละครที่แก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบกันทุกวิถีทาง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมกิ๊บสันจึงเชื่อมั่นว่าเขาเหมาะกับบท เดสมอนด์ ที. ดอส

การ์ฟิลด์เกิดในแอลเอ มีแม่เป็นคนอังกฤษและพ่อเป็นคนอเมริกัน แต่เติบโตมาในเมืองเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ เขามุ่งหน้าสู่อาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย เริ่มต้นจากแสดงละครเวที แล้วค่อยๆ ไต่เต้ามาเล่นละครโทรทัศน์ของอังกฤษ และปิดท้ายด้วยการเล่นหนังใหญ่ ผลงานที่ทำให้เขาถูกจับตามองในฐานะดาวรุ่งดวงใหม่ คือ งานแสดงอันทรงพลังในหนังอย่าง Never Let Me Go และ The Social Network ก่อนจะพุ่งทะยานสู่สถานะซูเปอร์สตาร์เมื่อได้รับเลือกให้เล่นเป็นไอ้แมงมุมใน The Amazing Spider-Man และเริ่มคบหากับ เอ็มมา สโตน นักแสดงสาวชาวอเมริกันที่ประกบคู่กันในเรื่อง การ์ฟิลด์ยอมรับว่า ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เป็นซูเปอร์ฮีโร่คนโปรด เขาจึงไม่อาจปฏิเสธโอกาสที่จะได้สวมบทบาทนี้ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ตระหนักว่ามันอาจทำให้เขากลายเป็นคนดัง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งตาคอย ถ้าผมได้เล่นโดยสวมหน้ากากตลอดเวลาคงจะดีกว่านี้ เพราะผมไม่อยากเป็นที่รู้จักจากการเล่นเป็นตัวละครนี้เขากล่าว ผมไม่สนใจอยากเป็นคนดัง หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมล้างสมอง

ในปี 2015 เมื่อมีการประกาศว่านักแสดงคนอื่นจะมารับบทเป็น ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ แทนเขา การ์ฟิลด์รู้สึกโล่งอก เขาอยากทำงานต่อไปในฐานะนักแสดง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หากยังต้องอยู่ภายใต้เงื้อมเงาของแฟรนไชส์นี้ มันเป็นธุรกิจโกยเงินเขากล่าว ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะวิจารณ์มันดีไหม ผมพยายามจะไม่ตัดสินมัน ผมรู้แค่ว่าผมรู้สึกปวดใจที่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม

ระหว่างนั้นการ์ฟิลด์พยายามจะลับคมทักษะการแสดงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2012 เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนีจากการรับบทเป็นบิฟฟ์ในละครบรอดเวย์เรื่อง Death of a Salesman ซึ่งมี ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน นำแสดง และกำกับโดย ไมค์ นิโคลส์ ที่การ์ฟิลด์นับถือเป็นหนึ่งในครูคนสำคัญผู้คอยชี้นำทาง การจากไปของทั้งฮอฟฟ์แมนและนิโคลส์ในปี 2014 ทำให้เขารู้สึกเศร้าสร้อยอย่างมาก ผลงานในละครเรื่องนี้ทำให้สกอร์เซซีเรียกเขาไปทดสอบบทในปี 2013 ขณะที่การ์ฟิลด์กำลังถ่ายทำ The Amazing Spider-Man 2 มันเป็นการออดิชั่นยาวนาน 3 ชม. แต่สุดท้ายสกอร์เซซีก็มั่นใจว่าเขาได้ดารานำคนที่ต้องการแล้ว จากนั้นหลังปิดกล้อง Silence ได้ไม่นาน การ์ฟิลด์ก็ได้อ่านบท Hacksaw Ridge และร้องห่มร้องไห้ไปกับเรื่องจริงของพลทหารดอสที่ช่วยเหลือเพื่อนทหาร 75 ชีวิตในระหว่างสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่น โครงการดังกล่าวถูกวางให้เป็นการ คัมแบ็คของ เมล กิ๊บสัน หลังเหตุอื้อฉาวหลายปีก่อนเมื่อเขาพ่นคำหยาบด่าทอชาวยิวขณะมึนเมา

ความลังเลใดๆ ที่เคยมีพลันมลายหายไป เมื่อการ์ฟิลด์ได้คุยกับผู้กำกับชาวออสซี แล้วถามเขาอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเหตุอื้อฉาวดังกล่าวเราพูดคุยกันทุกเรื่อง เกี่ยวกับทุกช่วงชีวิตของเขา การเลิกเหล้า และการฟื้นฟูสภาพจิตใจของตัวเอง รวมไปถึงบุคคลที่เขาทำร้ายการ์ฟิลด์กล่าว เขาเป็นผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และเขาก็เลิกเหล้าได้แล้ว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก

Hacksaw Ridge เช่นเดียวกับหนัง เมล กิ๊บสัน ก่อนหน้านี้อย่าง The Passion of the Christ และ Apocalypto เต็มไปด้วยความรุนแรงแบบถึงเลือดถึงเนื้อในฉากสงคราม แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ตรงงานแสดงอันหนักแหน่ เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ช่วยมอบความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละคร ภาพความโหดร้ายสารพัด ตลอดจนมอบความหวังให้กับสถานการณ์อันแสนหดหู่ 


วีโก มอร์เทนเซน (Captain Fantastic)

วีโก มอร์เทนเซน ไม่เหมือนดาราดังคนอื่น เขาไม่เคยขึ้นปก Us Weekly ขณะเดินออกจากร้านสตาร์บัคส์พร้อมยกมือปิดหน้าจากพวกปาปารัสซี เขาไม่เคยเฮฮาปาร์ตี้กับ จอร์จ คลูนีย์ หรือ แบรด พิทท์ และเวลาออกงานเดินพรมแดง เสื้อผ้าที่เขาใส่ไม่ใช่แบรนด์ดัง (ครั้งหนึ่งนักข่าวเคยถามว่าเขาใส่แบรนด์อะไร มอร์เทนเซนตอบว่า แบมบิโน เวรา แล้วยืนมองขำๆ ขณะนักข่าวก้มหน้าจดขยุกขยิก เวราเป็นชื่อนักบอลชาวอาร์เจนตินา) เขาอาศัยอยู่มาดริด และจะทำงานก็ต่อเมื่อเขาต้องการ ฉะนั้นเขาจึงไม่ได้เล่นหนังปีละเรื่องสองเรื่องเหมือนดาราทั่วไป จนมีรายงานข่าวผิดๆ แต่ถูกนำไปขยายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะเกษียณตัวเองเพียงเพราะเขาพูดว่าอยากหยุดพักจากงานแสดง

ปัจจุบันมอร์เทนเซนอายุ 57 ปี เวียนว่ายอยู่ในวงการมาตั้งแต่ปี 1982 เขาตัดสินใจว่าอยากเป็นนักแสดงตอนอายุ 23 หลังดูหนังหลายเรื่องแล้วคิดว่า เราก็ทำได้อาชีพก่อนหน้าของเขาก็เช่น ขับรถบรรทุก ส่งดอกไม้ และกรรมกรท่าเรือในเดนมาร์ก เป็นเวลาหลายปีที่เขาหาเลี้ยงตัวได้แบบเดือนชนเดือน แต่ส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาพจนกรอบ สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่เมื่อเขาย้ายจากแอลเอไปไอดาโฮ เขาเลี้ยงฝันการเป็นนักแสดงด้วยอาชีพบาร์เทนเดอร์และเด็กเสิร์ฟ โอกาสดูเหมือนจะเริ่มมาถึง เมื่อ วู้ดดี้ อัลเลน เลือกเขาเล่น The Purple Rose of Cairo แต่สุดท้ายบทของเขากลับโดนหั่นทิ้ง เช่นเดียวกับหนังเรื่อง Swing Shift ที่นำแสดงโดย โกลดี้ ฮอว์น จากนั้นโชคก็เริ่มเข้าข้างตอนเขาได้เล่นเป็นหนุ่มอามิชในหนังเรื่อง Witness ซึ่งมี แฮร์ริสัน ฟอร์ด นำแสดง นั่นถือเป็นครั้งแรกที่คนดูได้เห็นใบหน้าของมอร์เทนเซนบนจอ แต่หนังเรื่องนั้นออกฉายปี 1985 ต้องใช้เวลาอีกกว่า 16 ปี เล่นหนังที่ไม่มีใครจดจำอีกมากมาย กว่าเขาจะสร้างชื่อโด่งดังไปทั่วโลก มอร์เทนเซนรับข้อเสนอให้เล่นไตรภาค The Lord of the Rings หลังจากนักแสดงอีกคน สจ๊วต ทาว์นเซน โดนถอดออกในนาทีสุดท้าย เขาตกลงใจรับเล่นเพียงเพราะ เฮนรี หลานชายวัย 11 ขวบหลงรักนิยายเรื่องนี้ของโทลคีนและเกลี้ยกล่อมเขาจนสำเร็จ หนังทั้งสามเรื่องทำเงินถล่มทลาย ส่งผลให้เขาโด่งดัง (ณ เวลานั้น) และร่ำรวยเงินทอง

จากนั้นมอร์เทนเซนก็ทำสิ่งที่พิลึกพิลั่นตามมาตรฐานของฮอลลีวู้ด โลกอยู่ในกำมือเขา บทหนังหลั่งไหลมาให้เขาเลือก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนังสตูดิโอฟอร์มยักษ์ ทุนสูง ค่าจ้างแพงลิบลิ่ว แต่เขากลับตอบปฏิเสธไปหมด แล้วเลือกเล่นหนังที่เขาอยากเล่น แทบทั้งหมดเป็นหนังฟอร์มเล็ก คนเราจะต้องมีเงินกันสักเท่าไหร่เขาย้อนถาม มอร์เทนเซนใช้เงินที่ได้จาก The Lord of the Rings ไปก่อตั้งสำนักพิมพ์ เพอร์เซวัล เพรส ตามชื่อหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมของกษัตริย์อาเธอร์ เน้นตีพิมพ์บทกวี และผลงานของนักเขียนที่หาสำนักพิมพ์ไม่ได้ นอกจากนี้ เงินที่ได้มายังช่วยให้เขามีเวลากับความสนใจอื่นๆ เช่น เขียนบทกวี ถ่ายภาพ และวาดภาพ

กระนั้นใช่ว่าเขาจะเมินใส่วงการหนังเสียทีเดียว แต่หนังที่เขารับเล่นส่วนใหญ่เป็นหนังอินดี้ หรือไม่ก็ผลงานกำกับของ เดวิด โครเนนเบิร์ก ซึ่งมืดหม่น ซับซ้อน และกระตุ้นสติปัญญาแบบที่หาชมได้ไม่ง่ายตามโรงหนังมัลติเพล็กซ์ชานเมือง แต่พวกมันเปิดโอกาสให้เขาได้โชว์ฝีมือการแสดงระดับสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นผลงานคลาสสิกอย่าง A History of Violence ที่มอร์เทนเซนรับบทเจ้าของร้านอาหารในเมืองเล็กๆ ผู้มีประวัติดำมืด หรือ Eastern Promises หนังมาเฟียซึ่งทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก พร้อมฉากดวลมีดแบบถึงเลือดถึงเนื้อในโรงอาบน้ำที่ชวนให้เสียวสันหลัง ล่าสุดเขากลับมาเล่นหนังอีกครั้งในรอบสองปี ซึ่งคราวนี้ไม่ได้กำกับโดยโครเนนเบิร์ก แต่เป็นนักแสดง/นักเขียนบท/ผู้กำกับ แม็ท รอส โดยมอร์เทนเซนรับบทเป็นคุณพ่อนอกคอกที่พยายามปกป้องลูกๆ ทั้งหกจากความกดดันของสังคมด้วยการเลี้ยงดูพวกเขาท่ามกลางป่าเขาอันห่างไกลความเจริญของ แปซิฟิก นอร์ธเวสต์ โดยตอนกลางวันพวกเขาต้องเรียนฟิสิกส์ อ่านพี่น้องคารามาซอฟ ส่วนตอนกลางคืนก็มาล้อมวงร้องเพลง เล่นกีตาร์

จุดที่เหมือนกันอยู่อย่างระหว่าง Captain Fantastic กับ Eastern Promises คือ มอร์เทนเซนมีฉากต้องนุ่งเนื้อห่มหนังอีกครั้ง ซึ่งนั่นไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเขาแม้แต่น้อย มอร์เทนเซนไม่เข้าใจว่าทำไมคนต้องเห็นการแก้ผ้าหน้ากล้องเป็นเรื่องใหญ่ เช่นเดียวกับเวลาที่เขาบอกว่าสามารถพูดได้ 8 ภาษา มันก็แค่กระจู๋ ผู้ชายทุกคนก็มีตัวละครที่เขารับเล่นในหนังพูดขึ้นในฉากหนึ่ง

ใน Captain Fantastic มอร์เทนเซนรับบทเป็นอดีตศาสตราจารย์ที่เทิดทูน โนม ชอมสกี้ (เขากับลูกๆ จะฉลองวันเกิดของชอมสกี้แทนคริสต์มาส) แต่สามารถปีนเขา สร้างบ้าน และฆ่าแกะ (ด้วยมือเปล่าก็ได้ถ้าจำเป็น) ได้อย่างคล่องแคล่ว คนคิดว่าบทนี้เขียนขึ้นตามชีวิตผมเขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม และทุกอย่างที่เขาทำ ผมก็ทำแบบเดียวกัน ซึ่งไม่จริงเลย แต่ผมดีใจที่คนคิดแบบนั้น นั่นหมายความว่าผมเล่นได้น่าเชื่อถือตามบท ก็เหมือนเวลาผมเล่นหนังเรื่องอื่นๆ แล้วทำให้คนคิดว่าตัวจริงผมเป็นแบบนั้นเมื่อถูกถามว่าเขาต่อชั้นหนังสือเป็นไหม อาจไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่มันใช้วางหนังสือได้ก็โอเค

มอร์เทนเซนขึ้นชื่อเรื่องการทำงานสไตล์เมธอด ใน The Lord of the Rings เขาจะขี่ม้าเอง (เขาผูกพันกับมันจนต้องขอซื้อไปเลี้ยงหลังหนังปิดกล้อง) และสวมชุดตัวละครเข้านอน ระหว่างเตรียมตัวเพื่อรับบทในหนังเกี่ยวกับวันสิ้นโลกเรื่อง The Road เขาจะเข้านอนในสภาพอากาศต่ำกว่าจุดเยือกแข็งและสวมถุงเท้าเปียกชุ่มทุกวัน สำหรับ Captain Fantastic เขาพักอยู่ในกระโจมกลางป่าก่อนเริ่มเปิดกล้อง... แบบนี้แสดงว่าเขากางเต็นท์ได้สบายมาก แน่นอน พ่อสอนผมหมดตั้งแต่สมัยผมยังเด็กเขากล่าว ตกปลา ล่าสัตว์ ยิงนก อะไรพวกนี้ แต่ผมไม่ค่อยได้ทำแล้ว ยกเว้นเรื่องตกปลา ผู้กำกับ แม็ท รอส ส่งงานเขียนของนักธรรมชาตินิยม ทอม บราวน์ และนักปรัชญาการเมือง โนม ชอมสกี้ ให้มอร์เทนเซนหนึ่งกล่อง แต่ปรากฏว่าเขาอ่านทุกเล่มหมดแล้ว และเรียนเป่าปี่สก็อตเสร็จสรรพเรียบร้อย

หนังที่เราจะจดจำได้ คือ หนังที่พูดถึงสังคมที่เราอาศัยอยู่มอร์เทนเซนกล่าว ผมว่านี่เป็นหนึ่งในหนังที่คนจะจดจำได้ มันพูดถึงการค้นหาสมดุลระหว่างอุดมคติเรื่องยูโทเปียกับแนวคิดอนุรักษ์นิยม ตอนได้อ่านบทหนัง ผมรู้สึกสนุกจนวางไม่ลง แต่ในใจก็คิดว่ามันค่อนข้างเฉพาะทาง เน้นประเด็นการเมือง ซึ่งไม่ได้เรียบง่าย เป็นขาวกับดำขนาดนั้น ตัวละครพ่อต่อต้านความเข้มงวด ไม่ยืดหยุ่น และลัทธิอำนาจนิยม แต่สุดท้ายเขากลับตกหลุมพรางทั้งสองเสียเอง และก็ต้องต่อสู้อย่างหนักภายในจิตใจ

ไม่มีความคิดเห็น: