วันศุกร์, มีนาคม 10, 2560

Oscar 2017: มนตร์เพลง La La Land


ก่อนหน้าการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิง หลายคนทำนายว่า La La Land คงลงเอยด้วยการเป็นหนังที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงมากที่สุด แต่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะทำสถิติเทียบเท่า Titanic และ All About Eve (14 รางวัล) โดยนอกจากสาขาใหญ่ที่ได้เข้าชิงครบตามคาดแล้ว สาขาย่อยๆ ก็โผล่เข้าชิงแบบไม่คาดคิดด้วย เช่น บันทึกเสียง ตัดต่อเสียง ที่อาจจะไม่ได้ โชว์ออฟมากเท่าหนังบล็อกบัสเตอร์ หรือกระทั่งสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายที่เน้นความเรียบง่าย ผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยกับความวินเทจ ซึ่งไม่ได้เข้าทางออสการ์เท่าไหร่ (ปกติสาขานี้มักเต็มไปด้วยหนังพีเรียด หรือหนังแฟนตาซีที่เครื่องแต่งกายกระหน่ำจัดเต็ม) ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า La La Land เป็นที่รักของกรรมการในทุกสาขาอาชีพ และน่าจะเก็บรางวัลสูงสุดได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น

คำถามตอนนี้ คือ สุดท้ายแล้วมันจะได้ไปทั้งหมดกี่รางวัล โดยหนังเพลงที่ทำสถิติคว้ารางวัลมากสุด ได้แก่ West Side Story (10 รางวัลจากการเข้าชิง 11 รางวัล แพ้แค่รางวัลเดียว คือ บทภาพยนตร์) รองลงมา คือ Gigi (ได้ 9 รางวัล) ถ้าผลจากเวทีลูกโลกทองคำเป็นลางบอกเหตุ เราคงเห็นการกวาดรางวัลบนเวทีออสการ์มากที่สุดนับจาก Slumdog Millionaire ซึ่งได้ออสการ์ทั้งหมด 8 รางวัล ตอนนี้สถิติที่เป็นไปได้ คือ 12 รางวัล เพราะในสาขาเพลงเป็นการชิงกันเอง และโอกาสของ ไรอัน กอสลิง ในสาขานำชายถือว่าห่างไกลความเป็นจริง และนั่นจะทำให้มันทำลายสถิติสูงสุดที่ครองร่วมกันระหว่าง Titanic กับ Ben-Hur (11 รางวัล)

เดิมทีในตอนแรกสถานะของ La La Land ค่อนข้างไม่มั่นคงเท่าไหร่เนื่องจากมันพลาดเข้าชิงสาขาใหญ่สุดบนเวที SAG แม้เหตุผลที่พอจะยกมาอ้างได้ คือ หนังเรื่องนี้หลักๆ แสดงกันอยู่แค่สองคน (ขอโทษนะ จอห์น เลเจนด์) แล้วทั้งคู่ก็ได้เข้าชิงนำชาย-นำหญิงอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเปรียบได้กับการตีตราอนุมัติจากสมาพันธ์นักแสดงแห่งอเมริกา แต่หลังจากหนังกวาดเงินเกิน 100 ล้านเหรียญ คว้าลูกโลกทองคำได้มากสุดถึง 7 รางวัล ทำลายสถิติเดิม (6 รางวัล) ของ One Flew Over the Cuckoo’s Nest (1975) และ Midnight Express (1978) จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัล PGA และได้เข้าชิงออสการ์ถึง 14 รางวัล ความแคลงใจใดๆ ก็พลอยสูญสลายไปสิ้น หนังคงเดินหน้าคว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์อย่างแน่นอนแล้ว และจะเรื่องแรกนับจาก Braveheart ที่ทำสำเร็จโดยไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง SAG ในสาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม (1995 ถือเป็นปีแรกของการแจกรางวัล SAG โดยหนังที่เข้าชิง 5 เรื่องในสาขานี้ได้แก่ Apollo 13, Get Shorty, How to Make an American Quilt, Nixon และ Sense and Sensibility เรื่องแรกกับเรื่องสุดท้ายได้ไปชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยม แต่พ่ายให้กับ Braveheart) ส่วนหนังที่ชนะ SAG สาขานักแสดงกลุ่มอย่าง Hidden Figures คงยากที่จะคว้าออสการ์มาครอง การหลุดเข้าชิงเป็น 1 ใน 3 หนังเกี่ยวกับคนผิวดำน่าจะถือเป็นความสำเร็จสูงสุดแล้ว

ถ้าจะมีหนังเกี่ยวกับคนผิวดำสักเรื่องที่มีแววพอจะแย่งรางวัลจาก La La Land ได้โดยอาศัยกระแสโต้กลับ โดนัลด์ ทรัมป์ (นโยบายสุดโต่งของเขาทำให้ SAG กลายเป็นงานประกาศจุดยืนทางการเมืองของเหล่าดาราฮอลลีวู้ด และเชื่อว่างานออสการ์ก็คงเร่าร้อนไม่แพ้กัน) และ OscarSoWhite จากปีก่อนแล้วละก็ หนังเรื่องนั้นคือ ขวัญใจนักวิจารณ์อย่าง Moonlight แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังเกย์ อยู่ในทีโอกาสดังกล่าวอาจลดทอนลงค่อนข้างเยอะ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับ Brokeback Mountain ซึ่งลงเอยด้วยการได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครอง แบร์รี เจนกินส์ อาจมีภาษีดีกว่าตัวหนังของเขานิดหน่อย แต่ความหวังที่จะพลิกชนะ เดเมียน ชาเซลล์ แล้วก้าวขึ้นเป็นผู้กำกับผิวดำคนแรกที่ได้รางวัลออสการ์ เริ่มริบหรี่ลงเมื่อ DGA ยกรางวัลให้ชาเซลล์ ฉะนั้นความเป็นไปได้หลักในตอนนี้ คือ La La Land กับ เดเมียน ชาเซลล์ น่าจะเดินหน้ากวาดรางวัล แล้วหยุดกระแส แบ่งกันไปในช่วง 5 ปีหลัง เมื่อรางวัลสูงสุดและผู้กำกับตกเป็นของหนังคนละเรื่องถึง 3 ครั้ง (มีแค่ Birdman กับ The Artist เท่านั้นที่กวาดทั้งสองสาขา)

พูดถึง Braveheart หนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ได้ออสการ์โดยไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมของ SAG ฮอลลีวู้ดได้ประกาศขอคืนดีกับ เมล กิ๊บสัน อย่างเป็นทางการ เมื่อ Hacksaw Ridge เข้าออสการ์ชิง 6 สาขารวมถึงสาขาที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกันสุดเดชอย่าง ผู้กำกับยอดเยี่ยม กรรมการออสการ์เลือกจะเขี่ยขาประจำอย่าง คลินต์ อีสต์วู้ด และ มาร์ติน สกอร์เซซี หรือดาวรุ่งดวงใหม่อย่าง การ์ธ เดวิส (เข้าชิง DGA) แล้วอ้าแขนต้อนรับอดีตขวัญใจอย่างกิ๊บสันให้กลับเข้าร่วมสโมสรอีกครั้ง ในแง่หนึ่งการเสนอชื่อกิ๊บสันเข้าชิงในครั้งนี้อาจเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาไม่ได้ทำพลาด หรือเสียใจใดๆ ที่มอบรางวัลใหญ่ให้ Braveheart เมื่อ 21 ปีก่อน แม้กระแสในเวลาต่อมาจะเห็นตรงกันว่ามันเป็นหนังยอดเยี่ยมที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ พูดตามตรง กิ๊บสันเป็นผู้กำกับเปี่ยมทักษะ มีเซนส์ด้านภาพและการเล่าเรื่องชัดเจน แต่หนังส่วนใหญ่ของเขามักห่างไกลจากคำว่า ลุ่มลึกหรือเบามือ ซึ่งจะว่าไปก็อาจพูดได้ว่ามันเข้าทางออสการ์และฮอลลีวู้ดอยู่ในที

ในสาขานำชายตัวเก็งที่กวาดรางวัลทุกเวทีมาครองแบบเป็นเอกฉันท์ เคซีย์ อัฟเฟล็ค (Manchester by the Sea) เกิดจังหวะสะดุดเล็กน้อย เมื่อเขาพ่ายให้กับ เดเซล วอชิงตัน (Fences) บนเวที SAG ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญสุด ส่งผลให้โอกาสคว้าออสการ์ของเขาในตอนนี้หล่นลงมาอยู่ที่ 50-50 หลายคนให้เหตุผลว่าที่เดนเซลได้ SAG เนื่องจากเขายังไม่เคยได้รางวัลนี้มาก่อน แต่เขาได้ออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง (Glory ในสาขาสมทบและ Training Day ในสาขานำชาย) ฉะนั้นแต้มต่อของอัฟเฟล็คน่าจะเหนือกว่าเล็กน้อย ถึงแม้เดนเซลจะเป็นที่รักของนักแสดงในวงการมานานหลายสิบปี ขณะที่อัฟเฟล็คค่อนข้างเก็บตัว ไม่ชอบออกสื่อ และไม่ได้ป็อปปูล่าแบบพี่ชาย (แม้ในส่วนฝีมือการแสดงจะนำหน้าพี่ชายอยู่หลายก้าว)

ถ้าเดนเซลชนะอัฟเฟล็ค และ ไวโอลา เดวิส กับ มาเฮอร์ชาลา อาลี คว้าออสการ์ไปครองตามคาด นี่จะถือเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์เมื่อนักแสดงผิวดำคว้าออสการ์ได้ จาก 4 สาขาการแสดง (ส่วนโอกาสได้รางวัลของ รูธ เนกกา (Loving) ในสาขานำหญิงนั้นถือว่าค่อนข้างห่างไกล) แต่ถ้าอัฟเฟล็คสามารถพลิกกลับมาคว้าออสการ์ได้สำเร็จ นี่จะถือเป็นปีแรกนับจากปี 2003 ที่นำชายของ SAG กับออสการ์ไม่ตรงกัน โดยในปีนั้น จอห์นนี เด็บบ์ (Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl) ได้ SAG ขณะที่ ฌอน เพนน์ (Mystic River) ได้ออสการ์

หลังจากได้รางวัล SAG มาครอง เอ็มมา สโตน (La La Land) กลายเป็นเต็งหนึ่งในสาขานำหญิงทันที ลางร้ายของ นาตาลี พอร์ตแมน (Jackie) เริ่มต้นตั้งแต่การพลาดลูกโลกทองคำให้กับ อิสซาเบล อูแปต์ (Elle) ซึ่งไม่ได้เข้าชิง SAG แต่คงเป็นคู่แข่งคนสำคัญของสโตนบนเวทีออสการ์ กระนั้นอูแปต์จำต้องเอาชนะอุปสรรค/สถิติหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นรสนิยมชื่นชอบ “หญิงสาวสวยวัยขบเผาะ” (ไม่เกิน 30 ปีของกรรมการชายแก่ผิวขาว (ซึ่งกินพื้นที่ในสถาบันค่อนข้างมาก) หรือการ ผิดธรรมเนียม ของหนังเรื่อง Elle ต่อประเด็นเรื่องเพศและการข่มขืน รวมถึงวิธีแสดงแบบไม่เรียกร้องความเห็นใจของอูแปต์เองเพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณของตัวละครที่คาบเกี่ยวเส้นศีลธรรมอันดีอย่างน่าหวาดเสียว ตรงกันข้าม ใครบ้างที่ดู La La Land แล้วจะไม่หลงรัก เอ็มมา สโตน

ถ้าสโตนคว้าชัยชนะมาครอง เธอจะเป็นนักแสดงคนแรกนับจาก เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (อีกหนึ่งสาวขบเผาะที่ได้ออสการ์หลังคว้าลูกโลกทองคำในสาขาหนังเพลง/ตลกมาครองจาก Silver Linings Playbook แต่ถ้าอูแปต์พลิกชนะได้สำเร็จ เธอจะเป็นนักแสดงคนแรกนับจาก มาริยง โกติญาร์ (La Vie en Rose) ที่ได้ออสการ์สาขานี้จากหนังภาษาต่างประเทศ  (คนแรกที่ทำสำเร็จ คือ โซเฟีย ลอเรน จาก Two Women เมื่อปี 1960)

สำหรับสองสาขานักแสดงสมทบนั้นแทบจะไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว เพราะ เดวิส (Fences) กับ อาลี (Moonlight) ปิดจ็อบได้ตามคาดด้วยการเก็บ SAG เป็นเวทีสุดท้ายก่อนออสการ์ คนเดียวที่อาจสร้างปรากฏการณ์พลิกล็อกครั้งใหญ่ คือ ลูคัส เฮดเจส (Manchester by the Sea) ซึ่งได้เปรียบอาลีตรงที่บทของเขามีน้ำหนักเยอะกว่ามากในหนัง แม้ว่าบารมีของเขาจะห่างไกลจากอาลีเนื่องจากเพิ่งเล่นหนังมาได้ไม่กี่เรื่อง ถ้าเฮดเจสทำสำเร็จ เขาจะกลายเป็นนักแสดงอายุที่อายุน้อยสุด ล้มสถิติเดิมของ ทิมโมธี ฮัตตัน (Ordinary People) ได้สำเร็จ แต่นั่นอาจเป็นเรื่องยาก เพราะอาลีเป็นโอกาสเดียวที่กรรมการจะให้รางวัลใหญ่กับ Moonlight หนังซึ่งพวกเขาชื่นชอบมากพอจะเสนอชื่อเข้าชิง 8 สาขา


ไวโอลา เดวิส ถือเป็นนักแสดงหญิงผิวดำที่ได้รับการยกย่องสูงสุด ณ ขณะนี้ และออสการ์ตัวแรกของเธอถือเป็นเรื่อง “ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่สำคัญบทของเธอยังมีน้ำหนักเหนือ มิเชลล์ วิลเลียมส์ (Manchester by the Sea) และ นาโอมิ แฮร์ริส (Moonlight) สองคู่แข่งคนสำคัญ ซึ่งมีเวลาปรากฏบนจอแค่ไม่มาก แม้ว่าจะใช้ทุกนาทีนั้นได้อย่างคุ้มค่า เช่นเดียวกับ มาเฮอร์ชาลา อาลี ในสาขาสมทบชาย ซึ่งโผล่มาแค่หนึ่งในสามของหนัง แต่การแสดงอันทรงพลังของเขาทำให้ตัวละครยังคงล่องลอยอยู่ในความรู้สึกของคนดูไปตลอดทั้งเรื่อง


Nominee Reactions

·   ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ Captain Fantastic มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ หนังของเรามุ่งเน้นความบันเทิง เป็นแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้คนสื่อสารด้วยความจริงใจ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของ แม็ท รอส นี่เป็นหนึ่งในทีมงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานด้วย ผมอยากให้แม่ยังอยู่และร่วมยินดีกับช่วงเวลานี้ เพราะแม่รักหนังและเป็นคนสอนทุกอย่างเกี่ยวกับหนังให้ผมวีโก้ มอร์เทนเซน (สาขานักแสดงนำชาย)

·   ผมอยากขอบคุณสถาบันที่ให้การยอมรับ Arrival มันมีความหมายอย่างมากต่อเราทุกคน อย่างไรก็ตาม มันเป็นความรู้สึกหวานปนขม เอมี อดัมส์ คือ จิตวิญญาณของ Arrival ผมเศร้าใจที่เธอไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเดนิส วิลเนิร์ฟ (สาขาผู้กำกับ)

·   ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่สถาบันให้การยอมรับ Jackie ฉันขอแบ่งปันความสุขนี้กับผู้กำกับ พาโบล ลาร์เรน รวมถึงนักแสดงและทีมงานทุกคน ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้เข้าชิงร่วมกับอิสซาเบล, เมอรีล, รูธ และเอ็มมา ทุกคนล้วนเป็นนักแสดงชั้นยอดที่ฉันชื่นชมนับถือ แจ๊คกี้ เคนเนดี้ มอบความหวังให้กับประเทศเราในห้วงเวลาที่เราต้องการมันมากที่สุด ฉันภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสสวมบทบาทเป็นเธอนาตาลี พอร์ตแมน (สาขานำหญิง)


·    จะมีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการได้ฟังประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงขณะอุ้มลูกชายแรกเกิดในอ้อมแขน นี่ถือเป็นเกียรติอย่างสูง ผมมีความสุขเป็นพิเศษที่เห็น แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ โปรดิวเซอร์ของเรา บิล เมคานิก และ เดวิด เพอร์มัต คนตัดต่อ จอห์น กิลเบิร์ต และทีมงานด้านเสียงชั้นยอดของเราได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง การที่หนังเป็นที่ยอมรับของสถาบันเปรียบเสมือนการสดุดีแด่ทีมงานทุกคนใน Hacksaw Ridge รวมถึงทหารที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ หนึ่งในนั้น คือ เดสมอนด์ ดอสเมล กิ๊บสัน (สาขาผู้กำกับ)

·   นับแต่ได้อ่านบทหนังเรื่อง Hidden Figures เราก็มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้มันได้สร้างและคอยหนุนหลังนักทำหนังโดยตลอดเพื่อให้เรื่องจริงอันทรงพลังและน่ายกย่องนี้ไม่ถูก หลบซ่อนอีกต่อไป หวังว่าหนังจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มสาวทั่วโลก ขอขอบคุณสถาบันและขอแสดงความยินดีกับเพื่อนร่วมงานของเราที่ฟ็อกซ์สำหรับการเข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรตินี้ปีเตอร์ เชอร์นิน และ เจนโน ทอปปิง (สาขาภาพยนตร์)

·   ผมมีความสุขมากที่ได้รับเลือกให้เข้าชิงออสการ์อีกครั้ง หลังเคยเช้าชิงจาก A Separation ในสาขาบทภาพยนตร์และหนังต่างประเทศ ผมรู้สึกตื้นตันและเป็นเกียรติที่สถาบันให้การยอมรับหนังเรื่องใหม่ ผมอยากขอบคุณทีมงานทุกคนที่ร่วมกันสร้าง The Salesman ความคาดหวังของผมในฐานะคนทำหนัง คือ สร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อตัวละคร ความเห็นอกเห็นใจคือการเข้าใจถึงสถานะและความเป็นไปของคนอื่น ซึ่งเป็นมนุษย์ไม่ต่างจากเราอัสการ์ ฟาร์ฮาดี (สาขาหนังต่างประเทศ)

·   เดเมียนกับผมรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนเราอายุ 18 ปี เขาทำให้ทุกคนรอบข้างสัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจ และหนังเรื่อง La La Land ก็เป็นโอกาสสุดยอดสำหรับผมในการถ่ายทอดตัวตนผ่านเสียงเพลง ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากกับการเข้าชิงออสการ์สามรางวัล ในส่วนของเพลงประกอบผมได้เข้าชิงร่วมกับคนแต่งเนื้อที่เปี่ยมพรสวรรค์อย่าง เบนจ์ พาเซค และ จัสติน พอล เราสนุกที่ได้ร่วมงานและกลายเป็นเพื่อนสนิทกันจากงานนี้จัสติน เฮอร์วิทซ์ (สาขาดนตรีประกอบ/เพลงประกอบ)

·    มันเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจ และเช้านี้ผมซาบซึ้งจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกจากความรักที่ทางสถาบันมอบให้กับทีมงานของหนังเรื่อง Moonlight ตอนนี้ผมอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม ร่วมแบ่งปันเรื่องราวของไชรอนกับผู้คนต่างวัฒนธรรมในอีกซีกโลกหนึ่ง การได้เข้าชิงเป็นสัญญาณที่ช่วยให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นว่าภาพยนตร์มีพลังที่จะพังทลายกำแพงกั้นและเปิดเผยความเป็นมนุษย์ในตัวเราทุกคนแบร์รี เจนกินส์ (สาขาผู้กำกับ)

·   ผมนอนอยู่บนเตียงตอนได้ข่าว ผมรีบกระโดดลงจากเตียงแล้วตะโกนว่า พ่อครับ แม่ครับ ผมได้เข้าชิงพ่อออกจากห้องน้ำมาในสภาพเปียกปอนและร้องไห้ดีใจ พ่อเคยเข้าชิงออสการ์เมื่อ 10 ปีก่อน ผมถือเป็นรุ่นที่สอง มันเจ๋งสุดๆลูคัส เฮดเจส (สาขาสมทบชาย)

All about the Stats

·   ออกเทเวีย สเปนเซอร์ กลายเป็นนักแสดงหญิงผิวดำคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ หลังคว้ารางวัลออสการ์มาครอง (จาก The Help เมื่อ 5 ปีก่อน)

·   ผู้อำนวยการสร้าง ดีดี การ์ดเนอร์ (Moonlight) ได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน (สามครั้งก่อนหน้าได้แก่ 12 Years a Slave, Selma และ The Big Short)

·   ไลก้าทำหนังอนิเมชั่น 4 เรื่องและได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์อนิเมชั่นครบทั้ง 4 เรื่อง นั่นคือ Coraline, ParaNornan, The Boxtrolls และ Kubo and the Two Strings

·   เควิน โอคอนเนลล์ (บันทึกเสียงจากเรื่อง Hacksaw Ridge) ทำสถิติเข้าชิงสูงสุด 21 ครั้งเทียบเท่า แอนดี้ เนลสัน (บันทึกเสียงจาก La La Land) คนแรกยังไม่เคยได้รางวัล คนหลังเคยได้มาแล้วสองครั้งจาก Saving Private Ryan และ Les Miserables

·   La La Land เป็นหนังเพลง แท้ๆ” (ตัวละครลุกขึ้นร้องเพลงเต้นรำแบบไม่คำนึงถึงโลกแห่งความเป็นจริง) และหนังเพลง ออริจินัล” (ไม่ได้ดัดแปลงจากละครเพลง หรือใช้เพลงที่มีอยู่แล้ว) เรื่องแรกนับจาก Doctor Dolittle (1967) ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

·   การเข้าชิง 14 รางวัลของ La La Land ถือเป็นสถิติสูงสุดเทียบเท่า Titanic และ All About Eve ทั้งสองเรื่องล้วนคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครองในที่สุด Mary Poppins, Who’s Afraid of Virginia Woolf, The Curious Case of Benjamin Button ได้เข้าชิงเรื่องละ 13 รางวัลและไม่ชนะรางวัลสูงสุด

·   แบร์รี เจนกินส์ (Moonlight) เป็นผู้กำกับผิวสีคนที่ 4 ที่ได้เข้าชิงออสการ์ตามหลัง จอห์น ซิงเกิลตัน (Boyz N the Hood) ลี เดเนียลส์ (Precious) และ สตีฟ แม็คควีน (12 Years a Slave) นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่สองที่เข้าชิงควบในตำแหน่งเขียนบทตามหลังซิงเกิลตัน และคนที่สามที่กำกับหนังเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Boyz N the Hood ไม่ติด 1 ใน 5)

·   เมอรีล สตรีพ ทำลายสถิติตัวเองด้วยการเข้าชิงเป็นครั้งที่ 20 จาก Florence Foster Jenkins คู่แข่งที่ใกล้เคียงกับเธอที่สุด คือ แคทเธอรีน เฮปเบิร์น (เสียชีวิตแล้ว) และ แจ๊ค นิโคลสัน (เกษียณจากงานแสดง) ซึ่งต่างก็ได้เข้าชิงแค่คนละ 12 ครั้ง

·   เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่สาขาการแสดงทั้ง 4 สาขามีนักแสดงที่ไม่ใช่ผิวขาวเข้าชิง ได้แก่ รูธ เนกกา (Loving) ในสาขานำหญิง เดนเซล วอชิงตัน (Fences) ในสาขานำชาย มาเฮอร์ชาลา อาลี (Moonlight) กับ เดฟ พาเทล (Lion) ในสาขาสมทบชาย และ นาโอมิ แฮร์ริส (Moonlight) กับ ออกเทเวีย สเปนเซอร์ (Hidden Figures) ในสาขาสมทบหญิง

·   จอย แม็คมิลลอน (Moonlight) เป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกที่ได้เข้าชิงในสาขาลำดับภาพ

·   Kubo and the Two Strings เป็นหนังอนิเมชั่นเรื่องที่สองที่ได้เข้าชิงสาขาเทคนิคด้านภาพตามหลัง The Nightmare Before Christmas ซึ่งเป็นผลงานแบบสตอปโมชั่นเช่นกัน

·   โธมัส นิวแมน คือ โรเจอร์ ดีกินส์ แห่งสาขาดนตรี/เพลงประกอบ เขาได้เข้าชิงเป็นครั้งที่ 14 จาก Passengers (ครั้งที่ 13 ในสาขาดนตรีประกอบ) และยังไม่เคยคว้ารางวัลมาครอง

·   ไวโอลา เดวิส ทำสถิติเป็นนักแสดงหญิงผิวสีที่ได้เข้าชิงออสการ์มากที่สุด Fences ถือเป็นการเข้าชิงครั้งที่สามของเธอหลังจาก Doubt (สมทบหญิง) และ The Help (นำหญิง) ก่อนหน้านี้เธอถือครองสถิติร่วมกับ วูปปี โกลด์เบิร์ก ซึ่งเข้าชิงนำหญิงจาก The Color Purple และได้ออสการ์สมทบหญิงจาก Ghost

·   แอรอน เทย์เลอร์ จอห์นสัน (Nocturnal Animals) เป็นนักแสดงคนแรกนับจาก ริชาร์ด เบนจามิน (The Sunshine Boys) เมื่อปี 1975 ที่ได้ลูกโลกทองคำสาขาสมทบชายและพลาดเข้าชิงออสการ์ในสาขาเดียวกัน

·   นี่ถือเป็นครั้งที่ 2 นับจาก Revolutionary Road ที่ ไมเคิล แชนนอน (Nocturnal Animals) ได้เข้าชิงออสการ์โดยปราศจากการเข้าชิงหรือคว้ารางวัลสถาบันใหญ่ๆ ก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น LAFCA, NYFCC, NSFC, SAG หรือลูกโลกทองคำ น่าประหลาดตรงที่ปีที่เขาได้ชิงลูกโลกทองคำกับ SAG และได้รางวัลสมทบชายยอดเยี่ยมของ LAFCA จาก 99 Homes เขากลับไม่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์

ไม่มีความคิดเห็น: