คนดูที่คุ้นเคยกับหนังเล่าเรื่องในสไตล์คลาสสิกฮอลลีวู้ด
เมื่อทุกๆ รายละเอียดนำไปสู่การไขปมปริศนา หรืออธิบายพฤติกรรมตัวละครจนกระจ่าง
อาจรู้สึกพิศวงไม่น้อยกับหนังเรื่อง A Bigger Splash ซึ่งสามารถจัดเข้าข่ายหนังลึกลับ
เขย่าขวัญได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันมีฉากฆาตกรรม (แม้จะเกิดขึ้นเมื่อหนังดำเนินไปเกินครึ่งเรื่องแล้วก็ตาม)
มีปมริษยา หึงหวง
และการเข้ามาสืบสวนคดีของตำรวจ แต่ทั้งหมดดูคล้ายตกกระไดพลอยโจรมากกว่าเป็นความจงใจตั้งแต่ต้น
(เช่นเดียวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น) อารมณ์ลุ้นระทึกในลักษณะ
“ฆาตกรจะถูกจับได้ไหม”
อาจพอมีให้เห็นบ้างจางๆ แต่นั่นดูจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หรือเป็นสิ่งที่หนังใส่ใจอยากปลุกเร้าคนดูอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเฉกเช่นหนังเขย่าขวัญทั่วไป
ความพิศวงหาได้จำกัดอยู่แค่การบิดเบือนตระกูลหนังจากสูตรสำเร็จเท่านั้น
แต่ยังกินความไปถึงรายละเอียดหลายจุดที่ถูกนำเสนอแบบคลุมเครือ
บ้างก็อาจพอจะหาคำตอบได้จากเบาะแสแวดล้อม
แม้หนังจะจงใจไม่นำเสนอให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น คำถามที่ว่า พอล (มัตเธียส
สคูแนร์ตส์) กับ เพเนโลปี (ดาโกตา
จอห์นสัน) ลงเอยด้วยการมีอะไรกันหรือเปล่า
แผลที่เอวของฝ่ายชายเกิดจากเซ็กซ์บนโขดหิน หรือการต่อสู้กับแฮร์รี (เรล์ฟ ไฟนส์) ในสระว่ายน้ำกันแน่
ทั้งเพเนโลปีและแมรีแอนน์ (ทิลดา สวินตัน) ต่างสังเกตเห็นรอยแผล พูดถึงมันที่สถานีตำรวจ แต่หนังกลับตัดบทก่อนคนดูจะทราบแน่ชัดถึงที่มาแท้จริงของรอยแผลนั้น
วิเคราะห์จากบทสนทนาบางช่วงของเพเนโลปี (“มันวิเศษที่สุด
หนูจะจดจำมันไปตลอด”) ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองเดินทางกลับที่พักค่ำมืดดึกดื่นด้วยข้ออ้าง
“หลงทาง” ทำให้คนดูทึกทักว่าทั้งสองคงลงเอยด้วยการมีอะไรกัน
และคำถามเกี่ยวกับรอยแผลของแมรีแอนน์ก็เป็นจุดที่ทำให้เธอฉุกคิดว่าคู่รักหนุ่มแอบนอกใจ
แต่ในเวลาเดียวกัน
เราอาจตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างตรงที่เพเนโลปีพยายามอ่อยพอลอยู่หลายครั้ง และเขามักแสดงทีท่าไม่สนใจเธอ
หรือบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย
แม้สกิลการอ่อยของเธอที่ทะเลสาบจะพีคถึงขั้นสุดและไร้ขีดจำกัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ก็ตาม บางทีรอยแผลอาจเกิดขึ้นในสระว่ายน้ำ (ซึ่งนั่นไม่จำเป็นต้องแปลว่าพอลกับเพเนโลปีไม่มีอะไรกัน)
และบทสนทนาที่ถูกขัดจังหวะระหว่างแมรีแอนน์กับเพเนโลปี ณ สถานีตำรวจบ่งชี้ว่าพวกเธอต่างรู้ตัวฆาตกร
พร้อมทั้งพยายามปกปิดความจริงกับสารวัตร คนแรกด้วยการเบี่ยงเบนความน่าสงสัยไปยังเหล่าผู้อพยพ
คนหลังด้วยการโกหกว่าเธอเข้านอนเร็ว และ “น่าจะ” เป็นคนทิ้งแผ่นเสียงลงในสระเพื่อให้ดูเหมือนการฆ่าตัวตาย/อุบัติเหตุ เพราะแฮร์รีดูจะมีความผูกพันเป็นพิเศษกับอัลบั้ม Emotional
Rescue ของวง The Rolling Stones สังเกตจากสีหน้าแปลกใจของพอลเมื่อเห็นอัลบั้มที่ก้นสระ
ก่อนกล้องจะตัดไปยังเพเนโลปีในระยะไกลซึ่งดูไม่สะทกสะท้านใดๆ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับแมรีแอนน์ เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น (แต่มองในอีกมุม เธอก็ไม่ได้สนิทสนมกับแฮร์รีมากนัก และเพิ่งรู้ข่าวว่าเขาเป็นพ่อที่แท้จริงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้
บางทีปฏิกิริยาของเธออาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลก)
นอกเหนือจากนี้ยังมีความคลุมเครือที่ถูกทิ้งปลายเปิด
โดยปราศจากคำอธิบายชัดเจนใดๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่เพเนโลปีโกหกเรื่องอายุ
ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ว่าเธอสามารถพูดอิตาเลียนได้อย่างคล่องแคล่ว (ข้อแรกเป็นได้ว่าเธออาจต้องการหลอกล่อพอล
ซึ่งอาจไม่หลวมตัวหากรู้ว่าเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ) หรือความสัมพันธ์แท้จริงระหว่างแฮร์รีกับเพเนโลปี
ซึ่งดูไม่เหมือนพ่อลูกกันไม่ว่าจะโดยบุคลิก หรือพฤติกรรมการแสดงออก เขาดูคล้ายเด็กหนุ่มในร่างชายวัยกลางคน
ขณะเธอก็ดูเย็นชา วางมาดแข็งแกร่ง มั่นใจเกินวัย จนกระทั่งเมื่อเธออยู่ตามลำพังบนเครื่องบิน
ความหนักหนาสาหัสของสถานการณ์จึงเริ่มจู่โจม ทำให้กำแพงหินที่ก่อขึ้นรอบตัวเธอพังทลายลงในที่สุด
เป็นไปได้ว่าเพเนโลปีอาจเป็นลูกสาวเขาจริงๆ หรืออาจเป็นแค่ผู้หญิงอีกคนของแฮร์รี แต่ที่น่าจะปรากฏชัดเจน
คือ เขาพาเธอมาเพื่อล่อหลอกพอล เพราะเขาหวังจะทวงแมรีแอนน์คืน
แบบเดียวกับเมื่อเขานำพอลมาล่อหลอกแมรีแอนน์เพื่อหาทางถอนตัวจากเธอ
การที่เพเนโลปีพูดประโยคเดียวกันกับที่แมรีแอนน์บอกแฮร์รีให้เลิกตามตื๊อเธอบ่งชี้ว่าบางทีเพเนโลปีอาจรู้อะไรมากกว่าที่เธอแสดงออก
การเปิดช่องให้คนดูจินตนาการเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ
ในหนังแถบยุโรป ซึ่งบางครั้งก็เพื่อต่อต้าน หรือบิดผันกลวิธีเล่าเรื่องแบบฮอลลีวู้ด
ด้วยความเชื่อที่ว่าบางครั้งเราก็ไม่อาจล่วงรู้จิตใจ ความเปราะบาง
หรือปมซับซ้อนในใจมนุษย์/ตัวละครได้อย่างถ่องแท้ บางครั้งชีวิตก็ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างได้ด้วยภาพเพียงไม่กี่ช็อต
และความขัดแย้งก็ไม่อาจคลี่คลายได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ในเวลาเดียวกันความคลุมเครือที่ผู้กำกับ
ลูกา กัวดาญีโน (I Am Love) จงใจใส่เข้ามายังมีนัยยะไปถึงภาวะ “คลื่นใต้น้ำ” ของคู่รัก ตลอดจนอารมณ์หึงหวง คับแค้นใจที่ถูกเก็บกดเอาไว้ภายใต้ความศิวิไลซ์
เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างราบรื่น
ต้องยอมรับว่าธรรมชาติของความหึงหวงนั้นหลายครั้งเกิดจากจินตนาการในหัวมากกว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏเบื้องหน้า
การรับรู้เพียงน้อยนิด หรือคลุมเครือไม่ได้ช่วยปลุกปลอบอารมณ์ให้เย็นลง
แต่กลับโหมกระพือความรู้สึกจากความคิดในหัวซึ่งเตลิดไปไกล สะท้อนผ่านการที่หนังปิดกั้นคนดูไม่ให้ตระหนักข้อมูลบางอย่าง
หรือการจงใจใส่ปริศนาคลุมเครือเอาไว้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งจากบทสนทนาสองแง่สองง่าม
ความนัยเชิงโฮโมอีโรติกระหว่างพอลกับแฮร์รีที่ไม่ถูกสำรวจตรวจสอบ
การตัดข้ามบทสนทนาและเหตุการณ์ก่อนมันจะได้บทสรุปชัดเจน
ดังเช่นบทสนทนาเกี่ยวกับแผลของพอลที่สถานีตำรวจและฉากพอลกับเพเนโลปีที่ทะเลสาบ
หรือกระทั่งการเลือกช็อตบางช็อตที่ไม่แน่ชัดในจุดประสงค์ เช่น
ภาพโคลสอัพรอยแผลบนขาของแมรีแอนน์กับแม่บ้านระหว่างพวกเธอนั่งรอตำรวจมาตรวจศพแฮร์รี
เราคาดเดาได้ว่าแผลนั้นเกิดจากอะไร แต่ไม่แน่ใจมันมีความสำคัญแค่ไหนต่อเรื่องราว เหล่านี้ล้วนมีส่วนปลุกเร้าธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงไปพร้อมๆ กัน
หนังเปิดเรื่องด้วยภาพวันหยุดพักร้อนแสนรื่นรมย์ของพอลกับแมรีแอนน์
ซึ่งใช้เวลาวันๆ หมดไปกับการอาบแดด มีเซ็กซ์ในสระว่ายน้ำ และนอนเล่นชายหาด
พวกเขาแทบไม่ได้พูดจาสื่อสารใดๆ กันเลย
สาเหตุหนึ่งคงเพราะแมรีแอนน์เพิ่งผ่าตัดกล่องเสียง และหมอแนะนำให้เธอใช้เสียงให้น้อยที่สุด
แต่ความสงบสุขกำลังจะถูกกวนให้ขุ่นพร้อมการมาถึงของแฮร์รี
ซึ่งไม่เพียงมีบุคลิกพูดจ้อไม่หยุดเท่านั้น
แต่ยังเป็นเหมือนตัวแทนของสัญชาตญาณดิบในจิตไร้สำนักของมนุษย์ทุกคนจากพฤติกรรมห่ามๆ
มุทะลุ คลั่งเซ็กซ์ (เขาอึ๊บคนไม่เลือกเพศ อายุ จำนวนผู้เข้าร่วม หรือสถานที่) และพูดจาแบบตรงไปตรงมา
ไม่รู้จักถนอมน้ำใจคน จนไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อเขาถูก “จับกดน้ำ” ในท้ายที่สุด ตัวละครแต่ละคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้เจ็บแค้น
หรือเสียใจมากเท่าใด (ปฏิกิริยาของแมรีแอนน์เป็นส่วนผสมของความช็อกเสียมากกว่าความเศร้า)
เพราะสุดท้ายทุกคนจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตอันสงบสุขได้อีกครั้ง
อย่างน้อยก็บนพื้นผิว
ถ้าช่วงเวลาห้านาทีแรกเปรียบเสมือนการสถาปนาสวนอีเดนของอดัมกับอีฟ
การเดินทางมาถึงของแฮร์รีกับเพเนโลปีก็คงไม่ต่างจากการปรากฏตัวขึ้นของงูที่เลื้อยบุกรุกเข้ามาในบ้านพักตากอากาศ
พวกเขาล่อลวง ยุยง ปั่นหัวให้คู่รักแปดเปื้อน แล้วร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ ลางร้ายของหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามายังถูกถ่ายทอดผ่านลมร้อนจากทะเลทราย
ซึ่งไล่หลังแฮร์รีมาติดๆ ขณะเดียวกันเกาะเล็กๆ ที่ดูสวยงาม สงบสุข น่าพักผ่อนหย่อนใจ
แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนความวุ่นวาย ฟอนเฟะเอาไว้ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างพอลกับแมรีแอนน์
ทั้งจากประวัติศาสตร์ของการเป็นเมืองค้าทาส ซากปรักหักพังช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
หรือประเด็นปัจจุบันทันเหตุการณ์กับปัญหาผู้อพยพหนีภัยสงคราม
พอลด่าแฮร์รีว่าน่ารังเกียจ
ลามก หยาบโลน ซึ่งฝ่ายหลังโต้กลับว่า “เราทุกคนก็น่ารังเกียจทั้งนั้น” ฉากดังกล่าวมีความนัยไม่ต่างจากบทสนทนาระหว่าง id กับ ego คำพูดของแฮร์รีตั้งข้อสังเกตว่าเราทุกคนล้วนมีแรงปรารถนาทางเพศ
สัญชาตญาณรุนแรง ก้าวร้าวอยู่ภายใน เขาแค่กล้าที่จะยอมรับมัน
แล้วตอบสนองตามความพึงพอใจ ขณะที่พอลพยายามยกตนเหนือคนอย่างแฮร์รี อวดอ้างศีลธรรมจรรยา
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจยับยั้งอารมณ์ใฝ่ต่ำภายในได้ นั่นช่วยพิสูจน์ความจริงแท้ในคำพูดของแฮร์รี
และในเวลาเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนการเก็บกดความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์
A
Bigger Splash ได้แรงบันดาลใจจากหนังฝรั่งเศสเรื่อง La
Piscine (The Swimming Pool) แต่ในเวอร์ชันต้นฉบับ
คู่รักหนุ่มสาว (รับบทโดย อแล็ง เดอลง กับแฟนสาวในตอนนั้น
โรมี ชไนเดอร์) ไม่ได้อายุแตกต่างกันมากเหมือนพอลกับแมรีแอนน์ในเวอร์ชั่นนี้
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยิ่งเพิ่มพลังคุกคามของแฮร์รีต่อพอล ซึ่งมีลักษณะ
“ช้างเท้าหลัง” ในชีวิตคู่ คอยตามดูแลภรรยาผู้โด่งดังและอายุมากกว่า
นั่นยังไม่นับรวมข้อเท็จจริงเรื่องความตกต่ำทางอาชีพการงานของเขา หนังสารคดีที่ยังสร้างไม่เสร็จ
และอาการติดเหล้าจนนำไปสู่ความพยายามฆ่าตัวตาย ตรงกันข้ามกับพอล แฮร์รีมีสถานะทัดเทียมกับแมรีแอนน์
พวกเขาอยู่ในวัยไล่เลียกัน มีบุคลิกรักสนุก ชอบเข้าสังคมเหมือนกัน (การต้องอดเหล้าเป็นเพื่อนพอลคงไม่ใช่สิ่งที่เธอเอ็นจอยเท่าไหร่) และแชร์ความทรงจำร่วมกันมากมาย ในแง่หนึ่งชื่อเสียงของแมรีแอนน์
ซึ่งทรงพลังในหลายระดับตั้งแต่ใช้เป็นบัตรเบ่งหาโต๊ะว่างในร้านอาหาร ไปจนถึงช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดเนื่องจากตำรวจที่มาสืบคดีเป็นแฟนเพลง
และดูยินดีจะมองข้ามข้อสงสัยบางอย่าง ก็น่าจะส่วนผลักดันให้พอลรู้สึกต่ำต้อย
ด้อยค่า ไม่แพ้อารมณ์หึงหวงจากการเห็นแฮร์รีกับแมรีแอนน์รำลึกความหลัง
หรือเที่ยวเล่น ดื่มเหล้ากันอย่างสบายใจ และการที่เด็กสาวสวยอย่างเพเนโลปีแสดงท่าทีอยากเจริญรอยตามเขา
ขอความเห็นจากเขา มันช่วยโหมกระพืออีโก้ของพอลให้พองโต นอกเหนือไปจากตัณหาราคะ
หรือความต้องการจะ “เอาคืน” บางทีแฮร์รีอาจตระหนักดีว่าเด็กสาวอย่างเพเนโลปีย่อมไม่แผ่รังสีข่มความเป็นชายของพอลมากเท่าแมรีแอนน์
นั่นเป็นเหตุผลที่เขากระเตงเธอมาเป็นเหยื่อล่อ
แต่ความจริงที่พอลไม่รับรู้
(และแมรีแอนน์ก็ไม่คิดจะชี้แจงตัวเองให้ชัดเจนด้วยการกันตัวเองออกห่างจากแฮร์รี
ไม่ว่าจะด้วยใจหนึ่งอาจลังเล อยากรำลึกอดีต หรือเพราะเธอไม่คิดว่าพอลจะหึงหวง
หรือเก็บไปคิดวุ่นวายก็ตาม)
คือ แมรีแอนน์ไม่มีความต้องการอยากกลับหาแฮร์รี
สำหรับเธอมันจบไปแล้ว เธอรักพอล
“อย่าทำแบบแฮร์รี สงวนท่าทีและหุบปากไว้” พอลแนะนำเพเนโลปีเกี่ยวกับการเดินทางไปทำสารคดีในต่างแดน
แต่มองอีกมุมอาจสะท้อนภาพความสัมพันธ์ของเขากับแมรีแอนน์ได้เช่นกัน (หรือความพยายามของมนุษย์ที่จะเก็บกดสัญชาตญาณดิบเอาไว้) ต่างคนต่างล้มเหลวในการสื่อสาร ไม่ยอมบอกกล่าวความรู้สึก ความอัดอั้นแท้จริงภายในออกมา
แล้วรักษาบรรยากาศอันชื่นมื่นเป็นเปลือกนอกเพื่อกลบเกลื่อนความขมขื่น
หรือไม่พอใจในเบื้องลึก จริงอยู่ความสัมพันธ์ในอดีตของแมรีแอนน์กับแฮร์รีอาจเต็มไปด้วยพฤติกรรมบ้าคลั่ง
เสพยา ปาร์ตี้ ทำลายล้าง และดูเป็นพิษ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ตรงไปตรงมา
โอบกอดแรงปรารถนาโดยไม่แคร์การรักษามารยาทอันดี
ฉากหลังของหนังเป็นเกาะแพนเทลเลอเรียในประเทศอิตาลี
ตั้งอยู่ใกล้กับประเทศตูนิเซีย จึงมีข่าวผู้อพยพล่องเรือมาและตายกลางทะเลอยู่เนืองๆ
ภาษากลายเป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อตำรวจต้องพูดคุยกับผู้อพยพ หรือสอบสวนบรรดาผู้พักอาศัยที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลักในบ้านพักตากอากาศ
แม่บ้านชาวอิตาเลียนต้องรับหน้าที่ล่ามจำเป็น ซึ่งบางครั้งก็แปลงสารเป็นคนละความหมาย
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังพยายามดิ้นรนเพื่อสื่อสารกัน หนังดูจะจบแบบเจือความหวัง
ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์ขันในฉากสุดท้ายเท่านั้น แต่จากการที่พอลสารภาพความจริงกับแมรีแอนน์
ในที่สุดเขาตระหนักแล้วว่าทุกอย่างเลยเถิดมาถึงขั้นนี้แท้จริงแล้วเป็นเพราะการสงวนท่าทีและเลือกที่จะหุบปากไว้นั่นเอง