วันพุธ, กรกฎาคม 19, 2549

ขอเชิญพบกับ “เมโทรเซ็กช่วล”



เดวิด เบคแฮม กัปตันทีมชาติอังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่โด่งดังและถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก แต่ด้วยเหตุอันใดเมื่อเขาตัดสินใจเป็นนายแบบขึ้นปกนิตยสารเกย์ฉบับหนึ่ง บรรดาสื่อมวลชนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกแท็บลอยด์ ซึ่งที่ประเทศอังกฤษขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมสูงสุด จึงไม่ได้รุมจิกกัด หรือสร้างกระแสต่อต้านอย่างหนักหน่วง

ทำไมถึงไม่มีพาดหัวข่าวในทำนอง “กัปตันทีมชาติอังกฤษโปรโมตวิถีรักร่วมเพศ” หรือ “เบคแฮม - คลุมเครือทางเพศ”

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ พฤติกรรมดังกล่าวของ “เบค” ไม่ใช่เรื่องแปลกในสายตาของประชาชนชาวโลกอีกต่อไป เพราะนอกจากใบหน้าหล่อเหลา หุ่นเพรียวสุดเพอร์เฟ็ค และทักษะการเล่นฟุตบอลอันยอดเยี่ยมแล้ว หนุ่มเบคยังแทบจะมีชื่อเสียงโด่งดังมากพอๆ กันจากการนุ่งโสร่ง ทาเล็บสีชมพู สวมกางเกงของภรรยา วิกตอเรีย (หรือที่ทุกคนเคยรู้จักกันในนาม พอช สไปซ์) ตัดผมทรงประหลาดแทบทุกอาทิตย์ และเป็นแบบเปลือยอกทาน้ำมันเยิ้มขึ้นปกนิตยสาร Esquire อีกด้วย เขาอาจไม่ใช่นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก แต่ที่แน่ๆ คือ เขาเป็นพวกหลงตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย และครั้งหนึ่งเราเคยเรียกขานบุคคลเจ้าสำอางเหล่านี้ (ด้วยน้ำเสียงกึ่งเหยียดหยันเล็กๆ) อย่างน้อยก็ในโลกตะวันตก ว่า “ตุ้งติ้ง”

ในบทสัมภาษณ์ของนิตยสารเกย์ Attitude คุณพ่อลูกสองและนักกีฬาระดับโลกคนนี้ได้ยืนยันกับผู้อ่านทุกคนว่าเขาไม่ใช่เกย์ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าเขามีความสุขกับสถานะ “เกย์ ไอคอน” กล่าวคือ เขาชอบที่มีคนมาหลงใหลชื่นชม ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม

ทั้งหมดนี้ฟังดูทันสมัยและหัวก้าวหน้าไม่หยอก จิตใจอันเปิดกว้างของเบคน่าจะช่วยเปลี่ยนทัศนคติในโลกฟุตบอล ซึ่งยังคงเป็นกีฬาแห่งเพศชายและชนชั้นแรงงาน ได้บ้างไม่มากก็น้อย

ทว่าดูเหมือน เดวิด เบคแฮม ผู้มีพฤติกรรมชอบโชว์ในระดับเกินปรกติ จะไม่ได้บอกพวกเราอย่างหมดเปลือกเกี่ยวกับตัวตนทางเพศของเขา ใช่แล้ว เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นเกย์ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็สามารถยืนยันกับพวกคุณได้เลยว่าเขาไม่ใช่ “รักต่างเพศ” (heterosexual) เช่นกัน เพราะนักกีฬาที่เด็กหนุ่มนับล้านทั่วโลกฝันอยากเลียนแบบและขวัญใจเด็กสาวนับล้านฝันอยากหมายปองคนนี้ คือ “เมโทรเซ็กช่วล” (metrosexual) ขนานแท้และดั้งเดิม (สักวันเขาจะนึกขอบคุณที่ผม “จับแอบ” ได้ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเป็นคนบอกความจริงดังกล่าวกับแม่ของเขาด้วยตัวเอง)

ผมรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ บางทีมันอาจเป็นเหมือนสำนวนที่ว่า “ผีเห็นผี” ก็ได้ แต่ความจริง คือ คุณสามารถจับแอบเมโทรเซ็กช่วลได้ง่ายๆ เพียงแค่ “มองดู” พวกเขา

เมโทรเซ็กช่วลส่วนใหญ่จะเป็นชายหนุ่มที่มีฐานะ มีเงินจับจ่ายใช้สอย และอาศัยอยู่ใจกลาง หรือละแวกใจกลางเมือง เนื่องจากมันเป็นแหล่งกระจุกตัวของร้านค้าหรูเริด ไนท์คลับสุดฮิต สถานออกกำลังกาย และร้านทำผมชั้นแนวหน้า พวกเขาอาจเป็นชายรักหญิง ชายรักชาย หรือชายรักทั้งสองเพศก็ได้ แต่นั่นหาใช่ประเด็นสำคัญไม่ เพราะคนเหล่านี้นิยมเลือก “ตัวเอง” เป็นคนรักและ “ความสุข” เป็นรสนิยมทางเพศ อาชีพบางอย่าง เช่น นายแบบ บริกร สื่อมวลชน นักร้อง นักดนตรี และนักกีฬา ดูจะดึงดูดคนกลุ่มนี้ แต่ความจริง คือ พวกเขากำลังปรากฏเกลื่อนไปทั่วทุกหนแห่ง เช่นเดียวกับบรรดาผลิตภัณฑ์บำรุงและเสริมความงามสำหรับท่านชายทั้งหลาย

เป็นเวลานานแล้วที่ผู้ชายรักต่างเพศ ซึ่งมีคุณลักษณะเก็บกด ก้มหน้าทำงาน และไม่เคยปล่อยให้ผิวหนังสัมผัสกับครีมบำรุงผิวมาก่อน มักจะถูกวัฒนธรรมบริโภคนิยมมองข้ามไป เพราะกลุ่มคนติดดินเหล่านี้ไม่โปรยเงินในตลาดสินค้ามากพอ (หน้าที่หลักของพวกเขา คือ หาเงินมาให้บรรดาเมียๆ ช็อปปิ้ง) แต่ปัจจุบันพวกเขากำลังจะถูกแทนที่โดยผู้ชายกลุ่มใหม่ ซึ่งไม่แน่ใจใน “ตัวตน” มากเท่า แต่สนใจเกี่ยวกับ “ภาพลักษณ์” มากกว่าหลายเท่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ชอบถูกจับตามอง (เนื่องจากนั่นเป็นหนทางเดียวในการพิสูจน์ว่าคุณมีตัวตนอยู่จริง) และผู้ชายเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนฝันเปียกของบรรดานักโฆษณาทั้งหลาย

เบคแฮมเป็นเมโทรเซ็กช่วลตัวเบิ้มสุดของเกาะอังกฤษเพราะเขาหลงรักการถูกจ้องมอง และเพราะผู้ชายตลอดจนผู้หญิงหลายคนชอบที่จะจ้องมองเขา เขายินดีอมนกเขาของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่โดยไม่รู้สึกขัดเขิน ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสารผู้ชาย โฆษณาทางทีวี และบิลบอร์ด ปีๆ หนึ่งเขาสามารถหาเงินเข้ากระเป๋าได้นับสิบล้านดอลลาร์จากการทำสัญญากับผลิตภัณฑ์แฟชั่นสำหรับท่านชายจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวดูจะทะยานเกินขีดขั้นของการทำมาหากินธรรมดา (เฉกเช่นนักกีฬาคนอื่นๆ) ไปอีกระดับหนึ่ง เพราะเบคแฮมทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่า เขายินดีจะโฆษณาสินค้าเหล่านั้น ถึงแม้จะไม่ได้อะไรตอบแทนเลย (ยกเว้นการตกเป็นเป้าจ้องมองของทุกคน) เขาคือซูเปอร์สตาร์แห่งวงการกีฬาที่อยากจะเป็นนายแบบ

น่าแปลกตรงที่ เบคแฮมอาจได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในฐานะ “เกย์ ไอคอน” แต่ดูเหมือนเกย์หลายคนกลับอยากจะ “เป็น” เขามากกว่าอยากจะอึ้บเขา ทั้งจากเงินทองที่ไหลมาเทมา การได้สวมใส่เสื้อผ้าดีไซเนอร์หลากหลาย ใช้ชีวิตกับอดีตสมาชิกวง สไปซ์ เกิร์ล และมีบรรดาผู้ชายรักต่างเพศจำนวนมากมาคอยชื่นชม หลงรัก และแน่นอน อีกเหตุผลหนึ่งที่พวกเกย์หลงใหลเขาก็เพราะการเลียนแบบ คือ คำชมที่จริงใจที่สุด

เกย์เปรียบเสมือนต้นแบบของเทโทรเซ็กช่วลยุคแรก พวกเขานิยมครองความเป็นโสด รักวิถีชีวิตแบบชาวเมือง และไม่ค่อยแน่ใจในตัวตน พวกเขานิยามภาพลักษณ์แห่งความเป็นชายในยุค 1970 ซึ่งคนกลุ่มใหญ่เปิดใจยอมรับอย่างกระตือรือร้นผ่านวงดนตรี Village People เจ้าของเพลงฮิตอย่าง Macho Man และ YMCA มันยากจะเชื่อว่ามีสมาชิกในวงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (จากทั้งหมดหกคน) ที่เป็นเกย์ และแฟนเพลง 99% ของพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นชาวรักต่างเพศแทบทั้งสิ้น

พอมาถึงยุค 1980 หนวดเคราและขนตามร่างกายของผู้ชายก็เริ่มถูกกำจัดออก เทรนด์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการจับมือร่วมกันระหว่างตากล้อง บรูซ เวเบอร์ กับดีไซเนอร์ คาลวิน ไคลน์ สองทศวรรษต่อมา แนวโน้มความนิยมยังคงโอนเอียงมายังชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา รูปร่างฟิตปั๋งสมส่วน และปราศจากขนตามร่างกาย ที่สำคัญ ภาพลักษณ์ดังกล่าวเริ่มได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายจากกลุ่มชายหนุ่มดื่มเบียร์และชอบผู้หญิงอีกด้วย มันเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าเมโทรเซ็กช่วลกำลังจะพุ่งทะยานสู่ตลาดวงกว้างแล้ว พร้อมกันนั้น หลักฐานของการคลั่งไคล้ตัวเองในหมู่เพศชายก็ปรากฏให้เห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านแคตตาล็อกแฟชั่นเสื้อผ้า ตลอดจนสินค้าสำหรับผู้ชายทั้งหลาย ซึ่งถูกถ่ายทำในสภาพกึ่งโป๊เปลือย อบอวลไปด้วยอารมณ์โฮโมอีโรติก

บางทีอาจเป็นเพราะผู้ชายแท้ๆ ในปัจจุบันเริ่มรู้สึกอ่อนแอ เปราะบางมากขึ้นทุกขณะ บรรดาตัวละครหญิง (มีงานทำ มีรายได้ ไม่ต้องพึ่งพาเพศชาย และเห็นเซ็กซ์เป็นเรื่องสนุก) ในซีรี่ย์ทางทีวีชุด Sex and the City เปรียบเสมือนภาพตรงข้ามของแนวโน้มอันเปลี่ยนแปลงในประเด็นบทบาททางเพศ กล่าวคือ ขณะผู้หญิงยุคใหม่เริ่มเล่นบท “ตัวรุก” ผู้ชายยุคใหม่จึงถูกผลักดันให้ต้องเล่นบท “ตัวรับ” ไปโดยปริยาย เดี๋ยวนี้ผู้ชายแท้ๆ ไม่ได้รู้สึกแข็งแกร่งจากการมีสัมพันธ์กับเพศหญิงอีกต่อไป ตรงกันข้าม ความเป็นชายของเขากลับเหมือนจะถูกท้าทายจากการมีสัมพันธ์กับเพศหญิงเสียด้วยซ้ำ

ข้อเท็จจริงจากนิตยสารชื่อดังทั้งหลายแหล่ ก็คือ ยิ่งผู้หญิงทรงอำนาจ ร่ำรวย พึ่งพาตนเอง และคิดถึงแต่ตัวเองมากเท่าไหร่ พวกเธอก็ยิ่งมีแนวโน้มอยากได้ผู้ชายเปี่ยมเสน่ห์ รู้จักดูแลตัวเองและแต่งตัวให้ดูดีมาอยู่รอบๆ มากขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ยิ่งผู้ชายไม่สามารถพึ่งพาผู้หญิง (ให้เป็นคนคอยช็อปปิ้ง) ได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น ความหลงตัวเองกลายเป็นเหมือนกลยุทธของการอยู่รอด ทุกวันนี้ ผู้ชายเริ่มซื้อกางเกงในและน้ำยาดับกลิ่นกายด้วยตัวเองกันแล้ว เบคแฮมอาจแตกต่างจากเมโทรเซ็กช่วลส่วนใหญ่ตรงที่เขาแต่งงานแล้ว แต่เขาดูเหมือนจะเห็นชีวิตสมรส และแม้กระทั่งลูกๆ เป็นแค่เครื่องประดับชนิดหนึ่งเท่านั้น โดยชื่อของลูกคนแรกของเขา บรู้คลิน ได้ปรากฏเป็นรอยสักสวยงามบนแผ่นหลัง

เมื่อหลายปีก่อน นอร์แมน เมลเลอร์ เคยนิยามผู้ชายรักร่วมเพศว่าเป็นพวกหลงตัวเองที่บังเอิญมาพบเจอกันเป็นครั้งคราว นั่นถือเป็นความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปัจจุบัน เมื่อใครๆ ก็กลายเป็นเมโทรเซ็กช่วลกันหมด นิยามดังกล่าวจึงสามารถนำมาใช้กับผู้ชายแท้ๆ ได้เช่นกัน และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเดี๋ยวนี้บรรดาชายจริงหญิงแท้ถึงตั้งหน้า “ฟัน” กันไม่เลือกหน้าแบบเดียวกับพวกเกย์ทั้งหลาย ใน Reality Show ทางทีวีประเภทจับคู่ชู้ชื่น การขอแต่งงาน หรือการส่งการ์ดคริสต์มาสให้อีกฝ่าย ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสุดท้ายในหัวของผู้เข้าแข่งขัน ส่วนบรรดาวันหยุดพักร้อนของเหล่าวัยรุ่นมหาวิทยาลัยก็กลับกลายเป็นงานเซ็กซ์หมู่แบบมาราธอน

บางทีสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะหยุดยั้งไม่ให้พวกรักต่างเพศกลายสภาพเป็นรักร่วมเพศอย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า เรายังไม่นิยมสร้างห้องน้ำแบบใช้ร่วมกันระหว่างชายหญิง!?!

การร่วมเพศทางทวารหนักกลายเป็นประเด็นสุดฮ็อตในหมู่ชายจริงหญิงแท้ทั้งหลาย เพื่อนชาย (รักหญิง) ของผมคนหนึ่งไม่เคยหยุดพูดถึงมัน (อาจเพราะเขาคิดว่าผมเชี่ยวชาญในเรื่องนี้กระมัง) และตามความเห็นของเขาคนเดียวกันนี้ ช่องคลอดหาได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อองคชาต แต่เพื่อลิ้นของผู้หญิงอีกคนต่างหาก

เป็นไปได้ว่าพฤติกรรมเหล่านั้นทำให้พวกเขาไม่ต้องสำนึกรับผิดชอบแบบรักต่างเพศ (สร้างครอบครัวและฐานะ) พร้อมกับกระตุ้นแนวโน้มรักร่วมเพศภายใน (นิสัยชอบโชว์ของพวกเมโทรเซ็กช่วลเปรียบได้กับการเรียกร้องให้ถูกอึ้บ) หรือบางทีพวกเขาอาจมองว่ามันเป็นเหมือน extreme sport (ฝากชีวิตไว้กับถุงยางแล้วกระโจนลงไป) การร่วมเพศทางทวารหนักกลายเป็นเหมือนจอก (ไม่) ศักดิ์สิทธิ์ในกิจกรรมทางเพศของเมโทรเซ็กช่วล แถมมันยังเริ่มลุกลามไปถึงวงการแฟชั่นแล้วด้วย เมื่อลีวายตีพิมพ์โฆษณาภาพนายแบบนางแบบคู่หนึ่งสวมกางเกงยีนกลับด้าน ซิปกางเกงของพวกเขาถูกรูดลง เผยให้เห็นง่ามก้นชัดเจน




เมโทรเซ็กช่วลแผ่ขยายอิทธิพลไปยังฮอลลีวู้ด เมื่อหนังหลายเรื่องอย่าง Fight Club, American Psycho และ Spider-Man เริ่มตักตวงและสะท้อนให้เห็นความกังวลในผลกระทบของเมโทรเซ็กช่วลต่อความเป็นชาย แต่ขณะเดียวกันพวกมันกลับโหมกระหน่ำโปรโมตตัวเองผ่านสื่อโฆษณา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของการผันผู้ชายให้กลายเป็นเมโทรเซ็กช่วลตั้งแต่แรก ใน Fight Club ผลงานซึ่งดูเหมือนหนังขนาดยาวของงานถ่ายแบบแฟชั่นตามหน้านิตยสารสำหรับผู้ชาย แบรด “ซิกแพ็ค” พิทท์ นายแบบหนุ่มสไตล์ คาลวิน ไคลน์ ที่ผันตัวเองมาเป็นซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวู้ดและเมโทรเซ็กช่วลที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา ได้รับบทเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งแก๊งชายหนุ่มขึ้นเพื่อต่อต้าน.... คาลวิน ไคลน์ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ วัฒนธรรมบริโภคนิยมที่บั่นทอนความเป็นชายให้อ่อนแอ



ใน American Psycho ปมปัญหาสำคัญของพระเอก/ฆาตกรโรคจิต คือ เขาไม่สามารถค้นพบผู้หญิงที่จะทำให้เขาลงหลักปักฐานได้ “คุณเคยอยากจะทำให้ใครสักคนมีความสุขไหม” หญิงสาวคนถามเขา ทว่าเขากลับไม่ได้ยินเธอ เพราะมัวแต่กำลังวุ่นอยู่กับการหยิบปืนยิงตะปูตัวใหญ่ออกมา (แถมก่อนหน้านี้ เราก็จะได้เห็นเขาหมกมุ่นอยู่กับการออกกำลังกายเพื่อรักษารูปร่าง การดูแลสภาพผิวตัวเอง ตลอดจนการทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการทำนามบัตรหรูๆ)



หนังเรื่อง Spider-Man สะท้อนให้เห็นเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของหนอนหนังสือธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แปลงสภาพเป็นเมโทรเซ็กช่วล โดยหลังจากถูกแมงมุมต่อย คนดูจะได้เห็น ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ยืนชื่นชมรูปร่างอันบึกบึนของตนเองหน้ากระจก สวมชุดยางยืดรัดรูป แล้วออกไปห้อยโหนตัวตามตึกสูงใหญ่เพื่อโชว์บั้นท้ายของตนให้ทุกคนประจักษ์และชื่นชม

ฉากเด่นของหนัง เมื่อพาร์คเกอร์ห้อยหัวลงมาในชุดไอ้แมงมุม แล้วนางเอกของเรื่อง ซึ่งรับบท เคียร์สเตน ดันส์ ถกหน้ากากของเขาจากด้านล่างลงมาครึ่งหนึ่งเพื่อจูบเขา ก่อนจะปิดมันกลับตามเดิม เปรียบเสมือนตัวอย่างอันชัดเจนของความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างหญิงชายเมโทรเซ็กช่วล เมื่อผู้ชายพยายามเรียกร้องที่จะเป็นจุดศูนย์กลางแห่งความสนใจเสมอ และในตอนจบ เมื่อเคียร์สเตนเสนอตัวให้พาร์คเกอร์ เขากลับปฏิเสธ หลังจากตระหนักว่าเธออาจเข้ามาอยู่กึ่งกลางระหว่างเขากับรักแท้ หรืออีโก้แบบเมโทรเซ็กช่วลนั่นเอง

พร้อมๆ กันนั้น บรรดานิตยสารสำหรับผู้ชายทั้งหลายตั้งแต่ Maxim ยัน FHM ก็กำลังเจริญรอยตามแนวคิดอันขัดแย้งในตัวเองแบบหนังเรื่อง Fight Club กันมาเป็นขบวน โดยเนื้อหาในนิตยสารเหล่านี้จะเน้นย้ำเกี่ยวกับความหมกมุ่นของรักต่างเพศ (เต้านม เบียร์ รถสปอร์ต ฯลฯ) อย่างเข้มข้น แต่ขณะเดียวกัน จุดขายหลักของมันกลับอยู่ตรงบรรดาหน้าแฟชั่นสีและโฆษณาทั้งหลาย ซึ่งมักจะเป็นภาพนายแบบกึ่งเปลือยขายความฟุ้งเฟ้อว่างเปล่าแห่งเพศชาย นั่นคือจุดมุ่งหมายสำคัญของการผลิตนิตยสารเหล่านี้ นิตยสารสำหรับผู้ชาย คือ เมโทรเซ็กช่วลตัวยงที่ยังปฏิเสธตัวเองอยู่ (หรืออีแอบนั่นเอง)... เช่นเดียวกับผู้ชายส่วนใหญ่ในตอนนี้

การไม่ยอมรับตัวเองบางครั้งอาจนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจได้ ยกตัวอย่างเช่น เอมิเน็ม ซึ่งมักจะแสดงความเกลียดชังบรรดา “กะเทย” บอยแบนด์ (หรือเมโทรเซ็กช่วลที่เปิดเผย) อย่างออกนอกหน้า แต่ขณะเดียวกัน เขา เช่นเดียวกับเบคแฮม กลับไม่อาจทนความเย้ายวนของเลนส์กล้องได้ เขาชอบถอดเสื้อถ่ายแบบ โชวกล้ามในมิวสิกวีดีโอ และใช้ลูกๆ เป็นเหมือนเครื่องประดับ เอมิเน็มคืออีแอบแห่งโลกเมโทรเซ็กช่วล เขาก่นด่าชื่อเสียงและความสนใจจากรอบข้าง แต่กลับผันแปรคำด่าเหล่านั้นเป็นอัลบั้มชุดใหม่ “เอมิเน็ม โชว์” ที่แท้จริง คือ การปกปิดพฤติกรรมชอบโชว์และสถานะ “ตัวรับ” ของตนด้วยเสียงดนตรีแร็พอันเย้ายวน ยั่วเสน่ห์

เมโทรเซ็กช่วลในแบบ เดวิด เบคแฮม ผู้ยินดีจะขึ้นปกนิตยสารเกย์และทาเล็บสีชมพู อาจดูวิปริตน้อยกว่า และแสดงถึงความสำเร็จของความเป็นชายรูปแบบใหม่ แต่ข้อเท็จจริงอันน่าประหลาด ก็คือ ขณะที่เมโทรเซ็กช่วลหมกมุ่นอยู่กับการทำตัวเองให้เปี่ยมเสน่ห์ ความฟุ้งเฟ้ออันว่างเปล่ากลับยิ่งทำให้พวกเขายิ่งห่างไกลจากความเซ็กซี่ หรือเสน่ห์มากขึ้นไปอีก

แต่มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะคิดยังไงกับเมโทรเซ็กช่วล เพราะเมโทรเซ็กช่วล คือ แนวโน้มแห่งอนาคต พวกเขากำลังเปิดเผยตัวเองสู่สายตาประชาชนอย่างภาคภูมิใจ และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองโดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เป็นอีแอบอีกต่อไป

หมายเหตุ

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Meet the Metrosexual โดย มาร์ค ซิมป์สัน นักข่าวชาวอังกฤษผู้คิดค้นคำว่า “เมโทรเซ็กช่วล” ขึ้นเมื่อปี 1994 แล้วนำมาเขียนถึงในบทความที่ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ The Independent หากใครสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับผลกระทบของวัฒนธรรมบริโภคนิยมและสื่อมวลชนต่อความเป็นชาย ให้ลองไปหาอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือของซิมป์สันชื่อ Male Impersonators: Men Performing Masculinity

14 ความคิดเห็น:

celinejulie กล่าวว่า...

พูดถึง AMERICAN PSYCHO (2000, MARY HARRON, A-) แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า รู้สึกขำขันกิจกรรมการแต่งหน้าของพระเอกเป็นอย่างมาก ซึ่งตรงข้ามกับดิฉันอย่างสิ้นเชิง เพราะดิฉันไม่ทำอะไรเลยนอกจากใช้น้ำเปล่าล้างหน้าเท่านั้น เป็นอันเสร็จ ไม่มีการทำอะไรกับมันอีกทั้งสิ้น (ยกเว้นแต่ตอนผิวแห้งกร้านลอกเป็นขุยๆ ถึงค่อยยอมแตะครีมนิดหน่อยค่ะ)

Riverdale กล่าวว่า...

ขนาดน้ำเปล่าล้างหน้า ยังใสปิ๊งขนาดนี้ :)

จริงๆ ผมชอบอารมณ์ขันเสียดสีร้ายๆ ของ American Psycho มากๆ แต่จำได้ว่าดูหนังเรื่องนี้แบบไม่มีซับไตเติล เลยอาจจะพลาดรายละเอียดบางส่วนไปบ้าง อยากจะหากลับมาดูใหม่อีกรอบ แต่ยังไม่มีโอกาส อ้อ และผมก็ชอบนางเอกของหนังเรื่องนี้มากๆ ด้วย ใบหน้าเธอดูเศร้าสลดได้อย่างโดนใจจริงๆ (ส่วนพระเอกนั้นไม่ต้องพูดถึง ว่าแล้วก็น้ำลายสอ)

UAN กล่าวว่า...

--เห็นในบทความพูดถึงนิตยสาร FHM และ MAXIM เลยทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ารู้จักกับเกย์แต๋วแตกคนนึงที่ชอบอ่านนิตยสารสองเล่มนี้ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำความรู้จักกับผู้ชายหรืออย่างไร เพราะเขาคงไม่ได้รื่นรมย์ไปกับการชมภาพสาว ๆ ที่อกใหญ่ ๆ ในนิตยสารเป็นแน่ คิดแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

--ความจริงก็อยากใช้น้ำเปล่าล้างหน้าเหมือนกัน แต่ว่ามันติดว่าต้องใช้อะไรมาล้างหน้ามานานแล้ว คงเลิกยาก แต่ก็ใช้ได้อยู่แค่สองยี่ห้อ ถ้าไอ้สองยี่ห้อนี้มันเลิกผลิตที่ล้างหน้าแล้วล่ะก็ คงจะต้องหันมาใช้น้ำเปล่าล้างหน้าเหมือนกันจ้า

Riverdale กล่าวว่า...

วันก่อนเปิดนิตยสาร FHM ดูก็เห็นเซ็ทแฟชั่นกางเกงในช่วงท้ายเล่ม ซึ่งนายแบบหล่อมาก และมันก็เป็นเซ็ทแฟชั่นที่เซ็กซี่มาก ฉะนั้น ใครบอกว่านิตยสารแบบนี้ไม่มีอะไรให้เกย์ดู 5555

อีกอย่าง ผมเองก็ชอบอ่านนิตยสารของผู้ชาย เพราะส่วนใหญ่สินค้ามันก็จะสื่อตรงถึงผู้ชาย เช่น ครีมล้างหน้าสำหรับผู้ชาย เสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ฯลฯ ซึ่งช่วยกระตุ้นวัฒนธรรมบริโภคนิยมของเมโทรเซ็กช่วลได้ดีแท้ ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นเมโทรเซ็กช่วลหรอก แต่เกย์ส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการบริโภค ก็ไม่แปลกที่จะอ่านนิตยสารพวกนี้ เพราะอย่างที่คนเขียนบทความบอกไว้นั่นแหละ นิตยสารพวกนี้เป็น "อีแอบ" แห่งแวดวงเมโทรเซ็กช่วล มันพยายามจะแอ๊บแมน แต่ลึกๆ แล้ว มันคือ เมโทรเซ็กช่วล

UAN กล่าวว่า...

พูดถึงนิตยสารแนว METROSEXUAL เห็นว่าตอนนี้นิตยสาร ARENA (THAILAND) หน้าปก ทอม ครูซ วางแผงเรียบร้อยแล้ว ได้ METROSEXUAL ตัวจริงอย่าง คุณธนพ เอี่ยมอมรพันธ์ มาเป็นบรรณาธิการนิตยสารด้วย ว้าว...วงการนิตยสารผู้ชายไทยมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกแล้ว นี่ก็ได้ข่าวว่า MEN'S HEALTH ได้เปิดตัวในเมืองไทยไปแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่เห็นตัวนิตยสารเลยอ้ะ เข้าใจว่า พี่ celinejulie อาจจะชอบเล่มนี้มากๆ :)

Riverdale กล่าวว่า...

กรี๊ด Men's Health มีเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย อยากอ่านมั่กๆ ต้องรีบไปดูตามแผงซะหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าใครได้ขึ้นปกเปิดตัว

เข้าใจว่าคุณ celinejulie จะชอบ Men's Health ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่มากนัก เพราะภาพถ่ายของนิตยสารฉบับนี้ไม่ถึงพริกถึงขิงเท่าอีกยี่ห้อ ซึ่งผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าชื่ออะไร ยังไงคุณ celinejulie ช่วยเข้ามาแก้ข้อสงสัยให้หน่อยละกันนะครับ :)

UAN กล่าวว่า...

อ่า....

ท่าทางจะเป็น MEN'S WORKOUT แน่ ๆ เลย :)

celinejulie กล่าวว่า...

--ใช่แล้วจ้ะ MEN’S WORKOUT

--ขอแนะนำคุณ BLACK FOREST ให้ใช้ “สบู่กรด” ล้างหน้าค่ะ (ล้อเล่นค่ะ)

Riverdale กล่าวว่า...

ยังตามหา Men's Health เวอร์ชั่นไทยไม่เจอเลย แต่จะพยายามต่อไป :)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ลืมหนังสืออย่าง"ขวัญเรือน"ไปได้ไงอ่า
ผมมีให้ยืมนะคับ เพียบเรยยยยย...

(^_^)

Riverdale กล่าวว่า...

เอ๊ะ ขวัญเรือนเนี่ย กลุ่มเป้าหมายเป็นพวกคุณป้าแบบในเรื่อง "แก๊งชะนีกับอีแอบ" ไม่ใช่เหรอ :)

เพิ่งอ่านข่าวเจอ ฉบับแรกของ Men's Health จะเปิดตัวประมาณเดือนตุลาคมครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ก็นั่นน่ะซิคับ ผมถึว่าเหมาะกะพี่ riverdale ไงก็ไม่รุอ่ะ หุหุ...

litschool-principal กล่าวว่า...

จุ๊จุ๊จุ๊ ทำไมเพิ่งมาอ่านเจอเนี่ย น่าสนใจมากครับ ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆครับ

litschool-principal กล่าวว่า...

จุ๊จุ๊จุ๊ ทำไมเพิ่งมาอ่านเจอเนี่ย น่าสนใจมากครับ ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆครับ