บางทีเสียงที่ ไบรอัน วิลสัน สมาชิกคนสำคัญของวง The Beach Boys ได้ยินในหัวอาจเป็นทั้งเสียงสวรรค์ที่ช่วยให้เขาคิดสร้างสรรค์ผลงานเพลงระดับคลาสสิกขึ้นหิ้ง (แต่มาก่อนกาลเพราะมันไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางด้านพาณิชย์สักเท่าไหร่
แม้ว่าปัจจุบันมันจะเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในฐานะหนึ่งในอัลบั้มที่ทรงอิทธิพลสูงสุดของวงการเพลง)
อย่าง Pet
Sounds และเป็นเหมือนคำสาปให้เขาตกนรกทั้งเป็นในแง่ชีวิตส่วนตัว เพราะความหมกมุ่นในอันที่จะถ่ายทอดเสียงในหัวออกมาทำให้เขาแปลกแยกจากพี่น้องร่วมวง
ภรรยากับลูกๆ จนกระทั่งรวมเลยไปถึงโลกแห่งความเป็นจริง โดยมียาเสพติดเป็นตัวกระตุ้นให้เขายิ่ง “ป่วย” หนักและถอนตัวออกจากสังคม
Love
& Mercy เป็นหนังในแนวทางชีวประวัติคนดังที่แตกต่างจากหนังชีวประวัติทั่วไปแบบที่เราคุ้นเคย
กล่าวคือ หนังไม่ได้แฟลชแบ็คเรื่องราวย้อนไปไกลถึงช่วงวัยเด็กของวิลสัน (แต่คนดูก็สามารถเก็บเกี่ยวเศษเสี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้างผ่านทางสนทนา
หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร) ซ้ำยังสรุปรวบยอดการก้าวขึ้นสู่ความนิยมสูงสุดของ
The Beach Boys เอาไว้ตั้งแต่ในช่วงสิบนาทีแรกอีกด้วย ขณะที่หนังแนวนี้ส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้รูปธรรม “ความสำเร็จ” เป็นไคล์แม็กซ์เพื่อให้คนดูได้เดินออกจากโรงหนังด้วยอารมณ์อิ่มเอิบใจ แต่เนื่องจาก Love & Mercy ดูจะให้ความสนใจกับการพาคนดูไปรู้จัก
ไบรอัน วิลสัน ในแนวลึกและรอบด้านมากกว่าพาคนดูไปรู้จัก The
Beach Boys ในแนวกว้าง สมาชิกร่วมวงคนอื่นๆ
รวมถึงความสำเร็จของวงจึงกลายเป็นแค่ส่วนประกอบรอบนอก
นอกจากนี้
แทนการไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ไปตามช่วงเวลา
หนังกลับเลือกจะตัดสลับไปมาระหว่างช่วงเวลาของไบรอันในวัยหนุ่ม (พอล ดาโน) ขณะเขาสร้างสรรค์ผลงานมาสเตอร์พีซอย่างอัลบั้มเพลง Pet
Sounds และซิงเกิลเพลง Good Vibrations กับไบรอันในวัยกลางคน (จอห์น คูแซ็ค) ขณะเขาใช้ชีวิตโดดเดี่ยว แปลกแยกจากครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย
ท่ามกลางการควบคุม/คุกคามอย่างใกล้ชิดของจิตแพทย์ ดร.ยูจีน แลนดี (พอล จิอาแม็ตติ) จนกระทั่งเขาได้พบกับ เมลินดา เลดเบตเตอร์ (อลิซาเบธ แบงค์ส) เซลขายรถสาวสวยที่ช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมเงาบงการของแลนดี
และแต่งงานอยู่กินกับเขามาจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้หนังจะเชื่อมโยงเรื่องราวในสองส่วนเข้าด้วยกันได้อย่างราบรื่น
กลมกลืน
แต่น่าสังเกตว่าเรื่องราวในสองช่วงเวลาดังกล่าวแทบจะดำเนินไปในทิศทางที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
โดยช่วงวัยหนุ่ม(ฉากหลังคือทศวรรษ 1960) หนังโฟกัสไปยังขบวนการสร้างสรรค์
ตลอดจนอัจฉริยภาพของวิลสันที่จะพัฒนาแนวทางสนุกสนานของดนตรีโต้คลื่นชายหาดแบบที่สร้างชื่อให้กับ The
Beach Boys ไปสู่ผลงานทดลองที่แปลกใหม่ ซับซ้อนขึ้น และท้าทายประเพณีเดิมๆ หลังต้องเผชิญกระแสการแข่งขันจากวงดนตรีหัวก้าวหน้าอย่าง The
Beatles ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไบรอันกับภรรยาคนแรก มาริลีน (อีริน
ดาร์ค) และลูกสาวสองคนกลับถูกกล่าวถึงเพียงผ่านๆ
ความขัดแย้งหลักในเรื่องราวช่วงนี้
คือ แนวทางดนตรีของไบรอันดูจะไม่สอดคล้องกับแนวคิดของเพื่อนร่วมวงสักเท่าไหร่
โดยเฉพาะ ไมค์ เลิฟ (เจค เอเบล) ซึ่งปรารถนาจะให้ The
Beach Boys กลับไปทำดนตรีแบบที่เคยสร้างชื่อเสียงให้พวกเขาในอดีต
พร้อมกันนั้นเขายังรู้สึกอีกด้วยว่าผลงานเพลงที่ออกมามีบุคลิกของ ไบรอัน วิลสัน
มากกว่า The Beach Boys จนแทบจะเป็นอัลบั้มเดี่ยวของไบรอันก็ว่าได้
และยอดขายที่ตกต่ำของ Pet Sounds ก็เป็นเหตุผลเดียวที่เลิฟนำมาใช้ฟาดฟันกับไบรอัน
ผู้ตระหนักดีว่าเพลงชายหาดแบบ I Get Around นั้นผ่านพ้นยุคสมัยไปแล้ว ที่สำคัญมันไม่ใช่ “ตัวตน” ของเขาอีกต่อไป (“เราไม่ใช่นักโต้คลื่น
และพวกนักโต้คลื่นก็ไม่ฟังเพลงของเรา”) เพราะเช่นเดียวกับ
The Beatles เขาปรารถนาจะให้ดนตรีและเนื้อหาในผลงานค่อยๆ เติบโต มีความเป็นผู้ใหญ่ไปพร้อมกับเขา
ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่เพียงเพราะยึดติดกับความสำเร็จในอดีต
ความหมกมุ่นกับโลกส่วนตัวและเสียงในหัวของไบรอันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเขาปฏิเสธไม่ยอมไปร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับสมาชิกคนอื่นๆ
ในวงเพื่อจะได้มีเวลาแต่งเพลงชุดใหม่ตามลำพัง โดยหนึ่งในไฮไลท์ของหนัง คือ
ฉากที่ไบรอันขนทีมนักดนตรีมายังห้องสตูดิโอเพื่อสร้างสรรค์อัลบั้ม Pet Sounds การได้เห็นเขาอธิบายโน้ตเพลง
ปรับแต่งคีย์เปียโน และเรียบเรียงแต่ละสรรพเสียงให้กลายเป็นท่วงทำนอง
ซึ่งฟังดูเรียบง่าย จับใจ แต่แฝงไว้ด้วยความซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ เปรียบได้กับการเข้าไปสัมผัสขบวนการทำงานของศิลปินในระยะประชิด
ณ ช่วงขณะที่เขามีอิสระและความมั่นใจเต็มเปี่ยม
แต่ไม่นานความสงบของคลื่นลมมรสุมก็ค่อยๆ
เลือนหายไป เมื่อไบรอันเริ่มสูญเสียการควบคุม แล้วค่อยๆ ถอยร่นเข้าหายาเสพติดและป้อมปราการที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้
หนังส่วนนี้จบลงเมื่อสภาพจิตใจของไบรอันหลุดออกจากวงโคจรแห่งโลกความเป็นจริง
แล้วเริ่มล่องลอยไปสู่ดินแดนอันไกลโพ้น
ในทางตรงกันข้ามช่วงชีวิตวัยกลางคน (ฉากหลังคือทศวรรษ 1980) ของไบรอันเน้นย้ำไปยังความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเขากับเมลินดา ณ
ช่วงเวลาที่เขาเพิ่งหลุดพ้นจากเหล้า ยาเสพติด
และภาวะทำร้ายตัวเองด้วยการกินทุกอย่างที่ขวางหน้าจนน้ำหนักขึ้นพรวดๆ
แล้วขังตัวเองอยู่แต่ในห้องนอน แต่ไม่มีความสามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงานใดๆ
ให้เป็นชิ้นเป็นอันได้เนื่องจากฤทธิ์ยาสารพัดชนิดซึ่งแลนดีใช้สำหรับจองจำไบรอัน (เขาวินิจฉัยอย่างผิดๆ ว่าไบรอันป่วยเป็นโรคจิตเภทประเภทหวาดระแวง) หนังในช่วงนี้จึงโฟกัสไปยังการพยายามก้าวออกจากโลกส่วนตัวของไบรอัน
พร้อมทั้งยื่นมือมาขอความช่วยเหลือและมิตรไมตรีจากเซลขายรถสาว
ซึ่งตอบรับท่าทีดังกล่าวด้วยความลังเล เพราะเมื่อได้พูดคุยกับ ไบรอัน วิลสัน
เพียงแค่ไม่กี่นาที เมลินดาก็พลันตระหนักในทันทีว่าเขาผิดปกติจากผู้ชายทั่วไป ด้วยคำพูด
วิธีการพูด และภาษาท่าทาง อาจไม่ใช่ในลักษณะที่คุกคาม หรือน่าหวาดหวั่น
แต่เกือบจะใกล้เคียงกับส่วนผสมระหว่างทหารผ่านศึกสงครามที่เต็มไปด้วยปมปัญหาทางจิตกับเด็กชายไร้เดียงสา
เขาเล่าถึงประสบการณ์เลวร้ายจากการถูกพ่อลงไม้ลงมือเป็นประจำจนหูดับไปข้างหนึ่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ที่สำคัญ
เขายังเชื่ออีกด้วยว่าการใช้กำลังดังกล่าวช่วยผลักดันให้เขาพยายามมากขึ้น
เพื่อจะได้สร้างสรรค์ผลงานชั้นยอดออกมา ฉากที่สะท้อนความรู้สึกทั้งรักทั้งชังระหว่างสองพ่อลูกได้ชัดเจนที่สุดเป็นตอนที่ไบรอันแต่งเพลง
God
Only Knows และขอความเห็นจากพ่อของเขา (บิล
แคมป์) ซึ่งยังเจ็บแค้นไม่หายที่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการวง
และไม่รีรอที่จะขัดขาความกระตือรือร้น
หรือความภาคภูมิใจของลูกชายทุกครั้งที่มีโอกาส ขณะที่ฝ่ายหลังเอง
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากมายแค่ไหน ลึกๆ
แล้วก็ยังคงโหยหาความเห็นชอบจากฝ่ายแรกอยู่ดี ถึงกระนั้นหนังไม่ได้ตั้งใจที่จะลงลึกในแง่จิตวิทยา
แต่เป็นการพาคนดูไปสัมผัสเบื้องหลังศิลปินทั้งด้านผลงาน (ช่วงวัยหนุ่ม)
และชีวิตส่วนตัว (ช่วงวัยกลางคน) เสียมากกว่า
อาจกล่าวได้ว่า God Only Knows เพลงสุดคลาสสิกที่ไบรอันใช้เวลาแต่งแค่ 7 นาที และได้รับยกย่องจาก พอล แม็คคาร์ทนีย์
ให้เป็นเพลงรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ เพลงที่สามารถนิยามตัวตนของ ไบรอัน วิลสัน
ได้อย่างชัดเจน ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าสำหรับมาตรฐานในยุค 1960s เพลงนี้เต็มไปด้วยความ“เสี่ยง” และการท้าทายประเพณีดั้งเดิมมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการใส่คำว่าพระเจ้าลงไปในเนื้อเพลง การเริ่มต้น “เพลงรัก” ด้วยประโยค “ฉันอาจไม่สามารถรักเธอไปชั่วนิรันดร์” การใช้เครื่องดนตรีผ่าเหล่าผ่ากอ (สำหรับเพลงป๊อป/ร็อคแอนด์โรล) อย่างเฟรนช์ฮอร์น
แอคคอร์เดียน วิโอลา และเชลโล ตลอดจนการเลือกใช้คอร์ดที่ซับซ้อน แปลกใหม่
แต่ในเวลาเดียวกันเนื้อเพลงกลับค่อนข้างเรียบง่าย จริงใจ ตรงไปตรงมา
เป็นคำอ้อนวอนขอความรัก พร้อมกับปล่อยตัวปล่อยใจไปกับพลังของความรัก
ซึ่งไม่อาจต้านทาน และไม่อาจอยู่โดยปราศจากมันได้ ถึงแม้ในเวลาเดียวกันก็ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าความรักนั้นจะคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่
ไบรอัน
วิลสัน ก็ไม่ต่างจากเพลง God Only Knows เพราะเมื่อมองจากภายนอกเขาเป็นเหมือนความซับซ้อน ความท้าทาย และความเสี่ยง
แต่เหล่านั้นกลับเป็นเพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มความเปราะบาง อ่อนไหว และภาวะพึ่งพิง
ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายใน (ท่อนฮุกของเนื้อเพลงร้องว่า “ฉันอยู่ได้ยังไงโดยไม่มีเธอ”) เขาอาจเป็นศิลปินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์
แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นมนุษย์ผู้อ่อนแอ ซึ่งโหยหาการยอมรับ และหลักยึดเหนี่ยว
โดยสองปีหลังจากเขาสูญเสียพ่อไปในปี 1973 ไบรอันก็เริ่มขลุกตัวอยู่ตามลำพังจนบรรดาญาติพี่น้องต้องขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์
เขากระโจนจากเงื้อมเงาของพ่อมาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลดำมืดของแลนดี ไร้เรี่ยวแรง
ทั้งทางด้านจิตใจและกฎหมาย (แลนดีได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีอำนาจส่งตัวเขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโรคจิต)
ที่จะดิ้นรนไปสู่อิสรภาพ จนกระทั่งเขาได้พบกับเมลินดา
อันที่จริงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างไบรอันกับเมลินดาสามารถบิดผันให้กลายเป็นความรักสุดแสนโรแมนติกได้ไม่ยากในสไตล์โฉมงามกับเจ้าชายอสูร
แต่เนื่องจากบทหนังเน้นย้ำเหตุการณ์ผ่านมุมมองของเมลินดา (เธอเปรียบเสมือนตัวแทนของคนดู)
พร้อมทั้งให้น้ำหนักกับ “การช่วยเหลือ”
มากกว่า “การเติมเต็ม” อารมณ์อิ่มเอมที่คนดูได้รับในช่วงท้ายจึงหาได้เกิดจากการที่สุดท้ายทั้งสองสามารถเอาชนะอุปสรรคขวากหนาม
แล้วลงเอยด้วยกันอย่างมีความสุข หากแต่เกิดจากการค้นพบอิสรภาพของไบรอัน
ซึ่งได้มาด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจอย่างไม่ย่อท้อของเมลินดา
โดยในฉากหนึ่งเธอสารภาพว่าเธอไม่ได้ต้องการขจัดแลนดีให้พ้นไปจากชีวิตของไบรอันเพียงเพื่อจะเธอได้มีโอกาสคบหากับไบรอันต่อไป
แต่เป็นเพราะเธอไม่อาจทนเห็นไบรอันในสภาพนี้ได้ เขาไม่สมควรจะได้รับการดูแลอย่างไร้จรรยาบรรณและมนุษยธรรมเยี่ยงนี้
สุดท้ายแล้ว เช่นเดียวกับเนื้อหาของเพลง Love & Mercy ซึ่งถูกนำมาใช้สำหรับช่วงเครดิตท้ายเรื่อง
ความรักที่ได้รับการเชิดชู เฉลิมฉลอง หาใช่ความรักโรแมนติกระหว่างหนุ่มสาว หากแต่เป็นความรักและความกรุณาปรานีระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ซึ่งไม่เพียงจะช่วยลดทอนความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเท่านั้น
แต่มันเปรียบได้กับหยาดฝน ซึ่งจะช่วยมอบความชุ่มฉ่ำให้กับโลกทั้งใบได้อีกด้วย
1 ความคิดเห็น:
สวัสดีฉัน aM clinton nancy หลังจากที่ได้มีความสัมพันธ์กับแอนเดอร์สันมานานหลายปีแล้วเขาเลิกกับฉันฉันทำทุกอย่างเพื่อให้เขากลับมาได้ แต่ทั้งหมดก็ไร้ผลฉันต้องการให้เขากลับมามากเพราะความรักที่ฉันมีต่อเขา, ฉันขอร้องเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างฉันทำสัญญา แต่เขาปฏิเสธ ฉันอธิบายปัญหาของฉันกับเพื่อนของฉันและเธอบอกว่าฉันควรจะติดต่อล้อสะกดที่สามารถช่วยฉันโยนคาถาเพื่อนำเขากลับมา แต่ฉันเป็นประเภทที่ไม่เคยเชื่อในการสะกดฉันไม่มีทางเลือกกว่าที่จะลองฉัน ส่งคาถลลวงและเขาบอกผมว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนสามวันที่อดีตของฉันจะกลับมาหาฉันก่อนสามวันเขาได้ให้การสะกดและในวันที่สองก็แปลกใจคือประมาณ 4 โมงเย็น อดีตของฉันเรียกฉันว่าฉันประหลาดใจมากฉันตอบสายและสิ่งที่เขาพูดก็คือเขาเสียใจมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการให้ฉันกลับไปเขาว่าเขารักฉันมาก ฉันมีความสุขมาก ๆ และไปหาเขานั่นคือสิ่งที่เราเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันได้สัญญาว่าใครที่ฉันรู้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันก็จะช่วยคนดังกล่าวโดยการแนะนำให้เขาเป็นครูผู้ชำเถียงในการสะกดเฉพาะที่แท้จริงและทรงพลังที่ช่วยฉันด้วยปัญหาของตัวเอง อีเมล์: drogunduspellcaster@gmail.com คุณสามารถส่งอีเมลถึงเขาได้หากคุณต้องการความช่วยเหลือในความสัมพันธ์หรือกรณีอื่น ๆ
1) รักคาถา
2) Lost Love Spells
3) การหย่าร้าง
4) เวทมนตร์สมรส
5) มัดสะกด
6) คาถา Breakup
7) ขับไล่คนที่ผ่านมา
8. ) คุณต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่งในการสะกดของสำนักงาน / สลากกินแบ่งของคุณ
9) ต้องการที่จะตอบสนองความรักของคุณ
ติดต่อคนที่ยิ่งใหญ่นี้หากคุณมีปัญหาใด ๆ สำหรับโซลูชันที่ยั่งยืน
ผ่าน DR ODOGBO34@GMAIL.COM
แสดงความคิดเห็น