หลังจากเสียเวลาหลายปีให้หนังภาคต่อที่เข้าขั้นล้มเหลวในเชิงคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์เมื่อเทียบกับมาตรฐานดั้งเดิมอันสูงลิ่วของบริษัท
(แต่น่าจะทำกำไรจำนวนมหาศาลในแง่การขายสินค้าจำพวกตุ๊กตุ่นตุ๊กตาและแบบจำลอง) อย่าง Cars 2 และ Monsters University รวมไปถึงหนังที่ให้อารมณ์ “ยุคเก่า” แม้จะสอดแทรกความร่วมสมัยแห่งสตรีนิยมเอาไว้พอประมาณเพื่อไม่ให้มันดูหัวโบราณจนเกินไปอย่าง
Brave ในที่สุดค่ายพิกซาร์ก็หันกลับมาทำในสิ่งที่พวกเขาถนัดอีกครั้ง
นั่นคือ แอนิมิชั่นซึ่งนำเสนอไอเดียน่าสนใจ แง่มุมทางเนื้อหาที่ลึกซึ้งพอจะทำให้ผู้ใหญ่เอ็นจอยได้มากพอๆ
กับลูกๆ ของพวกเขา และจินตนาการอันน่าตื่นตา ภายใต้แพ็คเกจที่ดูสดใหม่
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แปลกประหลาด หรือมืดหม่นเกินกว่าตลาดวงกว้างจะรับได้
ไอเดียเบื้องต้นของ
Inside
Out คือ สร้างภาพรูปธรรมให้กับสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างอารมณ์ความรู้สึก
ด้วยการวาดภาพว่าในหัวสมองเรามีห้องควบคุมพร้อมแผงวงจรและจอภาพ
ซึ่งถ่ายทอดเหตุการณ์ผ่านสายตาของบุคคลนั้น ส่วนคนทำงานแต่ละคนก็จะเป็นตัวแทนของอารมณ์แต่ละรูปแบบ
เช่น สุข เศร้า กลัว โกรธ ซึ่งต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันควบคุมแผงวงจรดังกล่าวตามแต่สถานการณ์จะพาไป
และแน่นอนพวกมันย่อมมีสัญลักษณ์เป็นสีสันที่สอดคล้องกับบุคลิกของตัวเองด้วย เช่น
ความเศร้าก็จะตัวสีฟ้า ส่วนความโกรธก็จะตัวสีแดง มองในมุมหนึ่งมันเปรียบได้กับความพยายามจะอธิบาย
แยกย่อยภาพแอบสแตรกออกเป็นสูตรสมการหนึ่ง-สอง-สาม หรือลดมิติซับซ้อนเชิงลึกให้กลายเป็นรูปธรรมสองมิติแบบเดียวกับฉากหนึ่งในหนังเมื่อ
บิงบอง (ริชาร์ด ไคนด์) พา จอย (เอมี โพห์เลอร์) กับ แซดเนส (ฟิลลิส สมิธ) เดินทะลุทางลัดเพื่อไปยังดินแดนแห่งจินตนาการ
แล้วกลายสภาพจากตัวการ์ตูนสามมิติเป็นรูปทรงเรขาคณิตสองมิติที่แบนราบ โดยคำถามซึ่งอาจผุดขึ้นขณะนั่งดูหนัง
คือ เราสามารถแบ่งอารมณ์ได้ชัดเจนขนาดนั้นหรือ เพราะในเมื่อบางครั้งกระทั่งตัวเราเองยังไม่แน่ใจว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
แต่อย่างว่านั่นคงไม่ถือเป็นจุดบกพร่องเมื่อพิจารณาว่าหนังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นความบันเทิงสำหรับ
“ทุกคนในครอบครัว” เรียกได้ว่าเป็นวิชาจิตวิทยาขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กปีหนึ่ง
ซึ่งสัมผัสผ่านประเด็นในระดับผิวเผิน
หนังเล่าเรื่องสองส่วนควบคู่กันไป
แต่สีสันและการผจญภัยหลักอยู่ที่ห้องควบคุมในหัวของไรลีย์ (แคธลีน
ดิแอส) ซึ่งมีจอยเป็นบอสใหญ่ เนื่องจากไรลีย์เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น
และแน่นอนเธอยังเด็ก ยังไร้เดียงสา ยังไม่ต้องผจญกับความจริงของโลก หรือความรับผิดชอบต่างๆ
นานา จึงไม่แปลกที่ความสุขดูจะเป็นแก่นหลักของชีวิตในช่วงนี้ (แต่ถ้าเราสามารถมองเข้าไปในหัวตัวละครเอกในหนังอย่าง We Need to
Talk About Kevin บางทีจอยอาจจะกลายเป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่สลักสำคัญแม้แต่น้อย
ดังจะสังเกตความแตกต่างเมื่อหนังตัดภาพไปยัง “ทีมงาน” ในหัวพ่อ (ไคล์ แม็คลาคแลน) กับแม่ (ไดแอน เลน) ไรลีย์
ซึ่งคนดูจะเห็นแองเกอร์เป็นบอสใหญ่ในกรณีแรก และแซดเนสเป็นบอสใหญ่ในกรณีหลัง) กระนั้นทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อไรลีย์ต้องประสบ “วิกฤติ” ครั้งแรกหลังครอบครัวเธอตัดสินใจย้ายรกรากจากเมืองบ้านนอกในมินเนโซตา
มาตั้งถิ่นฐานในเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโกขณะที่ไรลีย์อายุได้ 11 ปี
บ้านที่ปราศจากบริเวณ
พ่อที่ต้องวุ่นวายกับงานใหม่ รถขนของที่ยังมาไม่ถึง ฮ็อกกี้น้ำแข็งที่ไม่ได้เล่นกลางแจ้ง
แต่กลับเล่นกันในสเตเดียมทึมทึบ การต้องปรับตัวภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
เพื่อนฝูงที่ห่างหาย เหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ความสุขของไรลีย์หล่นหาย
แล้วผันแปรเป็นความโกรธ ความคับแค้นใจ ซึ่งสะท้อนผ่านความโกลาหลในหัวของไรลีย์
เมื่อจอยกับแซดเนสถูกดูดผ่านท่อไปยังคลังเก็บความทรงจำ
และต้องพยายามค้นหาหนทางกลับไปยังศูนย์ควบคุม
โดยในระหว่างนี้ไรลีย์จึงถูกชี้นำโดยเฟียร์ (บิล เฮดเดอร์) แองเกอร์ (ลูอิส แบล็ค) และดิสกัสต์ (มินดี้ คาลิง) เป็นหลัก ซึ่งดูจะเป็นอารมณ์พื้นฐานสำหรับเหล่าวัยเด็กผู้กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่วัยรุ่น
เช่นเดียวกับพัฒนาการทางด้านจิตวิทยาของผู้คนส่วนใหญ่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวัง
การสูญเสีย หรือข่าวร้ายทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการตายจากของสมาชิกในครอบครัว คนรัก
หรือการรับทราบว่าตัวเองกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ปัญหาทางอารมณ์ทั้งหลายของไรลีย์ล้วนมีรากฐานมาจากความพยายามจะกดทับความเศร้า
ไม่ยอมรับความสูญเสีย หรือความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิเสธความจริง
ความรู้สึกด้านชาเหมือนโลกทั้งใบไม่มีความหมายอีกต่อไป
ผสานเข้ากับความโกรธในชะตากรรม รวมไปถึงบุคคลรอบข้าง เช่น โกรธพ่อกับแม่ที่ทำให้เธอต้องสูญเสียเพื่อน
แล้วลงเอยด้วยความพยายามจะหนีออกจากบ้านเพื่อกลับไปยังจุดเริ่มต้น
ราวกับต้องการจะหมุนย้อนเวลากลับสู่อดีต สู่ความรู้สึกคุ้นเคยก่อนหน้าจะเกิดวิกฤติ
ในหนังคนดูจะเห็นว่าจอยมักพยายามควบคุมแซดเนสไม่ให้จับต้องลูกแก้วความทรงจำทั้งหลายเพื่อปกป้องไรลีย์จากความทุกข์
ความโศก โดยในฉากหนึ่งเธอถึงขั้นขีดเส้นล้อมรอบแซดเนสเอาไว้แล้วบอกไม่ให้เธอออกนอกบริเวณดังกล่าว
มันเปรียบได้กับสัญลักษณ์ของการเก็บกด ซึ่งแน่นอนย่อมไม่ส่งผลดีในระยะยาวดังที่จอยจะตระหนักในท้ายที่สุดว่า
แซดเนสก็มีความจำเป็นต่อไรลีย์ไม่แพ้ตัวเธอเอง เพราะความเศร้าถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์สำคัญของมนุษย์
ถึงแม้คุณจะพยายามปกป้องตัวเอง ลูกน้อยบรรดาคนที่คุณรัก หรือพยายามหลอกตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ถ้าคุณไม่เปิดใจที่จะยอมรับความเศร้า จิตใจคุณก็ไม่ค้นพบกับความสุขสงบอย่างแท้จริง
ขณะที่จอยดูจะหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง
อยู่กับความพยายามจะปกป้องไรลีย์จากความทุกข์ทั้งหลาย
แซดเนสกลับเป็นคนที่รู้เส้นทาง รายละเอียดทุกซอกทุกมุมในหัวของไรลีย์ และเมื่อบิงบองหดหู่กับความสำคัญของตนที่ลดน้อยถอยลงอย่างต่อเนื่องในชีวิตของไรลีย์
แซดเนสคือคนที่สามารถปลุกปลอบเขาด้วยการรับฟังและเห็นอกเห็นใจ
ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลกว่าความพยายามจะ “เชียร์อัพ”
ของจอยให้บิงบองร่าเริงด้วยการจักจี้บ้าง แลบลิ้นปลิ้นตาบ้าง ราวกับว่ารอยยิ้ม
ตลอดจนเสียงหัวเราะจะสามารถแก้ทุกปัญหาได้โดยปราศจากการยอมรับข้อเท็จจริงอันเจ็บปวดในชีวิต
ด้วยเหตุนี้ในฉากสุดท้าย
จอยจึงเรียนรู้ที่จะปล่อยให้แซดเนสได้ขับเคลื่อนแผงควบคุม
แล้วเปลี่ยนความทรงจำสีทองแสนสุขที่มินเนโซตาให้กลายเป็นอดีตหอมหวานสีฟ้าหม่นเศร้าด้วยการตระหนักในความจริงว่าคุณไม่อาจเรียกวันคืนเหล่านั้นกลับมาได้อีกต่อไป
และเมื่อใดก็ตามที่คุณเรียนรู้ที่จะยอมรับข้อเท็จจริงได้โดยไม่พยายามซุกซ่อนอารมณ์ไว้ใต้พรม
หรือเคลือบฉาบด้วยรอยยิ้ม หรือความสุขจอมปลอม
เมื่อนั้นคุณก็พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้ากับเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต
เช่นเดียวกับไรลีย์ที่สามารถปลดปล่อยน้ำตาแห่งความอัดอั้นออกมาในท้ายที่สุด
Inside
Out ผนวกความสนุกสนานแห่งจินตนาการ เช่น การแปลงนิยาม “โรงงานผลิตฝัน” ของฮอลลีวู้ดให้กลายเป็นรูปธรรม
หรือการดำดิ่งเข้าไปสู่จิตใต้สำนึก ซึ่งคุมขัง “ตัวสร้างปัญหา”
ทั้งหลาย เข้ากับความเจ็บปวดของการเติบใหญ่ได้อย่างลงตัว
แม้ว่าในความพยายามจะเป็นความบันเทิงสำหรับทุกคนในครอบครัวส่งผลให้หนังโน้มเอียงไปยังทิศทางแรกมากกว่าทิศทางหลังสักเล็กน้อยก็ตาม
แก๊กตลกหลากหลายถูกโยนใส่คนดูแบบไม่ยั้ง ซึ่งหลายครั้งก็ดูจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อเอาใจผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก
เช่น มุกล้อเลียนประโยคสุดคลาสสิกจาก Chinatown แต่ในเวลาเดียวกันหนังก็ไม่หลงลืมที่จะสะท้อนความหม่นเศร้าของการเปลี่ยนผ่านช่วงวัย
เมื่อหนูน้อยขี้เล่น เฟอะฟะ เติบโตเกินกว่าจะเล่นมุกปัญญาอ่อนเดิมๆ กับพ่อของเธอ
เมื่อความจริงของโลกแห่งผู้ใหญ่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามามีบทบาท
แล้วขัดกร่อนความไร้เดียงสาให้เริ่มเลือนลาง ซึ่งประเด็นดังกล่าวน่าจะจับใจกลุ่มคนดูผู้ใหญ่ที่ล้วนเคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
หนึ่งในความชาญฉลาดของหนัง
คือ การนำเสนอธรรมชาติอันผันผวน สุ่มเดา และยากจะคาดคิดของความทรงจำผ่านแง่มุมที่ทั้งเปี่ยมอารมณ์ขัน
เช่น ฉากทีมงานเดินสำรวจไปตามชั้นเก็บลูกแก้วแล้วสูบความทรงจำที่เริ่มเลือนลาง
หรือไม่จำเป็นทิ้งลงหลุมขยะ (เบอร์โทรศัพท์ รายชื่อประธานาธิบดีสหรัฐ
บทเรียนเปียโน) และอารมณ์สะเทือนใจจากชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับบิงบอง
“ความทรงจำไหนที่ไรลีย์ไม่แคร์ มันก็จะจางหายไป” ป้าแม่บ้านอธิบายขั้นตอนการคัดสรรของเธอให้จอยฟัง นั่นอาจไม่ใช่คำนิยามธรรมชาติการทำงานของสมองที่แม่นยำเสียทีเดียว
เพราะบางครั้งสมองก็ขับเคลื่อนโดยปราศจากเหตุผล เป็นเหตุให้อะไรที่ควรจำกลับลืม
อะไรที่ควรลืมกลับจำ เช่น คนส่วนใหญ่น่าจะ “แคร์” บทเรียนเปียโนมากกว่าเพลงโฆษณาหมากฝรั่งไร้สาระ
แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดยั้งให้อย่างแรกค่อยๆ เลือนหายไป (หากคุณไม่ได้เติบโตมาเป็นนักดนตรี
หรือหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง) ขณะที่อย่างหลังกลับแจ่มชัด
และจู่ๆ ก็แวบเข้ามาสร้างความรำคาญในหัวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ในทางตรงกันข้าม
บุคคลที่ไรลีย์แคร์และเคยมีความสำคัญอย่างสูงต่อชีวิตของเธอจนแทบจะรองจากพ่อกับแม่เลยก็ว่าได้อย่างบิงบองกลับต้องลงเอยด้วยการติดแหง็กอยู่ในหลุมขยะแห่งความทรงจำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อเธอเติบใหญ่ ได้คบหา สร้างสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆ
จนไม่จำเป็นต้องอาศัยเพื่อนในจินตนาการอีกต่อไป มันไม่สำคัญว่าเราจะแคร์
หรือไม่แคร์ใครหรือสิ่งใดมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้วกาลเวลาจะทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง
ทั้งในแง่เยียวยาความเจ็บปวด ความผิดหวัง และลบเลือนคืนวันอันสนุกสนาน
เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
เหมือนที่เราสามารถจินตนาการต่อไปได้ไม่ยากว่าเหล่าผองเพื่อนของไรลีย์ที่มินเนโซตา
ซึ่งเคยมีความสำคัญอย่างยิ่งถึงขนาดที่เธอคิดจะหนีกลับไปหา สุดท้ายก็จะค่อยๆ
เลือนหายไปจากความทรงจำเช่นกัน เมื่อเธอเติบใหญ่
ได้คบหากับเพื่อนใหม่ในซานฟรานซิสโก...
มันเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราจะได้พานพบผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย
แต่สุดท้ายแล้วกลับมีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ
ซึ่งบางครั้งเราเองไม่มีสิทธิ์จะเป็นผู้เลือกเสียด้วยซ้ำ
1 ความคิดเห็น:
อ่านสนุกมาก ขอบคุณคะ
แสดงความคิดเห็น