“พวกมันเป็นแค่สัญลักษณ์” อีดิธ (มีอา วาซิโควสกา) อธิบายการปรากฏตัวขึ้นของผีในนิยายที่เธอแต่ง
ซึ่งหากมองในแง่หนึ่งคำพูดดังกล่าวสามารถนำมาใช้อธิบายหนังเรื่อง Crimson
Peak ได้เช่นกัน แม้ว่าผู้กำกับ กิลเลอร์โม เดล โทโร
จะวาดภาพผีเป็นรูปธรรมชัดเจนก็ตาม กล่าวคือ
ผีในหนังเรื่องนี้หาใช่ตัวละครหลักที่ผลักดันเรื่องราว หรือน่าหวาดกลัว มีพลังในการทำร้าย
หลอกหลอนตัวละครเหมือนหนังผีทั่วไป ตรงกันข้าม ผีในหนังเรื่องนี้สามารถทำได้เพียงเตือนภัยมนุษย์
ชี้ทางเบาะแส แต่ไม่อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพใดๆ ได้ พวกมันเป็นเหมือนจิตวิญญาณที่ล่องลอย
อีกทั้งหลอกล่อคนดูให้เบี่ยงเบนจากความน่ากลัวที่แท้จริง
ไม่ต้องสงสัยว่า
Crimson
Peak ได้อิทธิพลมาไม่น้อยจากนิยายแนวกอธิค ซึ่งได้รับความนิยมในช่วงปลายศตวรรษที่
19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ฉะนั้นจึงไม่แปลกหากคนดูจะรู้สึกคุ้นเคย
หรือคาดเดาความเป็นไปของเหตุการณ์ได้ โดยตัวโครงเรื่องหลักค่อนข้างคล้ายคลึงกับ Rebecca
ของ ดาฟเน ดู โมริเยร์ เกี่ยวกับหญิงสาวไร้เดียงสาที่ตกหลุมรักชายหนุ่มรูปงาม
ฐานะดี ย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โต แต่เต็มไปด้วยบรรยากาศชวนหลอกหลอน ก่อนสุดท้ายจะค้นพบความลับดำมืดเกี่ยวกับอดีตภรรยาของเขา
ปริศนาความตาย และแม่บ้านที่สติสตังดูเหมือนจะหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง นิยายกอธิคมักผสมผสานอารมณ์โรแมนติกยังแก่นหลัก
แล้วเคลือบแฝงความลึกลับ ชวนสะพรึงไว้ที่เปลือกนอก อีกหนึ่งในตัวอย่างอันโดดเด่น
คือ Jane Eyre ของ ชาร์ล็อตต์ บรอนเต้
เล่าถึงชีวิตของหญิงสาวกำพร้าซึ่งแต่งงานกับชายหนุ่ม ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โต
ก่อนจะค้นพบว่าเขาแอบซุกซ่อนภรรยาตัวจริงที่เสียสติเอาไว้ในคฤหาสน์แห่งนั้น
จุดร่วมสำคัญของนิยายเหล่านี้
ได้แก่ คฤหาสน์ชวนสะพรึง อดีตอันลึกลับดำมืด หญิงสาวที่ตกอยู่ในอันตราย
ความวิปริตทางจิต และรักโรแมนติก ซึ่งทั้งหมดล้วนปรากฏให้เห็นแบบครบถ้วนใน Crimson Peak แต่ผู้กำกับ/ร่วมเขียนบทอย่างเดล
โทโรฉลาดพอที่จะสอดแทรกการหักมุมบางอย่างเพื่อเพิ่มสีสัน หรืออารมณ์ร่วมสมัย ทำให้ของเก่าไม่ดูจืดชืด
ล้าสมัยจนเกินไป เช่น การให้ฝ่ายหญิงกำไพ่เหนือกว่าทางด้านการเงิน โธมัส ชาร์ป (ทอม ฮิดเดิลสตัน) อาจเป็นเจ้าขุนมูลนาย แต่ก็กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอย่างหนัก
และต้องบากหน้าเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาแหล่งทุนมาสานต่อความฝันในการทำเหมืองให้สำเร็จลุล่วง
ส่วนอีดิธก็ไม่ใช่หญิงสาวฐานะยากจน หรือไร้ตัวตน (แม้ในเวลาต่อมาเธอจะต้องกำพร้าพ่อแม่แบบเดียวกับ
เจน แอร์ ก็ตาม) แต่เป็นลูกสาวคนโปรดของ “เศรษฐีใหม่” ในเมืองบัฟฟาโล เธอหน้าตาสะสวย
เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นคือคุณหมอหนุ่มหล่ออย่าง ดร.อลัน
แม็คไมเคิล (ชาร์ลี ฮันแนม) เธอค่อนข้างมีหน้ามีตาอยู่ในสังคม
ไม่ใช่หญิงสาวฐานะต่ำต้อยแบบในนิยายกอธิคส่วนใหญ่
การพลิกบทบาทดังกล่าวช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ตัวละครเพศหญิง พร้อมกับการลดทอนสถานะเหนือกว่าของเพศชายซึ่งถูกพ่อของอีดิธ
(จิม บีเวอร์) มองอย่างตั้งแง่ว่าเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
เป็นลูกคุณหนูที่ไม่รู้จักการทำงานหนัก
แล้วผลาญเงินผู้ดีเก่าจนหมดไปกับความฟุ้งเฟ้อและความฝันลมๆ แล้งๆ
เนื้อแท้ของนิยายกอธิค
ซึ่งเน้นย้ำอารมณ์ไม่มั่นคง หวาดกลัวของตัวละครเพศหญิง
ตลอดจนสภาพวิกฤติบนขอบเหวที่เธออาจจะรอดชีวิต
หรือร่วงหล่นลงสู่หุบเหวเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แทนการตั้งคำถามต่อสภาพสังคมแบบชายเป็นใหญ่
อีดิธก็เช่นเดียวกับตัวละครเอกในนิยาย เจน ออสเตน (ซึ่งถูกเปรียบเทียบถึงในฉากที่หญิงสาวตอบโต้กลุ่มแม่บ้านขาเมาท์ว่าเธอไม่ได้อยากเป็นออสเตน
ผู้ถนัดเขียนนิยายโรแมนติกแนวสุขนาฏกรรม แต่อยากเป็น แมรี เชลลี
ผู้โด่งดังจากการเขียนนิยายสยองเรื่อง Frankenstein มากกว่า)
เธอมีบุคลิกหัวแข็ง ออกแนวเฟมินิสต์เล็กน้อย
แต่ขณะเดียวกันก็ยังถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งยุคสมัย เช่น
โดนกดดันเรื่องใกล้จะขึ้นคาน หรือโดนทักให้เขียนนิยายโรแมนซ์แทนการเขียนเรื่องผีสางเพราะมันน่าจะ
“เหมาะ” กับผู้หญิงมากกว่า นอกจากนี้
อีดิธยังถูกผูกมัดด้วยพล็อตแห่งนิยายโกธิค
เมื่อเธอโผกระโจนจากเงื้อมเงาของพ่อไปสู่การครอบงำของสามี
ทั้งที่มรดกก้อนโตเปิดโอกาสให้เธอมีอิสรภาพได้อย่างเต็มที่ กล่าวได้ว่าตัวละครอย่างอีดิธถูกวางสถานะให้เหนือกว่าผู้หญิงทั่วๆ
ไปทั้งในแง่หน้าตา ฐานะทางการเงิน และความคิด แต่สุดท้ายก็ไม่อาจก้าวพ้นชะตากรรมเดียวกันกับผู้หญิงคนอื่นๆ
ด้วยการเป็นฝ่ายถูกเลือก ถูกกระทำ อาจพูดได้ว่าเธอแทบไม่แตกต่างจากตัวละครเอกใน The
Portrait of a Lady ของ เฮนรี เจมส์ (นักเขียนซึ่งเปรียบเสมือนขั้วตรงข้ามของ
เจน ออสเตน) หญิงสาวหัวก้าวหน้าที่ได้รับเงินมรดกก้อนโต
แต่กลับตกหลุมพราง “ความรัก”
ของผู้ชายเห็นแก่ได้ และจารีตแห่งสถาบันครอบครัว/การแต่งงาน
อย่างไรก็ตามเดล
โทโรให้ความหวังกับคนดูมากกว่า เฮนรี เจมส์ ผู้โปรดปรานด้านมืดและอารมณ์หดหู่ เมื่อความจริงปรากฏในท้ายที่สุดว่าโธมัสหลงรักอีดิธด้วยใจจริง
และหาได้หลอกใช้เธอเพียงเพื่อหวังเงินแบบเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆ ในอดีต แต่เดล
โทโรอาจไม่ได้ก้าวไปไกลถึงขั้นดู โมริเยร์ หรือบรอนเต้ด้วยการบอกว่ารักแท้
หรือรักโรแมนติกสามารถเอาชนะทุกสิ่ง แม้กระทั่งข้อหาฆาตกรรม (ในกรณีของ
Rebecca) หรือความพิการ (ในกรณีของ Jane
Eyre) จริงอยู่ ความรักอาจมีด้านที่งดงามอยู่บ้าง เช่น เมื่อโธมัสพยายามปกป้อง
ช่วยเหลืออีดิธจากน้ำมือของพี่สาวสุดโหด ส่วนอีดิธเองก็ช่วยปลดปล่อยโธมัสออกจากพันธะแห่งอดีต
ทำให้เขาค้นพบความหวังของการเริ่มต้นใหม่ แต่ความรักก็สามารถทำให้คุณคลุ้มคลั่ง ขาดสติได้ไม่แพ้กันดังจะเห็นได้จากพฤติกรรมของ
ลูซิล ชาร์ป (เจสซิกา แชสเทน)
เดล
โทโรเป็นผู้กำกับที่หลงใหลในตระกูลภาพยนตร์และเปี่ยมทักษะ
แต่เช่นเดียวกับผู้กำกับอย่าง ไบรอัน เดอ พัลมา จุดเด่นของเขาไม่ใช่ความลุ่มลึก
หรือการยับยั้งชั่งใจ และความ “หนักมือ” ดังกล่าวกลายมาเป็นจุดที่หลายคนตั้งแง่กับ
Crimson Peak ซึ่งได้รับคำวิจารณ์โดยรวมค่อนข้างก้ำกึ่ง (ปฏิกิริยาถือว่าใกล้เคียงกับหนังเรื่อง Passion ของเดอ
พัลมา แต่เดล โทโรโชคดีหน่อยตรงที่งานของเขา “ดูแพง” เลยพอจะรอดตัวไปได้มากกว่า) มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
เมื่อพิจารณาจากหลายฉากในหนังซึ่งค่อนข้างก้ำกึ่งระหว่างอารมณ์จริงจังเพื่อคารวะแนวทางกอธิคกับอารมณ์ขันเชิงล้อเลียนตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวอร์วังอลังการที่ลูซิลเลือกใช้ในการตามล่าอีดิธ
เสียงช้อนครูดกับชามที่แหลมชัดราวกับเสียงลับมีด ขณะเธอป้อนโจ้กให้น้องสะใภ้
หรือการระเบิดอารมณ์รุนแรงระดับเดียวกับนางร้ายละครหลังข่าวของลูซิล
เมื่อเธอรับทราบข่าวว่าน้องสะใภ้กับน้องชายลักลอบไปนอนค้างอ้างแรมกันนอกคฤหาสน์
หลายคนที่คาดหวังว่าจะได้ดูหนังผีคงเดินคอตกออกจากโรงด้วยความผิดหวัง
เมื่อพบว่า Crimson
Peak กลายเป็นหนังเขย่าขวัญเคลือบกลิ่นอายกอธิคโดยผีกลายเป็นแค่ตัวล่อหลอก
แต่สำหรับใครที่เดินเข้าไปดูหนังโดยปราศจากความคาดหวังใดๆ ล่วงหน้า
ผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของเดล โทโรน่าจะมอบความสนุกสนาน เพลิดเพลินได้ในระดับหนึ่ง
และถึงแม้ฉากหลังจะเป็นสังคมย้อนยุค แต่ด้วยรสนิยมส่วนตัวของผู้กำกับ ฉากถึงเลือดถึงเนื้อแบบจัดเต็มก็ยังพอมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ
หนึ่งในนั้นน่าจะเรียกเสียงช็อกจากคนดูได้ไม่มากก็น้อย
ขณะเดียวกันไคล์แม็กซ์ของหนังก็เรียกได้ว่าเดินทางมาไกลจากแรงบันดาลใจต้นฉบับ ทั้งในด้านเนื้อหา
รวมไปถึงการนำเสนอ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นจุดที่บางคนมองว่าเป็นข้อบกพร่อง
เพราะมันแลดูจะหนักข้อเกินไปสำหรับฉากหลังในช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษ
พระเอกตัวจริงของ
Crimson
Peak คงหนีไม่พ้นงานด้านภาพและการออกแบบงานสร้าง ซึ่งสามารถเนรมิตจินตนาการอันบ้าคลั่งของเดล
โทโรออกมาได้หมดจดงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คฤหาสน์ใกล้พลังทลายของโธมัสที่เขาไม่มีเงินพอจะนำมาซ่อมแซม
ส่งผลให้หลังคามีรูโหว่ขนาดใหญ่จนแสงสว่างส่องลอดเข้ามา
พื้นไม้กระดานผุพังที่เหยียบลงไป แล้วดินเหนียวสีแดงเล็ดไหลมาตามช่องดุจเลือดทะลักออกจากบาดแผล
และฝาผนังที่ดึงดูดสิ่งมีชีวิตอย่างผีเสื้อกลางคืนให้เข้ามารุมล้อม
เห็นได้ชัดว่าเดล โทโรต้องการให้คฤหาสน์เป็นเสมือนหนึ่งในตัวละครเอก ดูมีเลือดเนื้อ
ลมหายใจ และเป็นสัญลักษณ์แทนความบิดเบี้ยว เน่าเปื่อยแห่งจิตใจมนุษย์
เป็นรูปธรรมแห่งความสัมพันธ์ระหว่างโธมัสกับพี่สาว ตลอดจนอิทธิพลครอบงำของเธอก็ไม่ต่างจากธรรมชาติที่ค่อยๆ
คืบคลานเข้ายึดครองคฤหาสน์
ในฉากหนึ่งช่วงต้นเรื่องอีดิธกับลูซิลได้พูดคุยกันถึงวัฏจักรชีวิต
โดยขณะฝ่ายแรกแสดงท่าทีสงสาร เศร้าสร้อยเมื่อเห็นผีเสื้อกำลังจะตายเนื่องจากขาดแสงอาทิตย์
ฝ่ายหลังกลับพูดว่ามันเป็นธรรมชาติแห่งโลก ทุกอย่างย่อมต้องตายจากและโลกนี้ต่างก็เต็มไปด้วยการแก่งแย่ง
ชิงดีกันเพื่อความอยู่รอด
(บทสนทนาดังกล่าวชี้นัยยะชัดเจนว่ากำลังเปรียบเทียบใครเป็นผีเสื้อแสนสวยที่อ่อนแอ
ใครเป็นผีเสื้อกลางคืนที่แข็งแกร่งและกินผีเสื้อเป็นอาหาร)
“ชีวิตต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ” หญิงสาวโลกสวยตั้งข้อสงสัยอย่างมีความหวัง
แต่ไม่นานต่อมาเธอกลับรู้ซึ้งถึงสัจธรรมในคำพูดของลูซิล… สุดท้ายแล้วเมื่อต้องเผชิญความมืดมิดและหนาวเหน็บ
เนื่องจากโลกนี้ไม่ได้มีเพียงกลางวันที่สดใส สุกสว่าง
ผีเสื้อแสนสวยที่เปราะบางก็จำต้องแปลงร่างเป็นผีเสื้อกลางคืนอันแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอด
1 ความคิดเห็น:
เพิ่งเจอ บล๊อกนี้ กำลังไล่อ่านอยู่คะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคะ
แสดงความคิดเห็น