เมื่อพูดถึงผลงานระดับสุดยอดของ วู้ดดี้ อัลเลน หลายคนอาจลืมจะนึกถึง The Purple Rose of Cairo ทั้งที่ความจริงแล้วคุณภาพของมันหาได้อ่อนด้อยกว่า Annie Hall, Manhattan, Crimes and Misdemeanors, Hannah and Her Sisters หรือ Bullets over Broadway และบางทีอาจเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ
หนังผสมผสานอารมณ์ขันและสัจธรรมอันเจ็บปวดของชีวิตได้อย่างกลมกลืน เรื่องราวของ เซซีเลีย (มีอา ฟาร์โรว์) สาวเสิร์ฟในเมืองนิวเจอร์ซีย์ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ที่มักจะหาทางหนีจากความทุกข์ของชีวิตแบบกัดก้อนเกลือกินกับสามีขี้เหล้า ไม่เอาอ่าว แถมยังชอบลงไม้ลงมือกับคนใกล้ตัวเวลาเมา (แดนนี่ ไอเอลโล) ด้วยการแอบหลบไปดูหนังเรื่อง The Purple Rose of Cairo จนกระทั่งวันหนึ่ง ทอม แบ็กซ์เตอร์ (เจฟฟ์ เดเนียลส์) พระเอกแสนดีสุดเพอร์เฟ็กต์ในหนัง ก็พลันกระโดดออกมาจากจอ แล้วบันดาลความฝันอันแสนโรแมนติกของเธอ (และอาจหมายรวมถึงผู้หญิงอีกจำนวนมาก) ให้กลายเป็นจริง
แต่พฤติกรรมของทอมได้ก่อให้เกิดความอลหม่านไปทั่ว ตัวละครอื่นๆ ในหนังเริ่มตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก (เรื่องราวไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เพราะขาดตัวแสดงไปคน) จนกระทั่งคนหนึ่งต้องลุกขึ้นมาเต้นแท็บเป็นการแก้เซ็ง ขณะเดียวกันเหล่าผู้บริหารในฮอลลีวู้ดก็ขนขบวนมายังนิวเจอร์ซีย์ เพื่อข่มขู่ทอมว่า หากเขาไม่ยอมกลับไปเล่นหนังต่อ พวกเขาจะถอนหนังออกจากโรง พร้อมทั้งติดต่อ กิล เชพเพิร์ด (เดเนียลส์) ให้มาช่วยกล่อมเซซีเลีย เพื่อให้เธอโน้มน้าวทอมให้ยอมกลับเข้าจอหนังตามเดิม (งงไหมเนี่ย)
อย่างไรก็ตาม ความสนุกสนานที่เคลือบไว้ในเปลือกนอกหาได้ปกปิดสารัตถะของหนัง นั่นคือ ความสุขเป็นสิ่งชั่วแล่น ส่วนความทุกข์ทรมานนั้นถือเป็นสรณะ ดังจะเห็นได้จากบทสรุปของหนัง ซึ่งตอกย้ำสัจธรรมแห่งความเจ็บปวดของชีวิต ไปพร้อมๆ กับมหัศจรรย์แห่งโลกภาพยนตร์ ซึ่งสามารถช่วยปัดเป่าความเศร้าหมองได้... แม้จะเพียงช่วงเวลาสักสองชั่วโมงก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น