วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 12, 2551

Wonderful Town: คนเหงาในเมืองเศร้า


กว่าเหตุการณ์สึนามิจะถูกเอ่ยอ้างถึงอย่างเป็นรูปธรรมใน Wonderful Town หนังก็ดำเนินไปได้ครึ่งค่อนทางแล้ว (แถมยังเป็นการพูดแบบผ่านๆ อีกด้วย ก่อนจะปรากฏบทสนทนาที่เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นในช่วงท้ายเรื่อง) กระนั้นคนดูกลับสามารถ “สัมผัส” ได้ถึงโศกนาฏกรรมดังกล่าวอยู่ลึกๆ ตั้งแต่ภาพแรกของหนัง ซึ่งแสดงให้เห็นเกลียวคลื่นซัดกระทบชายหาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันอาจไม่รุนแรง เกรี้ยวกราด แต่การตั้งกล้องในระยะใกล้ก็ช่วยสร้างอารมณ์คุกคามได้ไม่น้อย เพราะเราไม่อาจมองเห็นว่าระดับคลื่นลูกต่อไปจะหนักเบาเพียงใด มันอาจพัดพาเอาความหายนะอันคาดไม่ถึงมาแบบฉับพลัน เฉกเช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547

และถึงแม้หนังจะถูกตัดมายังช็อตต่อไปแล้ว (ภาพใบหน้าระยะโคลสอัพของตัวละครขณะนอนงีบหลับตรงเคาน์เตอร์ของโรงแรมกลางเมืองซึ่งตั้งอยู่ไกลจากชายหาด) แต่เสียงประกอบของเกลียวคลื่นยังคงดังต่อเนื่องอีกชั่วครู่ราวกับจะบอกว่า เหตุการณ์วันนั้นยังคงฝังรากลึกในจิตใจของผู้คน ก่อนได้รับการตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อภาพช็อตแรกถูกนำมาตัดแทรกในฉาก นา (อัญชลี สายสุนทร) ร่วมรักกับ ต้น (ศุภสิทธ์ แก่นเสน)

ตลอดทั้งเรื่องเหตุการณ์สึนามิดูเหมือนจะล่องลอยไปมาคล้ายวิญญาณ แล้วผุดโผล่ให้เห็นเป็นครั้งคราวผ่านบทสนทนาบางช่วงตอน ผ่านซากปรักหักพังริมชายหาด ซึ่งถูกปล่อยให้รกร้างจนกลายเป็นความเชื่อว่ามีผีสิง กาลเวลาได้ช่วยเยียวยาบาดแผลบางส่วน และความพยายามจะฝังกลบอดีตอันเจ็บปวดก็กำลังก่อตัวอย่างรวดเร็วผ่านโครงการเร่งสร้างรีสอร์ทใหม่มาแทนที่ของเดิม

แต่จิตใจและจิตวิญญาณของผู้คนจะสามารถชุบเลี้ยงขึ้นใหม่ได้ในชั่วข้ามเดือนข้ามปีดุจเดียวกับบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างทั้งหลายหรือ?

บรรยากาศของเมืองตะกั่วป่าในหนังเรื่อง Wonderful Town ให้ความรู้สึกเหมือนสภาพของตัวละครที่เพิ่งจะผ่านภาวะกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงมา และได้ก้าวข้ามปฏิกิริยาช็อคในช่วงแรก (ชาวบ้านส่วนใหญ่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนก่อนหน้า ขณะที่ซากตกค้างจากหายนะก็หลงเหลืออยู่เพียงไม่มาก) ไปสู่ขั้นตอนของอาการซึมเศร้า หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง กล่าวคือ มันกลายเป็นเมืองชายทะเลที่ซบเซา ปราศจากนักท่องเที่ยว ภาพความรื่นเริง งานเลี้ยง หรือการพบปะสังสรรค์ถูกจำกัดให้เหลือศูนย์ หลายฉากนอกตัวอาคารแทบจะว่างเปล่ารกร้างผู้คน ท้องถนนโปร่งโล่งปราศจากรถรา ขณะท้องฟ้าก็มักจะครึ้มเมฆ และมีสายฝนเทกระหน่ำเป็นครั้งคราว (สภาวะปิดกั้นจากโลกภายนอกดังกล่าวยังสะท้อนผ่านภูมิประเทศของเมืองตะกั่วป่า ซึ่งด้านหนึ่งเป็นภูเขา ส่วนอีกด้านเป็นทะเล จนนาตั้งข้อสังเกตว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกำลัง “ติดกับ”)

สิ่งเดียวซึ่งดูขัดแย้งกับบรรยากาศเงียบสงบและหม่นเศร้าของเมืองตะกั่วป่า คือ ภาพแก๊งวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามท้องถนนเพื่อฆ่าเวลาจากชีวิตอันไร้จุดหมาย พวกเขาเปรียบดังตัวแทนของอารมณ์โกรธแค้นที่ยังคุกรุ่นอยู่ข้างใต้พื้นผิวอันราบเรียบ รอวันจะปะทุขึ้นมา

ฉากหลังของหนังสอดคล้องประดุจภาพวาดที่ยั่วล้อสภาพจิตใจของเหล่าตัวละคร หลังต้องเจ็บปวด บอบช้ำกับความสูญเสียและกำลังพยายามมองหาความสงบ มองหาจุดคลี่คลายให้กับชีวิต โดยแต่ละคนล้วนมีปฏิกิริยาหรือวิธีรับมือกับวิกฤติแตกต่างกันไป สำหรับนา เธอเลือกจะก้มหน้าแบกรับภาระบริหารโรงแรมในเมืองเพียงลำพังหลังพ่อแม่ตายจากไป ชีวิตของเธออัดแน่นด้วยกิจวัตรของการทำความสะอาดโรงแรม เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ตากผ้า ซื้อผลไม้ให้อาม่า และรับส่งหลานชายที่โรงเรียนจนไม่เหลือเวลาเป็นของตัวเอง คนดูได้เห็นเธอหมุนเคลื่อนตามภารกิจเหล่านั้นด้วยท่าทีเรียบเฉย เหนื่อยหน่าย และแม้กระทั่งการออกไปช็อปปิ้งซื้อข้าวของส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นที่คาดผมก็หาได้สร้างความสุขสดชื่นให้เธอมากนัก เปรียบไปแล้วเธอคงไม่ต่างจากสภาพเมืองตะกั่วป่าอันหงอยเหงา ปิดกั้น และจมปลักอยู่กับตัวเอง

วิทย์ (ดล แย้มบุญยิ่ง) ดูจะได้รับผลกระทบจากสึนามิมากกว่าใคร ภาพหายนะในวันนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวเขา (สะท้อนผ่านบทสนทนาระหว่างเขากับต้นในช่วงท้ายเรื่อง) แต่แทนการเติมเต็มวันเวลาด้วยกิจวัตร วิทย์กลับเลือกจะปล่อยชีวิตว่างเปล่า ไร้จุดหมาย แล้วดื่มด่ำไปกับอารมณ์คับแค้น โกรธขึ้ง ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะผู้คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่บ่อยครั้งมักรู้สึกว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่ยุติธรรม เขาไม่เข้าใจได้ว่าเหตุใดมันจึงเกิดขึ้น และทำไมมันถึงต้องเกิดขึ้นกับเขา สภาพอารมณ์ของวิทย์ก็ไม่ต่างจากท้องฟ้าครึ้มเมฆในเมืองตะกั่วป่าก่อนการมาถึงของพายุและสายฝน มันคุกรุ่น ขมุกขมัว และพร้อมจะร้องคำรามได้ทุกเวลา

ต้นอาจไม่ใช่คนท้องถิ่นและรับรู้ข่าวเกี่ยวกับสึนามิผ่านทางโทรทัศน์เช่นเดียวกับชาวกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ แต่เขาเองก็พกพาบาดแผลมายังเมืองตะกั่วป่าเช่นกัน วิธีรับมือของเขา คือ วิ่งหนีปัญหาและปฏิเสธการเผชิญหน้า เขาเลือกอาสาสมัครมาภาคใต้ทั้งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากมาเพราะเขาไร้ความสุขกับปัจจุบัน เขาคิดว่าสภาพแวดล้อมอันแตกต่างจะช่วยให้เขาทำใจลืมอดีตอันปวดร้าว แม้ว่ามันจะยังคงทิ้งซากตกค้างให้เห็นตำตา เช่นเดียวกับบ้านปรักหักพังข้างๆ โครงการรีสอร์ทใหม่ ซึ่งต้องเร่งสร้างให้เสร็จภายในหนึ่งปี

การก่อตัวขึ้นของความสัมพันธ์ระหว่างต้นกับนาดูจะให้อารมณ์แตกต่างจากภาพความรักโรแมนติกในแบบที่เราคุ้นเคย แม้ว่าหนังจะมี “ฉากบังคับ” ปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ฉากคู่รักขี่มอเตอร์ไซค์ชมวิวพร้อมเสียงเพลงรักดังกระหึ่ม ตรงกันข้าม โรแมนซ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนความพยายามจะไขว่คว้าบางอย่างมาช่วยบำบัดความเปลี่ยวเหงาเสียมากกว่า พวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงอนาคตร่วมกัน นาไม่คิดจะขายโรงแรม แล้วย้ายไปตั้งต้นชีวิตใหม่ แม้ว่าเธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัยและชอบพร่ำบ่นว่าต้องแบกรับภาระในการดูแลโรงแรม นอกจากนี้ เมื่อข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์เริ่มแพร่กระจาย เธอกลับวิตกกังวล แล้วนึกไม่อยากให้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ในฉากหนึ่ง นากล่าวหาน้องชายว่าจมปลักอยู่กับที่ ขณะคนอื่นๆ เดินหน้าต่อไปแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ถูกเขาสวนกลับด้วยข้อหาเดียวกัน

คุณสมบัติเดียวกันนั้นสามารถใช้อธิบายต้นได้เช่นกัน โดยหากมองจากภายนอกเขาอาจดูเป็นชายรักอิสระที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด สังเกตได้จากมาดสบายๆ ของเขาเวลาเกี้ยวพาราสีหญิงสาว หรือการที่เขาตัดสินใจอาสามาดูงานที่ภาคใต้นานหลายเดือนทั้งที่ไม่รู้จักใครในละแวกนี้ หรือเมื่อเขาบอกปัดความกังวลของนาเกี่ยวกับ “ปากคน” อย่างไม่ใส่ใจ (สาเหตุหนึ่งเพราะเขาไม่ใช่และไม่คิดจะเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น?) รวมไปถึงเหตุการณ์ทุบรถ ซึ่งเขายืนกรานจะไม่แจ้งความกับตำรวจ

แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป หนังกลับค่อยๆ เปิดเผยให้เห็นด้านเปราะบางของต้น ไม่ว่าจะเป็นแผลบาดหมางระหว่างเขากับพ่อ หรือพิษบอบช้ำจากรักในอดีต ซึ่งเขาเพิ่งรวบรวมความกล้าที่จะลุกขึ้นมาเผชิญหน้าในช่วงท้ายเรื่อง นอกจากนี้ ฉากดังกล่าวยังเปิดเผยให้เห็นว่าต้นไม่ได้คิดจริงจังกับโรแมนซ์ครั้งใหม่ (เขาหลบมาโทรศัพท์หลังจากหลับนอนกับนา) มันเป็นเพียงทางผ่าน เป็นหนึ่งในขั้นตอนบำบัดอดีตอันปวดร้าว ต้นอาจชื่นชมเมืองตะกั่วป่าว่าเงียบสงบ แต่เขาก็ไม่คิดจะตั้งรกรากอยู่นี่ เช่นเดียวกับชาวกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ มันเป็นแค่ “แหล่งพักใจ” ชั่วคราว และสุดท้ายเขาก็จะหวนกลับไปหาความวุ่นวายที่เขาจากมาอยู่ดี

ช่องว่างที่มองไม่เห็นระหว่างต้นกับนาดุจคลื่นใต้น้ำท่ามกลางความเงียบสงบ (ฉากร่วมรักของทั้งสองหาได้อิ่มเอิบ สุขสันต์ หรือกระทั่งอีโรติก ตรงกันข้าม ภาพและดนตรีประกอบกลับทำให้มันดูลึกลับ มืดหม่น และเจือกลิ่นอายแห่งความเศร้าสร้อย) เปรียบไปแล้วคงไม่ต่างจากความรู้สึกของผู้กำกับ อาทิตย์ อัสสรัตน์ ยามเมื่อเขาเดินทางไปยังตะกั่วป่า แล้วพบว่ามันกลับกลายเป็นเมืองสวยงามราวกับไม่เคยประสบพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายมาก่อนเลย อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างกลับบอกเขาว่าทุกอย่างยังไม่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนท้องถิ่น เขาไม่อาจชี้ชัดได้แน่ว่ามันคืออะไร และขณะเดียวกันก็ไม่พยายามจะทำความเข้าใจมันด้วยซ้ำ เนื่องจากมันเป็นระยะห่างที่ “คนนอก” ไม่อาจก้าวข้าม สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ คือ สังเกตการณ์

ด้วยเหตุนี้กระมัง ความรุนแรงอันฉับพลันและคาดไม่ถึงในช่วงท้ายเรื่องของ Wonderful Town จึงปราศจากคำอธิบาย หรือกระทั่งความพยายามที่จะอธิบาย มันเกิดขึ้น จบลง และแน่นอนว่าสักวันก็จะผ่านไป

7 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

พึ่งดูหนังจบเมื่อตะกี๊ 25/2/52 13.30
แล้วรู้สึกว่าอยากรู้ว่าหนังต้องการสื่ออะไรมากกว่าที่เราเข้าใจหรือไม่ จึงได้หาอ่านรีวิว ก็ได้เจอของคุณเข้า เป็นรีวิวที่ดีมากครับ อธิบายสัญลักษณ์หลายๆ อย่างที่ผมไม่ได้นึกถึงเลย ทำให้รู้สึกสนุกขึ้น คงต้องกลับไปดูอีกรอบ โดยตัวหนัง ผมประทับใจในความสวยงามของการถ่ายทำ มุมกล้อง แล้วก็ความดิบๆ ของหนังขอบคุณมากๆๆๆ ครับ ^ ^

Riverdale กล่าวว่า...

ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ

หวังว่าหนังเรื่องนี้จะมีคนชมมากขึ้น หลังจากคว้ารางวัลสุพรรณหงส์ทองคำมาแบบคาดไม่ถึงทั้งหนัง ผู้กำกับ และบท (ว่าแต่มีดีวีดีออกแล้วหรือครับ?)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

บางอย่างที่งงๆ ในหนัง พออ่านรีวิวก็ได้แง่คิด อีกมุมหนึ่งเข้าใจมากขึ้น ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆครับ

NUNAGGIE กล่าวว่า...

ดูมาเรียบร้อยแล้วค่ะป๋า ก็ค่อนข้างชอบนะคะ มาอ่านของป๋าประกอบก็เข้าใจมากขึ้น หนังเรื่องนี้สีทะมึนมากเลยค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คืออยากรู้ว่าน้องของนาโกรธอะไรต้นมากถึงขนาดต้องฆ่าทิ้งอะครับ

ชอบมากหนังเก็บทุกรายละเอียดเลยอะครับ
ตอนที่ต้นไปซื้อน้ำแล้วเดินกลับมาที่รถ
สังเกตุดีๆจะเห็นรถของน้องนาขับผ่านไป

Riverdale กล่าวว่า...

คือ ไม่รู้เหมือนกันครับ 555 ตัวหนังเองก็คงจงใจจะไม่บอกอะไรแบบชัดเจน ให้คนดูไปคาดเดากันเอาเอง บางทีน้องชายนางเอกอาจไม่ชอบใจที่ต้นไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับนา และเขาเองก็เหมือนจะมีพันธะอยู่ในกรุงเทพฯ แล้ว หรือบางทีเขาอาจแค่เบื่อหน่าย ขุ่นแค้นกับชะตากรรม เลยหาทางระบายออกกับคนต่างถิ่นอย่างต้น

บางทีผู้กำกับอาจจะพยายามบอกว่า ความตายเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา และบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นแบบฉับพลัน โดยปราศจากเหตุผลชัดเจนใดๆ ว่าทำไมมันถึงเกิดกับบางคน แต่ไม่ใช่กับอีกหลายๆ คน เหมือนเหตุการณ์สึนามินั่นแหละครับ

Jeanne Ruji กล่าวว่า...

อ่านแล้วอยากดูหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเลยอ่ะค่ะ

ขอบคุณนะคะ