วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 22, 2551

Short Replay: The Sweet Hereafter


ผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นนี้ของผู้กำกับชาวแคนาดา อะตอม อีโกยาน ไม่ได้เกี่ยวกับความตายมากเท่าผลกระทบของความตายต่อเหล่าสรรพชีวิตที่ยังต้องดิ้นรนกันต่อไป หนังเล่าถึงเรื่องราวของทนายความ (เอียน โฮล์ม) ที่เดินทางมายังเมืองชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อรถนักเรียนประสบอุบัติเหตุ ไถลหล่นจากถนนชุ่มหิมะลงไปยังทะเลสาบน้ำแข็ง ส่งผลให้เด็กจำนวน 14 คนเสียชีวิต ขณะบางคนที่รอดมาได้กลับตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากผีดิบไร้วิญญาณ เช่น คนขับรถ ซึ่งโดนความรู้สึกผิดกัดกร่อน และเด็กสาว ซึ่งต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปพร้อมๆ กับความหวังในการเป็นนักร้อง

ระหว่างตามเก็บข้อมูลของบรรดาชาวเมือง คนดูก็มีโอกาสสัมผัสเสี้ยวชีวิตของทนายความ โดยเฉพาะสายสัมพันธ์อันเหินห่างของเขากับลูกสาวขี้ยา ซึ่งปัจจุบันแทบจะเป็นเหมือนคนแปลกหน้า ในฉากที่เศร้าสลดที่สุดฉากหนึ่งของหนัง ทนายความได้รำลึกถึงอดีตเมื่อครั้งที่เขายัง “รู้จัก” ลูกสาวคนนี้ และช่วยเหลือเธอให้รอดตายจากพิษแมงมุมกัด แต่สุดท้ายกลับต้องสูญเสียเธอให้ยาเสพติด

หนังดัดแปลงมาจากนิยายของ รัสเซลล์ แบงค์ส แต่รายละเอียดหนึ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างยอดเยี่ยม (ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้อีโกยานในฐานะผู้กำกับ/เขียนบท นอกเหนือจากโครงสร้างการเล่าเรื่องอันซับซ้อน แต่ไม่สับสน แหวกจากธรรมเนียมปฏิบัติ แต่กลับดึงอารมณ์คนดูได้อย่างอยู่หมัด) คือ การอ้างอิงถึง The Pied Piper of Hamelin ของ โรเบิร์ต บราวนิ่ง เกี่ยวกับคนเป่าขลุ่ยที่ใช้เสียงเพลงขับกล่อมเด็กๆ ให้หนีตามเขาออกจากเมืองไปจนหมด (และไม่กลับมาอีกเลย) หลังจากพ่อแม่ของพวกเด็กๆ ตระบัดสัตย์กับคนเป่าขลุ่ย เหลือเพียงเด็กชายพิการคนเดียวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเมืองซึ่งปราศจากเด็ก พร้อมกับแรงปรารถนาที่จะตามคนอื่นๆ ไป... ดูเหมือนบางทีความตายก็ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 18, 2551

For Film Buffs




(credit to: peet.wordpress.com)

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 11, 2551

ออสการ์ 2008: ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน


หลังจากบรรดารางวัลสมาพันธ์ทั้งหลายพากันตอกประตูปิดฝาโลงให้กับ Atonement อย่างพร้อมเพรียงกัน แต่สุดท้ายผลงานพีเรียดโรแมนติกจากเกาะอังกฤษที่ก่อนหน้านี้ถูกวางให้เป็น “ตัวเก็ง” ลำดับต้นๆ ในการคว้ารางวัลออสการ์กลับค่อยๆ คืบคลานขึ้นจากหลุมศพในเช้าวันที่ 22 มกราคมจนหลุดเข้ามาเป็นหนึ่งในห้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้สำเร็จแบบเส้นยาแดงผ่าแปด (เหมือนกับ Elizabeth และ Letters from Iwo Jima หนังอีกสองเรื่องที่เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมโดยไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลของสมาพันธ์ใหญ่ๆ ที่ใดเลย) แต่สภาพของมันก็ไม่ต่างจากผีดิบในหนังสยองขวัญสักเท่าไหร่ นั่นคือ เคลื่อนไหวได้ แต่ไร้ชีวิต เนื่องจาก โจ ไรท์ ถูกมองข้ามในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม และโดนแทนที่โดย จูเลียน ชนาเบล (The Diving Bell and the Butterfly) ซึ่งเพิ่งจะพลิกเอาชนะ โจเอล และ อีธาน โคน จาก No Country for Old Men และ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน จาก There Will Be Blood บนเวทีลูกโลกทองคำไปแบบเหนือความคาดหมาย

หนึ่งในสถิติที่ทราบกันดี คือ หนังจะมีโอกาสคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมน้อยมาก หากมันไม่ได้เข้าชิงในสาขาผู้กำกับควบด้วย ตามประวัติศาสตร์แล้ว มีภาพยนตร์เพียงสามเรื่องเท่านั้นที่ทำได้สำเร็จ นั่นคือ Wings (1929), Grand Hotel (1931/2) และ Driving Miss Daisy (1989) ด้วยเหตุนี้เอง ทีมโปรดิวเซอร์ของ Atonement คงทำได้แค่นั่งยิ้มและปรบมือให้ผู้ชนะในคืนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เพราะโอกาสที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีนั้นถือว่าต่ำเตี้ยติดดินกว่าหนังอื่นๆ อีกสี่เรื่อง

อันที่จริง การที่หนังสามารถเบียดคู่แข่งสำคัญอย่าง Into the Wild และ The Diving Bell and the Butterfly จนหลุดเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้นั้นก็แทบจะถือเป็นความสำเร็จสูงสุดแล้ว สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากแรงสนับสนุนของบรรดาสมาชิกในสาขาย่อยๆ เช่น กำกับภาพ กำกับศิลป์ และดนตรีประกอบ ซึ่งชื่นชอบสโคปและความประณีตทางด้านงานสร้างของหนัง รวมทั้งมันยังเป็นผลงานที่ “เข้าทาง” ออสการ์อีกด้วย

จะว่าไปแล้ว ความสำเร็จของ Atonement คงทำให้คณะกรรมการลูกโลกทองคำสามารถหายใจได้โล่งคอขึ้น เพราะหากทั้ง Atonement และ Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street พลาดการเข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม มันจะถือเป็นครั้งแรกนับจากปี 1956 ที่ผู้ชนะลูกโลกทองคำทั้งสองเรื่องตกแบบสำรวจออสการ์ (ในปีนั้น East of Eden ได้ลูกโลกทองคำสาขาหนังดราม่า ส่วน Guys and Dolls คว้าชัยในสาขาหนังเพลง/ตลก แต่รายชื่อหนังออสการ์ห้าเรื่องสุดท้ายกลับประกอบไปด้วย Marty, Love Is a Many-Splendored Thing, Mister Roberts, Picnic และ The Rose Tattoo)

ในทางกลับกัน สมาพันธ์นักแสดงแห่งอเมริกา (SAG) ก็เริ่มดำดิ่งสู่ภาวะล่มสลายทางเครดิต เมื่อรายชื่อหนังในสาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม (เทียบเท่ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ของพวกเขาสอดคล้องกับรางวัลออสการ์เพียงหนึ่งเรื่องเท่านั้น คือ No Country for Old Men (อีกสี่ ได้แก่ Hairspray, 3:10 to Yuma, American Gangster และ Into the Wild) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกัน รายชื่อผู้เข้าชิงของสมาพันธ์ผู้กำกับ (DGA) ที่มักจะตรงกับรายชื่อหนังยอดเยี่ยมของออสการ์ ก็พลาดเป้าไปถึงสองเรื่อง ทั้งที่ปกติแล้วพวกเขาจะไม่พลาด หรือพลาดแค่หนึ่ง (DGA เลือก The Diving Bell and the Butterfly กับ Into the Wild แทน Juno กับ Atonement) โดยปีล่าสุดที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คือ ปี 2002 เมื่อ DGA เลือก ริดลีย์ สก็อตต์ จาก Black Hawk Down และ คริสโตเฟอร์ โนแลน จาก Memento แต่ออสการ์หนังยอดเยี่ยมกลับเลือก In the Bedroom และ Gosford Park

บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่าบางทีเราอาจให้เครดิตกับรางวัลของสมาพันธ์ต่างๆ มากเกินไปในฐานะโพยสำหรับกะเก็งรางวัลออสการ์ ดังจะเห็นได้จากหายนะที่เกิดแก่เหล่าขวัญใจสมาพันธ์ต่างๆ ในอดีตอย่าง Almost Famous, Dreamgirls และล่าสุด คือ Into the Wild

อาการตกรถด่วนขบวนสุดท้ายในสาขาภาพยนตร์และผู้กำกับยอดเยี่ยมของ Into the Wild อาจไม่ชวนช็อกมากเท่า Dreamgirls ซึ่งเข้าชิงรางวัลของสมาพันธ์ใหญ่ๆ แบบครบถ้วน “รวมถึง” ลูกโลกทองคำ (ส่วนหนังของ ฌอน เพนน์ นั้นถูกสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศและสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างPGAเชิดใส่) ทว่าการที่มันได้เข้าชิงออสการ์เพียงสองสาขา (สมทบชายและลำดับภาพ) เท่านั้นก็ยังถือเป็นความน่าผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ เอ็ดดี้ เวดเดอร์ เจ้าของลูกโลกทองคำจากเพลง Guaranteed หลุดโผแบบชวนพิศวงท่ามกลางกระแส “คลั่ง” อลัน เมนเกน และ สตีเฟ่น ชวาร์ทซ์ (พวกเขาเคยคว้ารางวัลเพลงประกอบร่วมกันมาแล้วจาก Pocahontas) ของกรรมการออสการ์ ที่เสนอเพลงจากหนังฮิต Enchanted ให้เข้าชิงถึง 3 เพลงด้วยกัน

อีกคนที่กรรมการออสการ์คลั่งไคล้ไม่แพ้กัน คือ เคท บลันเช็ตต์ ซึ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสองสาขาจากหนังสองเรื่อง บทบาทของเธอใน I’m Not There กวาดคำชมอย่างเป็นเอกฉันท์ ส่งผลให้เธอกลายเป็นเต็งหนึ่งประจำสาขานักแสดงสมทบหญิง (แม้ว่าจะมีเต็งสองอย่าง เอมี่ ไรอัน ซึ่งโกยรางวัลนักวิจารณ์มาประมาณสองกระบุง หายใจรดต้นคออยู่) และหากบลันเช็ตต์เก็บชัยชนะได้สำเร็จ เธอก็จะเจริญรอยตาม ลินดา ฮันท์ (The Year of Living Dangerously) ในการคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากการรับบทเป็นผู้ชาย

คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าบลันเช็ตต์ได้เข้าชิงจาก I’m Not There เพราะฝีมือ แต่ได้เข้าชิงจาก Elizabeth: The Golden Age เพราะบารมี เนื่องจากหนังเรื่องหลังนอกจากจะถูกยำใหญ่จากเหล่านักวิจารณ์และล้มเหลวบนตารางหนังทำเงินแล้ว การแสดงของเธอยังถูกบางคนดูแคลนว่า “คนละระดับ” กับภาคแรก (ส่วนหนึ่งคงต้องโทษบทภาพยนตร์) แต่โชคดีตรงที่หนังของคู่แข่งคนสำคัญอย่าง แองเจลิน่า โจลี่ เรื่อง A Mighty Heart ก็เจ๊งไม่เป็นท่า ที่สำคัญ งานแสดงของโจลี่ยังค่อนข้างลุ่มลึก เรียบนิ่ง ไม่ใหญ่โตและเรียกร้องความสนใจมากเท่าบลันเช็ตต์ และนั่นคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชื่อเธอโดนคัดออกในนาทีสุดท้าย แม้จะหลุดเข้าชิงลูกโลกทองคำและ SAG ได้ครบถ้วน

นอกจากนี้ การได้เข้าชิงออสการ์จากบทพระราชินีอลิซาเบ็ธที่หนึ่งอีกครั้งหลังจาก Elizabeth เมื่อเก้าปีก่อน ยังทำให้บลันเช็ตต์ถูกจัดเข้ากลุ่มกับ บิง ครอสบี้ (Going My Way กับ The Bells of St. Mary’s) พอล นิวแมน (The Hustler กับ The Color of Money) อัล ปาชิโน (The Godfather กับ The Godfather: Part II) และ ปีเตอร์ โอ’ ทูล (Becket กับ The Lion in Winter) ในฐานะนักแสดงที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สองครั้งจากบทเดียวกัน

ภาพรวมของออสการ์ในปีนี้ถือว่าเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ตั้งแต่ข่าวการตายแบบกะทันหันของ ฮีธ เลดเจอร์ (เกี่ยวกันมั้ย?) ไปจนถึงการประท้วงอย่างยืดเยื้อของสมาพันธ์นักเขียน ซึ่งหากยังหาข้อสรุปไม่ได้ ออสการ์ปีนี้คงกร่อยไม่แพ้งานลูกโลกทองคำ เนื่องจากเหล่านักแสดงส่วนใหญ่ล้วนประกาศจุดยืนชัดเจนว่าพวกเขาสนับสนุนนักเขียนและจะไม่ไปร่วมงาน หากยังมีการประท้วงอยู่ในตอนนั้น

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนยังรวมไปถึงผลรางวัล ซึ่งสามารถพลิกผันได้เสมอจนเหล่าเซียนออสการ์เริ่มคาดเดาไปคนละทิศละทาง แน่นอน กลุ่มผู้นำยังปรากฏให้เห็น (พวกเขาได้แก่ No Country for Old Men, โจเอล และ อีธาน โคน, จูลี่ คริสตี้, เดเนียล เดย์-ลูว์อิส, ฮาเวียร์ บาเด็ม และเคท บลันเช็ตต์) แต่ระยะห่างของพวกเขากับคนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มากนัก และอาจถูกแซงในช่วงโค้งสุดท้ายได้ ตัวอย่างเช่น สาขาภาพยนตร์และผู้กำกับยอดเยี่ยม ซึ่งทำท่าจะกลายเป็นสงครามสามเส้าระหว่าง No Country for Old Men, Juno และ There Will Be Blood เรื่องแรกได้เปรียบนิดหน่อยตรงเสียงสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ของนักวิจารณ์ บารมีอันยาวนานของผู้กำกับ และความสมบูรณ์แบบตามแนวทาง (genre) ซึ่งถูกใจคนดูในระดับหนึ่ง (ล่าสุดมันกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดของสองพี่น้องโคน โดยแซงหน้า O Brother, Where Art Thou? เจ้าของสถิติเดิม ไปแล้ว) แต่ช่วงหลังๆ หนังดูเหมือนจะเสียศูนย์ไปพอควร เมื่อพลาดท่าให้ Atonement บนเวทีลูกโลกทองคำและ There Will Be Blood บนเวทีใหญ่อย่าง National Society of Film Critics

ผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของอัจฉริยะหนุ่ม พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ได้เปรียบ No Country for Old Men อยู่บ้างตรงที่มันมีสโคปกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยการทดลองแปลกใหม่ ความกล้าหาญ และทะเยอทะยาน แต่จุดอ่อนของหนังดูเหมือนจะเด่นชัดเช่นกัน ทั้งในส่วนของพัฒนาการตัวละคร ตอนจบที่ไม่ลงตัว และความน่าขยะแขยงของตัวละคร ซึ่งดึงคนดูให้ถอยห่างจากตัวหนัง

อย่างไรก็ดี ม้ามืดที่หลายคนคาดว่าอาจคว้าชิ้นปลามันไปครอง หาก No Country for Old Men กับ There Will Be Blood ตัดคะแนนกันเอง เนื่องจากพวกมันล้วนอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งเพศชาย ความรุนแรง ความหดหู่ และความซับซ้อนยอดเยี่ยมในเชิงภาพยนตร์เหมือนๆ กัน คือ Juno ภาพยนตร์ที่เรียบง่ายในเรื่องราว การนำเสนอ แต่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน ความอบอุ่น ความน่ารักของตัวละคร และเป็นหนัง feel good อย่างแท้จริงเพียงเรื่องเดียวในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จริงอยู่ หลายคนอาจยก Little Miss Sunshine มาเปรียบเทียบให้เห็นว่า หนังเล็กๆ ไม่ว่าจะ “น่ารัก” เพียงใด ก็ไม่อาจดึงดูดให้กรรมการส่วนใหญ่ทำใจโหวตมันเป็นหนังยอดเยี่ยมประจำปีได้ แต่ Juno ถือไพ่เหนือ Little Miss Sunshine อยู่สองใบ ใบแรก คือ ผู้กำกับ เจสัน ไรท์แมน สามารถหลุดเข้าชิงออสการ์ชนิดสุดเซอร์ไพรซ์ ซึ่งนั่นหมายความว่าหนังได้รับแรงสนับสนุนมากกว่าที่หลายคนคาดคิด (ส่วนผู้กำกับสองผัวเมียของ Little Miss Sunshine พลาดท่าให้กับ พอล กรีนกราส จาก United 93) ใบที่สอง คือ หนังทำเงินได้มโหฬาร โดยขณะนี้กำลังวิ่งลิ่วสู่หลักร้อยล้านเหรียญในอเมริกาแล้ว (มันเป็นหนังทำเงินสูงสุดในบรรดาห้าเรื่อง เช่นเดียวกับ The Departed เมื่อปีก่อน) นั่นหมายความว่า Juno “เข้าถึง” คนกลุ่มใหญ่

สถิติในเชิงบวกของ Juno ได้แก่ การที่นักวิจารณ์ชื่อดัง โรเจอร์ อีเบิร์ต เลือกมันเป็นหนังอันดับหนึ่งประจำปี โดยหนังอันดับหนึ่งก่อนหน้านี้ของเขาได้แก่ Million Dollar Baby และ Crash (นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำนายว่าออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจะตกเป็นของ Crash) ส่วนสถิติในเชิงลบของ Juno อยู่ตรงที่มันพลาดการเข้าชิงสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว มีหนังเพียง 9 เรื่องเท่านั้น (It Happened One Night, The Life of Emile Zola, Hamlet, Marty, Tom Jones, A Man For All Seasons, The Godfather: Part II, Annie Hall และล่าสุดคือ Ordinary People เมื่อปี 1980) ที่ได้ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาลำดับภาพ นั่นทำให้ No Country for Old Men กับ There Will Be Blood กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ

ชัยชนะล่าสุดของสองพี่น้องโคนบนเวที DGA น่าจะทำให้พวกเขาคงสถานะเต็งหนึ่งบนเวทีออสการ์ไปได้ตลอด อย่างน้อยก็ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (ส่วน No Country for Old Men จะลงเอยแบบ Brokeback Mountain หรือ The Departed เราคงต้องรอดูกันต่อไป) เช่นเดียวกับชัยชนะของคริสตี้, เดย์-ลูว์อีส และบาเด็มบนเวที SAG ส่วนการคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมแบบพลิกล็อกถล่มทลายของ รูบี้ ดี (American Gangster) นักแสดงหญิงผิวดำที่ได้รับการยอมรับมาเนิ่นนานและภรรยาของนักแสดงระดับตำนาน ออสซี่ เดวิส ก็น่าจะช่วยผลักดันให้เธอกลายเป็นตัวเก็งที่มีโอกาสเบียดเอาชนะ บลันเช็ตต์ ซึ่งเพิ่งได้ออสการ์ไปเมื่อไม่นาน และไรอัน ซึ่งอ่อนประสบการณ์และบารมี ในช่วงโค้งสุดท้ายได้ แต่พึงระลึกไว้เสมอว่าผู้ชนะบนเวที SAG แทบไม่เคยตรงกับรางวัลออสการ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญ อย่างที่หลายคนจดจำกันได้ดี นักแสดงสมทบหญิงเป็นสาขาที่คาดเดายากและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูงสุดสาขาหนึ่ง ไม่เชื่อก็ดูได้จากชัยชนะของ แอนนา พาควิน (The Piano) จูเลียต บิโนช (The English Patient) มาร์เซีย เกย์ ฮาเดน (Pollock) และ มาริสา โทเม (My Counsin Vinny)


เกล็ดเก็บตก

• ไม่ว่าใครก็ตามในกลุ่มตัวเก็งที่บรรดาเซียนออสการ์ทั้งหลายคาดการณ์ว่าน่าจะคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครอง เธอคนนั้นจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยหากเต็งหนึ่งอย่าง จูลี่ คริสตี้ ได้รางวัล เธอจะทำสถิติ “ทิ้งช่วงห่างสูงสุดระหว่างออสการ์ตัวแรกกับตัวที่สอง” (คริสตี้ได้ออสการ์ตัวแรกจาก Darling ในปี 1966) และเขี่ยผู้ครองตำแหน่งเดิม คือ เฮเลน เฮย์ส (คว้านำหญิงจาก The Sin of Madelon Claudet ในปี 1931 และสมทบหญิงจาก Airport ในปี 1970) ลงจากบัลลังก์ ถ้าเต็งสองอย่าง มาริยง โกติญาร์ ได้ออสการ์ เธอจะเป็นนักแสดงภาษาต่างประเทศคนที่สองที่คว้ารางวัลนำหญิงมาครองหลัง โซเฟีย ลอเรน สร้างปรากฏการณ์ไว้เมื่อปี 1961 จากหนังเรื่อง Two Women ส่วนชัยชนะของดาวรุ่งเต็งสามอย่าง เอลเลน เพจ ก็หมายถึงออสการ์จะได้นักแสดงนำหญิงที่อายุน้อยสุด (เพจจะมีอายุ 21 ปีกับ 3 วันในวันที่ 24 กุมภาพันธ์) มาแทนที่ มาร์ลี แม็ทลิน จาก Children of a Lesser God ซึ่งอายุประมาณ 21 ปีกับ 5 เดือนตอนรับรางวัล

• หลายครั้งข่าวลือก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ดังจะเห็นได้อาการ “ตกรถ” แบบค้านสายตาคอหนังทั่วโลกของ 4 Months, 3 Weeks and 2 Days หลังก่อนหน้านี้เคยมีรายงานจากแหล่งข่าววงในเล็ดรอดมาว่าคณะกรรมการออสการ์ “ไม่ปลื้ม” หนังทำแท้งจากโรมาเนียเรื่องนี้สักเท่าไหร่ อันที่จริง มันไม่ติดโผหนังภาษาต่างประเทศเก้าเรื่องที่เข้ารอบรองชนะเลิศด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่รายชื่อห้าเรื่องสุดท้ายเลย นอกจากนี้ หนังการ์ตูนชั้นเยี่ยมจากฝรั่งเศสอย่าง Persepolis ก็ยังประสบชะตากรรมเดียวกันด้วย (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกรรมการหลายคนเชื่อมั่นว่ามันน่าจะได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์การ์ตูนยอดเยี่ยมค่อนข้างแน่) โดยภาพยนตร์เก้าเรื่องที่เข้ารอบรองชนะเลิศประกอบด้วย The Counterfeiters (ออสเตรีย), The Year My Parents Went on Vacation (บราซิล), Days of Darkness (แคนาดา), Beaufort (อิสราเอล), The Unknown (อิตาลี), Mongol (คาซัคสถาน), Katyn (โปแลนด์), 12 (รัสเซีย) และ The Trap (เซอร์เบีย) การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้กรรมการออสการ์ตกอยู่ในสถานะ “จำเลย” ว่าปราศจากคุณสมบัติและรสนิยมอันดีพอจะตัดสินรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ขณะเดียวกัน กฎเกณฑ์ที่ไร้มาตรฐานแน่นอน (กรณี Lust, Caution) และคับแคบเกินไป (กรณี The Band’s Visit) ยังส่งผลให้ผลงานหลายชิ้นต้องหลุดจากการพิจารณาอย่างอยุติธรรม

• ออสการ์สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมปีนี้เห็นท่าจะเป็นการฟาดฟันกันอย่างสูสีระหว่าง Atonement กับ Elizabeth: The Golden Age ซึ่งล้วนเป็นผลงานพีเรียดด้วยกันทั้งคู่ แต่สไตล์โดยรวมกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เรื่องแรกเน้นความเรียบหรู เปี่ยมรสนิยม โดยเฉพาะชุดราตรีสีเขียวมรกตสวมโดย คีร่า ไนท์ลีย์ ซึ่งล่าสุดเพิ่งถูกโหวตให้ติดอันดับหนึ่งเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมตลอดกาลในภาพยนตร์ จากผลสำรวจของ Sky Movies และนิตยสาร In Style นอกจากนี้ชุดดังกล่าวยังได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำแบบเป็นเอกฉันท์อีกด้วย ส่วนเรื่องหลังนั้นค่อนข้างจะเน้นแนวคิดทำนอง “ยิ่งมากยิ่งดี” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า over-the-top (ซึ่งเหมาะสมกับโทนของหนัง) และแน่นอนว่าโดยสถิติที่ผ่านมา ความอลังการ ตระการตามักคว้าชัยบนเวทีออสการ์ได้เสมอ อย่างไรก็ตาม จากแบบสำรวจของสำนักเดียวกัน ชุด “มุ้งผ้าขาวบาง” ที่ เคท บลันเช็ตต์ สวมใส่ใน Elizabeth: The Golden Age นั้นติดอยู่ที่อันดับ 9

• There Will Be Blood เกือบจะกลายเป็นหนังที่เข้าชิงออสการ์สูงสุดประจำปีแบบโดดๆ อยู่แล้ว (สุดท้ายมันกลับทำสถิติเทียบเท่า No Country for Old Men นั่นคือ 8 รางวัล) หากคณะกรรมการไม่ตัดสิทธิหนังในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมไปเสียก่อน โดยให้เหตุผลว่าผลงานของ จอนนี่ กรีนวู้ด สมาชิกวง Radiohead ซึ่งหลายคนเชื่อว่าไม่เพียง “คู่ควร” กับการเข้าชิงเท่านั้น แต่ยังควรจะคว้าชัยชนะไปครองเลยด้วยซ้ำ เข้าข่ายผิดกฎเกี่ยวกับการใช้ผลงานดนตรีที่มีอยู่แล้ว (หนังมีสกอร์ใหม่ประมาณ 35 นาที และสกอร์ที่ดัดแปลงมาจากผลงานดนตรีที่มีอยู่แล้วประมาณ 46 นาที) แต่บางคนได้ตั้งข้อสงสัยต่อมาตรฐาน “ตามใจฉัน” ของกรรมการออสการ์ โดยยกตัวอย่างผลงานของ กุสตาโว ซานตาโอลัลลา จาก Babel ซึ่งคว้าชัยบนเวทีออสการ์ในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมไปเมื่อปีก่อน เพราะในหนังเรื่องนั้น original score ของซานตาโอลัลลากินเวลาเพียง 15 นาที ส่วนสกอร์อื่นๆ ที่เหลือล้วนเป็นการดัดแปลงจากผลงานเก่าของเขาเอง (21 Grams) และผลงานการประพันธ์ของ เรียวอิชิ ซากาโมโต ทั้งสิ้น

• ถ้าโลกของเรายังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่ ผู้กำกับภาพชั้นยอดอย่าง โรเจอร์ เดียกินส์ ควรจะได้ออสการ์มาครองกับเขาสักตัว หลังจากเคยเข้าชิงมาแล้ว 5 ครั้ง (The Shawshank Redemption, Fargo, Kundun, O Brother, Where Art Thou? และ The Man Who Wasn’t There) และเดินกลับบ้านมือเปล่าทุกครั้ง ปีนี้เขามีโอกาสเป็นดับเบิ้ล (หรือพวกมันอาจตัดคะแนนกันเอง?) ด้วยการเข้าชิงจาก No Country for Old Men และ The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford คู่แข่งของเขาถือว่ามหาโหดทีเดียว เนื่องจาก The Diving Bell and the Butterfly (จานุส คามินสกี้ เจ้าของสองรางวัลออสการ์จาก Schindler’s List และ Saving Private Ryan) There Will Be Blood และ Atonement ล้วนได้รับเสียงชื่นชมในแง่การกำกับภาพแบบถ้วนทั่วทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เดียกินส์คงไม่ใช่คนเดียวที่จะต้องคอยลุ้นตัวโก่งให้โชคเข้าข้าง เพราะ เควิน โอ’คอนเนลล์ ซาวด์มิกเซอร์ระดับแนวหน้า ก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 20 จาก Transformers และเขายังไม่เคยได้ออสการ์มาครองเลยสักตัว!

• ในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักเขียนหญิงจำนวนสี่คนเดินขบวนกันเข้าชิงมากเป็นประวัติการณ์เทียบเท่าสถิติเดิมเมื่อปี 1989 (Big, Running on Empty, Gorillas in the Mist, Little Dorrit) โดยประกอบไปด้วย อดีตนักเต้นระบำเปลื้องผ้าที่ผันตัวมาเป็นนักเขียนและตัวเก็งในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิม ไดอาโบล โคดี้ (Juno) แนนซี่ โอลิเวอร์ (Lars and the Real Girl) ทามารา เจนกิ้นส์ (The Savages) และ ซาราห์ พอลลี่ (Aways from Her) คนหลังหลุดเข้าชิงแบบสุดเซอร์ไพรซ์ หลังจากถูกสมาพันธ์นักเขียนบท (WGA) มองข้าม (พวกเขาเลือกเสนอ Zodiac กับ Into the Wild แทน Away from Her กับ Atonement ส่วนในสาขาบทดั้งเดิมแตกต่างกันเพียงหนึ่งเรื่อง คือ Knocked Up ถูกแทนที่โดย Ratatouille)

• ถึงแม้งานออสการ์ 2008 จะยังไม่เสร็จสิ้น แต่หลายคนก็เริ่มมองหา “ตัวเก็ง” สำหรับเวทีออสการ์ 2009 เรียบร้อยแล้ว โดยผลงานที่ได้รับการจับตามองเป็นพิเศษ คือ The Agentine และ Guerilla หนังทวิภาคของ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก เกี่ยวกับชีวิตและผลงานของนักปฏิวัติชื่อก้องโลก เช เกวารา รับบทโดยเจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Traffic เบนนิชิโอ เดล โทโร Australia วิมานลอยเวอร์ชั่นแดนจิงโจ้ของ แบซ เลอห์แมน นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ๊คแมน และ นิโคล คิดแมน Body of Lies หนังอิงการเมืองเกี่ยวกับปฏิบัติการตามล่าผู้นำกองโจร อัล ไคด้า ซึ่งได้ รัสเซลล์ โครว กับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ มานำแสดง ผลงานกำกับของ ริดลีย์ สก็อตต์ Changeling หนังดราม่าเรื่องล่าสุดของผู้กำกับขวัญใจออสการ์ คลินท์ อีสต์วู้ด เกี่ยวกับแม่ (แองเจลินา โจลี) ซึ่งพลันตระหนักว่าลูกชายของเธอที่หวนกลับมาหลังถูกลักพาตัวไปหาใช่ลูกชายแท้ๆ ของเธอไม่ The Curious Case of Benjamin Button กำกับโดย เดวิด ฟินเชอร์ ดัดแปลงจากนิยายชื่อดังของ เอฟ. สก็อตต์ ฟิทซ์เจอรัลด์ นำแสดงโดย แบรด พิทท์, เคท บลันเช็ตต์ และ ทิลด้า สวินตัน The Reader สร้างจากนิยายขายดีของ เบิร์นฮาร์ด ชลิงค์ กำกับโดย สตีเฟ่น ดัลดรี้ (The Hours) Frost/Nixon ของ รอน โฮเวิร์ด เล่าถึงเรื่องราวการสัมภาษณ์ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน (แฟรงค์ ลันเกลลา จาก Starting Out in the Evening) หลังเกิดคดีวอเตอร์เกท โดยพิธีกรชาวอังกฤษ เดวิด ฟรอสต์ (ไมเคิล ชีน) และสุดท้าย ได้แก่ ผลงานล่าสุดของ แซม เมนเดส เรื่อง Revolutionary Road ซึ่ง เคท วินสเล็ท (ภรรยาตัวจริงของผู้กำกับ) ได้แสดงประกบ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เป็นครั้งแรกหลังความสำเร็จอย่างล้นหลามของ “ชู้รักเรือล่ม” แถมพวกเขายังพ่วงเอา เคธี่ เบทส์ กลับมาด้วยอีกคน มันเป็นหนังดราม่าเกี่ยวกับปัญหาในครอบครัวยุค 1950 ดัดแปลงจากนิยายของ เดวิด เยทส์

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 09, 2551

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 06, 2551

I Root for Them


เดเนียล เดย์-ลูว์อีส (There Will Be Blood)

“มันน่าหลงใหลเกินต้านทานเหมือนการขุดหลุมบนพื้นดิน” เดเนี่ยล เดย์-ลูว์อีส กล่าวถึงการหาข้อมูลเพื่อรับบทเป็น เดเนียล เพลนวิว นักสำรวจแร่ที่ผันตัวเองมาเป็นเจ้าพ่อวงการน้ำมันช่วงปี 1898 ใน There Will Be Blood ถ้าคำเปรียบเทียบดังกล่าวฟังดูแปลกพิกล ให้คุณพึงระลึกไว้เสมอว่า เดย์-ลูว์อีสน่าจะเป็นนักแสดงชื่อดังเพียงคนเดียวที่ยึดอาชีพหลักเป็นช่างปะรองเท้า แล้วใช้เวลาว่างมาแสดงหนังแบบนานๆ ครั้ง และส่วนใหญ่ก็มักจะลงเอยด้วยความน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นการรับบท บิล ‘เดอะ บุชเชอร์’ คัตติ้ง ใน Gangs of New York เมื่อ 5 ปีก่อน หรือบทเพลนวิว ตัวละครที่ร้ายกาจและบ้าคลั่งไม่แพ้กันในผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน

เช่นเคย เดย์-ลูว์อีส ได้สร้างบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับตัวละคร โดยเฉพาะการเน้นเสียงต่ำกว่าปกติและจังหวะการพูดอันเชื่องช้า ซึ่งทำให้หลายคนนึกถึงสไตล์การพูดของ จอห์น ฮุสตัน ผู้เคยฝากผลงานแสดงที่น่าจดจำไว้ใน Chinatown (เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับน้ำ ขณะที่เรื่องนี้พูดถึงน้ำมัน แต่ตัวละครทั้งสองดูเหมือนจะชั่วร้ายพอๆ กัน) “ก็มีส่วน” เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก My Left Foot กล่าว “ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับ จอห์น ฮุสตัน นั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจหนึ่ง”

ตัวละครอย่างเพลนวิวอัดแน่นไปด้วยแรงปรารถนาที่จะควบคุมและทำลายล้าง เดย์-ลูว์อีสได้สรุปข้อเสียหลักของเพลนวิวผ่านการอธิบายถึงตัวละครที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขา นั่นคือ บาทหลวงประจำเมือง (พอล ดาโน) “ผู้ชายคนนี้ คือ นักฉวยโอกาสที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องบังหน้า คนเลวย่อมมองคนเลวด้วยกันออก เพลนวิวตระหนักในทันทีว่าเขาไม่อาจผูกมิตรกับชายคนนี้ได้ เขามีนิสัยชอบกระชากหน้ากากคน แล้วเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงจากภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนอันชั่วร้าย” จริงอยู่ เพลนวิวเป็นตัวละครที่ชวนขยะแขยง น่าชิงชัง จนคนดูไม่อาจนึกเห็นใจ หรือสงสาร หรือกระทั่งเข้าอกเข้าใจได้ แต่การแสดงอันทรงพลังของเดย์-ลูว์อีสก็ทำให้เราไม่อาจละสายตาจากจอหนังได้เช่นกัน เขาทำให้เรารู้สึกตื่นตะลึงกับภาพปีศาจร้ายเบื้องหน้า ด้วยเหตุนี้ การที่เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สี่ และมีโอกาสจะคว้าออสการ์ตัวที่สองมาครองจึงถือเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง


ลอร่า ลินนีย์ (The Savages)

พอเปิดอ่านบทภาพยนตร์ของ ทามารา เจนกิ้นส์ ไปได้เพียงสามหน้า ลอร่า ลินนีย์ ก็รู้ในทันทีว่าเธอจะต้องคว้าบท เวนดี้ ซาเวจ มาครองให้ได้ “มันเป็นบทหนังที่ลงตัวมากจนคุณรู้สึกอยากเริ่มงานเสียวันนี้พรุ่งนี้” นักแสดงสาววัย 43 ปีกล่าว “คุณสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานในฉาก ภาพต่างๆ เริ่มแล่นเข้ามาในหัว ไม่ใช่แค่ตัวละครที่เด่นชัดเท่านั้น แต่สถานการณ์ที่แวดล้อมพวกเขาก็สมบูรณ์แบบ”

ในช่วงต้นเรื่อง สถานการณ์บีบบังคับให้เวนดี้ หญิงสาวปัญญาชนและนักเขียนบทละครจากแมนฮันตัน ต้องออกเดินทางพร้อมกับพี่ชาย (ฟิลิป ซีย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมน) เพื่อไปดูแลพ่อที่กำลังป่วยไข้ “เธอเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต พวกเขาทั้งคู่นั่นแหละ เธอชอบยุแหย่คนแบบเดียวกับเด็กอายุ 11 ขวบที่ประพฤติตัวไม่ค่อยดี แต่มองในอีกมุมหนึ่ง เธอทำตัวเลวร้ายเพื่อจะเฝ้ามองคนอื่นๆ ทำสิ่งที่ถูกต้อง เธอสร้างวิกฤติการณ์เพื่อจะคอยดูว่าผู้คนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร” ลินนีย์อธิบายคุณลักษณะของตัวละครที่เธอรับเล่น

ถึงแม้หนังจะเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน ขณะสองพี่น้องเหน็บแนมชีวิตของอีกฝ่ายและทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรกับพ่อของพวกเขาดี แต่ตัวละครอย่างเวนดี้ก็มีแง่มุมมืดหม่น เศร้าสร้อย และขมขื่นซุกซ่อนอยู่ภายใต้บุคลิกเย้ยหยันเหมือนไม่แคร์ใคร การต้องรักษาสมดุลระหว่างโทนอารมณ์ขึงขังกับเบาสมองถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง แต่นั่นดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับลินนีย์ ซึ่งเคยรับบทคล้ายกันนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมมาแล้วเมื่อ 7 ปีก่อนใน You Can Count On Me หนังที่สร้างชื่อให้เธอและทำให้เธอเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก

แล้วอะไรล่ะที่เป็นเรื่องยากสำหรับลินนีย์? “การต้องเดินทางไปถ่ายทำตามบ้านพักคนชรา มันให้บรรยากาศหลอกหลอนอย่างบอกไม่ถูก อบอวลไปด้วยความเจ็บปวดและความทุกข์โศก”


เคซีย์ อัฟเฟล็ค (The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford)

หลังเวียนว่ายอยู่ในวงการภาพยนตร์มานานกว่าหนึ่งทศวรรษโดยส่วนใหญ่รับบทสมทบที่ไม่ค่อยมีใครจดจำได้ในหนังดังอย่าง To Die For, Good Will Hunting, American Pie และ Ocean’s Eleven ในที่สุด เคซีย์ อัฟเฟล็ค ก็ก้าวกระโดดพ้นจากเงื้อมเงาพี่ชายซูเปอร์สตาร์ เบน อัฟเฟล็ค (เคซีย์รับเล่นเป็นนักสืบเอกชนที่ถูกจ้างวานให้มาค้นหาความจริงเบื้องหลังการหายสาบสูญของเด็กสาววัย 4 ขวบในหนังของพี่ชายเรื่อง Gone Baby Gone) แถมยังแซงหน้าเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาการแสดงเป็นคนแรกจากบทคาวบอยขี้ขลาด โรเบิร์ต ฟอร์ด ที่ลอบยิงมือปืนระดับตำนาน เจสซี่ เจมส์ (แบรด พิทท์) ทางด้านหลัง

ในโลกอันสมบูรณ์แบบ ชายคนที่ยิงจอมโจรและฆาตกรหลายศพตายควรได้รับการยกย่องให้เป็น “วีรบุรุษ” หาใช่ “ไอ้ขี้ขลาด” แต่ชื่อเสียงของ เจสซี่ เจมส์ ในขณะนั้นถูกรังสรรค์ให้กลายเป็นโรบินฮู้ดแห่งแดนตะวันตก ส่วนฟอร์ดกลับถูกประวัติศาสตร์หลงลืม หรือตีตราอย่างฉาบฉวย

ผลงานกำกับชิ้นที่สองของ แอนดรูว์ โดมินิค (Chopper) หาใช่ภาพยนตร์คาวบอยแบบที่คอหนังฮอลลีวู้ดคุ้นเคย หากแต่มันได้ผสมผสานการวิเคราะห์สภาพจิตใจของตัวละครเอาไว้อย่างกลมกลืน และแน่นอน โฟกัสหลักของหนังอยู่ตรงความซับซ้อนของชายลึกลับอย่าง โรเบิร์ต ฟอร์ด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเทิดทูนบูชา เจสซี่ เจมส์ จนตัดสินใจเข้าร่วมแก๊งกองโจร ก่อนจะยอมรับข้อเสนอจากผู้ว่าการรัฐมิสซูรี ซึ่งต้องการจับกุมและสังหารเจมส์เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองในเวลาต่อมา (หนังดัดแปลงจากนิยายของ รอน แฮนเซน ที่ผนวกรายละเอียดตามประวัติศาสตร์เข้ากับจินตนาการส่วนตัว) “ผมชอบตัวละครที่เต็มไปด้วยรอยด่างพร้อยมากกว่าตัวละครที่มีมิติเพียงด้านเดียว” อัฟเฟล็คให้สัมภาษณ์ ส่วนความยากลำบากสูงสุดของการรับบทนี้น่ะเหรอ? “ผมขี่ม้าไม่เป็น ผมเคยนั่งบนหลังม้ามาก่อน แต่ไม่เคยต้องควบมันจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับม้าของผมค่อนข้างระหองระแหง มันเคยผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มามากกว่าผม และมันก็ไม่ค่อยประทับใจกับทักษะของผมสักเท่าไหร่”

แต่ใครก็ตามที่ได้ชม The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford ล้วนประทับใจกับทักษะทางการแสดงของอัฟเฟล็คอย่างไม่ต้องสงสัย


ทิลด้า สวินตัน (Michael Clayton)

การเป็นนักแสดงคนโปรดของเหล่าผู้กำกับหนังอาร์ตในยุโรปอย่าง ดีเร็ค จาร์แมน, จอห์น เมย์เบอรี่ และ แซลลี่ พ็อตเตอร์ หาได้โน้มนำให้ ทิลด้า สวินตัน เชิดใส่หนังตลาดของฮอลลีวู้ดแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เธอกลับอ้าแขนรับพวกมันด้วยความยินดีเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการมีส่วนร่วมใน The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and The Wardrobe, Constantine และ The Beach ความจริง เธอคงเป็นหนึ่งในนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่สามารถร่วมงานกับ เบล่า ทาร์ ใน The Man From London ไปพร้อมๆ กับเข้ากล้องประกบซูเปอร์สตาร์อย่าง จอร์จ คลูนีย์ ใน Michael Clayton และบทเด่นจากหนังเรื่องหลังนี่เองที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก (หลังเคยเฉียดๆ มาหนหนึ่งจากหนังอินดี้เรื่อง The Deep End เมื่อหกปีก่อน)

สวินตันหลงใหลในคำถามที่ว่า เหตุใดคนธรรมดาสามัญจึงสามารถกระทำเรื่องเลวร้ายเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ และบท คาเรน คราวเดอร์ ทนายสาวที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ แม้กระทั่งการสั่งฆ่าคน ใน Michael Clayton ก็เปิดโอกาสให้เธอได้สำรวจลึกถึงประเด็นดังกล่าว เนื่องจากคาเรนหาได้ชั่วร้ายโดยสันดาน เพียงแต่จิตสำนึกด้านดีของเธอถูกบิดเบี้ยวให้ออกนอกลู่นอกทางจากการต้องทำงานภายใต้บรรยากาศกดดันขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ “หล่อนไม่ใช่วายร้ายแบบในหนัง เจมส์ บอนด์ ประเภท ‘ฉันเกิดมาเลวและชอบมันมาก’ อันที่จริง หล่อนพยายามอย่างหนักที่จะทำดี... เส้นทางสู่นรกของหล่อนล้วนถากถางด้วยความปรารถนาดี” สวินตันกล่าว

ข้อเท็จจริงหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ตระหนัก คือ สวินตันลงทุนเพิ่มน้ำหนักเพื่อบทนี้ เหตุผลของเธอ คือ “ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญมากที่คาเรนจะต้องรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว เธอเป็นเหมือนนักแสดงที่ถูกคัดเลือกมารับบทที่ไม่เหมาะกับเธอ นั่นเป็นมุมมองของฉันต่อคาเรน เธอไม่ควรมาทำงานนี้ เธอพยายามไขว่คว้าในสิ่งที่เกินเอื้อม ฉันอยากให้เธอรู้สึกขัดเขินกับร่างกายของตัวเอง เหมือนเสื้อผ้าเธอมักจะคับเกินไป หรือชุดชั้นในฟิตเกินไปอยู่ตลอดเวลา” แต่จากผลลัพธ์ที่ปรากฏบนจอ คงไม่มีใครโต้เถียงว่า ทิลด้า สวินตัน เหมาะสมกับบทนี้อย่างพอดิบพอดี