วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 13, 2552

Oscar 2009: Best Actress


แอนน์ แฮทธาเวย์ (Rachel Getting Married)

ด้วยดวงตาโตสะท้อนอารมณ์หลากหลายและทัศนคติแบบเยาะหยัน แอนน์ แฮทธาเวย์ รับบทเป็น คิม บุชแมน อดีตสาวขี้ยาและฝันร้ายสำหรับงานวิวาห์ในหนังเรื่อง Rachel Getting Married ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความกล้าหาญอยู่ตรงที่เธอไม่พยายามจะเรียกร้องความเห็นใจใดๆ จากคนดู แล้วผสมผสานบุคลิกกระปรี้กระเปร่า ท่าทางไม่เป็นมิตร และอารมณ์สมเพชตัวเองซึ่งแฝงลึกอยู่ภายในได้อย่างพอเหมาะ พิสูจน์ชัดจากฉากไฮไลท์ของหนัง เมื่อคิมใช้เวลานานกว่า 4 นาที พล่ามแสดงความยินดีกับพี่สาว ราเชล (โรสแมรี่ เดอวิตต์) ในงานเลี้ยงอาหารค่ำก่อนวันแต่งงาน เริ่มต้นด้วยประโยค “หวัดดี! ฉันคือนางมารจอมทำลายล้างและลางหายนะแห่งค่ำคืนนี้!”

เช่นเดียวกับ ดอริส เดย์ และ จูเลีย โรเบิร์ตส์ รอยยิ้มทรงเสน่ห์ของแฮทธาเวย์กลายเป็นเอกลักษณ์ที่เอาชนะใจคนดูหนังทั่วโลก และสร้างชื่อเสียงให้เธอผ่านผลงานร่าเริง สดใสอย่าง The Princess Diaries และ Ella Enchanted แต่ใน Rachel Getting Married (ครั้งแรกของการรับบทนำในหนังหวังกล่อง) คนดูจะเห็นฟันของเธอก็ต่อเมื่อคิมอ้าปาก เพื่อเตรียมจิกกัดพี่สาว พ่อแม่ หรือแม้กระทั่งคนแปลกหน้าที่เดินทางมาร่วมงานแต่งของราเชล แขกเหรื่อส่วนใหญ่รู้เรื่องราวในอดีตของคิมดีว่าเมื่อหลายปีก่อนเธอเคยก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในครอบครัวขณะกำลังเมายา และความทรงจำอันขมขื่นดังกล่าวก็ไม่เคยเลือกหายไปจากใจของทุกคนรวมถึงตัวคิมเองด้วย

การเข้าวงการ (และโด่งดัง) ตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้คนดูได้เห็น แอนน์ แฮทธาเวย์ เติบใหญ่อย่างเด่นชัด เป็นขั้นเป็นตอน ทั้งในแง่รูปร่างหน้าตาและในฐานะนักแสดง การประคองตัวให้อยู่รอดในวงการบันเทิงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเงินทอง ชื่อเสียง เหล้า ยา เซ็กซ์ ฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง (ดูตัวอย่างหนัง “อย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกของคุณ” ได้จาก ลินเซย์ โลฮาน) จุดพลิกผันทางอาชีพ ซึ่งเปลี่ยนภาพลักษณ์ “ดาราดิสนีย์” ของแฮทธาเวย์มาเป็น “นักแสดงมากฝีมือ” เริ่มต้นด้วยการรับบทสมทบในหนังเรื่อง Brokeback Mountain

“ตอนนั้นฉันนึกอยากเลิกอาชีพนี้ไปเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่ไม่ได้เรื่อง ฉันไม่รู้จะสื่อสารกับผู้คนอย่างไร การถูกเลือกให้แสดงเป็นตัวละครที่ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับตัวเองเลย แถมยังมีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงอย่าง ฮีธ เลดเจอร์ และ มิเชลล์ วิลเลี่ยมส์ ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก” เมื่อ Brokeback Mountain เข้าฉายที่เวนิซ แฮทธาเวย์เดินออกจากโรงหนังก่อนจะทันเห็นตัวเองในฉากแรก “มันเป็นภาพยนตร์ที่งดงามและสมบูรณ์แบบ ฉันกลัวว่าตัวเองจะทำมันพัง เลยไม่กล้านั่งดูต่อ แต่ฉันกลับมาทันเห็นนมตัวเองบนจอหนังพอดี มันช่างพิเศษสุดจริงๆ” เธอพูดพร้อมกับยิ้มหวาน

นักแสดงที่ประสบความสำเร็จมักจะรักษาระดับอีโก้ไม่ให้สูงเกินไป แต่สำหรับ แอนน์ แฮทธาเวย์ การถ่อมตนถือเป็นธรรมชาติภายใน ซึ่งเธอถือครองโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความพยายามแม้เพียงนิด “สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้ผลก็เพราะแอนนี่เป็นมนุษย์ที่น่ายกย่อง” ผู้กำกับ โจนาธาน เด็มมี่ ซึ่งเปลี่ยนมาสวมวิญญาณ โรเบิร์ต อัลท์แมน และ ไมค์ ลีห์ ใน Rachel Getting Married กล่าว “เธอเป็นเหมือนแรงผลักดันสำคัญของหนัง เธอเชื่อมโยง ผูกพันทุกคนเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดบรรยากาศสมจริงและลื่นไหล นี่เป็นหนังของเธอ แต่เธอไม่เคยทำตัวให้ทุกคนเห็นเช่นนั้นเลยเวลาอยู่ในกองถ่าย”


แองเจลินา โจลี (Changeling)

แม้จะมีวัยเพียง 33 ปี แต่ แองเจลินา โจลี กลับสามารถประคับประคองสถานะซูเปอร์สตาร์แห่งฮอลลีวู้ดไปพร้อมๆ กับอีกหลายสถานะได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงคุณภาพเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Girl, Interrupted ดาราสาวจอมพะบู๊ในหนังแอ็กชั่นทุนสูงอย่าง Wanted คนดังที่ปาปาราซซี่ต้องการตัวมากสุด (โดยเฉพาะเมื่อประกบคู่กับคนรักนาม แบรด พิทท์) และโอกาสเดียวสำหรับหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ที่จะเอาตัวรอดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คุณแม่เรือพ่วงหกลำ (สามคนเป็นลูกในไส้ ส่วนอีกสามคนเป็นลูกบุญธรรม) หรือทูตสันถวไมตรีของสหประชาชาติ โดยจากทั้งหมดที่กล่าวมา สถานะเดียวที่เธอพยายามไม่ใส่ใจมากสุด คือ ขวัญใจแท็บลอยด์

แม้จะเห็นเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด รำคาญใจ แต่โจลีฉลาดเกินกว่าจะปริปากบ่น กระนั้นเธอก็ยอมรับว่าชื่อเสียงอาจลดทอนประสิทธิภาพของงานซึ่งช่วยผลักดันเธอให้เป็นที่รู้จักตั้งแต่แรก นั่นคือ การสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ “ฉันหวังว่าฉันจะทำ (ให้คนดูเชื่อว่าเป็นตัวละครนั้นๆ) ได้นะ ฉันคงไม่ตอบรับแสดงหนังอย่าง Changeling ถ้าฉันไม่คิดว่าตัวเองสามารถดึงคนดูให้ติดตามเรื่องราวได้” เธอกล่าว

ใน Changeling โจลีรับบทเป็น คริสติน คอลลินส์ คุณแม่ที่ลูกชายวัยเก้าขวบหายตัวไปอย่างลึกลับ (หนังได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง) จนกระทั่งห้าเดือนต่อมา กรมตำรวจแอลเอได้นำตัวเด็กชายคนหนึ่งมาส่งมอบให้พร้อมทั้งบอกว่าเป็นลูกชายที่หายไปของเธอ แต่เมื่อคริสตินยืนกรานว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกเธอ กรมตำรวจก็พยายามหาทางทำลายหญิงสาวในทุกวิธีรวมทั้งจับเธอส่งโรงพยาบาลโรคจิต ความทุกข์ทรมานจากการไม่ทราบชะตากรรมของคนที่ตนรักว่ายังมีชีวิตอยู่ หรือถูกสังหารไปแล้วถือว่าใกล้เคียงกับบทบาทก่อนหน้าของโจลีใน A Mighty Heart ซึ่งกวาดเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์มาอย่างท่วมท้น

โจลีกล่าวว่าเธอไม่เคยพบ คลินท์ อีสต์วู้ด มาก่อนจนกระทั่งในกองถ่าย Changeling แต่เธอเคยได้ยินชื่อเสียงว่าเขามักจะถ่ายทำหนังด้วยความรวดเร็ว “บางครั้งผมจะสั่งให้ตากล้องเริ่มถ่ายโดยไม่ออกเสียงด้วยซ้ำ” ผู้กำกับเจ้าของสองรางวัลออสการ์จาก Unforgiven และ Million Dollar Baby กล่าว “เธอ (โจลี) ดูจะเข้าใจสถานการณ์และเตรียมตัวมาอย่างดี” ทว่าสำหรับนักแสดงสาว ซึ่งตระหนักว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ลูกฝาแฝดก่อนการถ่ายทำฉากสาหัสสากรรจ์ในโรงพยาบาลโรคจิต หลักการทำงานดังกล่าวสร้างความประหม่าและตึงเครียดไม่น้อย “วันแรกของการถ่ายทำผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก เขาถ่ายฉากหนักๆ แค่สองเทค ฉันต้องมั่นใจว่าเข้าใจตัวละครอย่างถ่องแท้ เตรียมพร้อมเต็มร้อยทั้งทางอารมณ์และบทสนทนา แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาเรียกร้องและมันก็ทำให้ฉันเป็นมืออาชีพ”


เมลิสสา ลีโอ (Frozen River)

ก่อนจะได้บทนำใน Frozen River เมลิสสา ลีโอ คลุกคลีอยู่ในวงการทีวีมานับแต่ปี 1984 (ละครน้ำเน่า All My Children เป็นการปรากฏตัวครั้งแรก) แสดงหนัง ส่วนใหญ่มักเป็นบทสมทบเล็กๆ มากว่า 70 เรื่อง และละครนอกบรอดเวย์อีกจำนวนหนึ่ง แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เธออย่างแท้จริง คือ ละครเรื่อง Homicide: Life on the Street ซึ่งเธอร่วมแสดงทั้งหมด 76 ตอนระหว่างปี 1993-1997 ก่อนสถานี NBC จะเปลี่ยนตัวเธอออก แล้วแทนที่ด้วยนักแสดงหญิงที่สดใหม่และสะสวยกว่า

ลีโออธิบายประวัติผลงานของตนว่า “ฉันเลือกทำงานทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า” แต่หากพบเจอบทที่ชื่นชอบ เธอจะไล่ล่ามันอย่างไม่ลดละเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากผลงานอันน่าประทับใจของเธอในหนังเรื่อง 21 Grams ของ อเลฮานโดร กอนซาเลส อินอาร์ริตู ซึ่งเธอแสดงเป็นภรรยาของอดีตนักโทษติดยารับบทโดย เบนิชิโอ เดล โทโร ลีโอเล่าว่าเธอส่งเทปการทดสอบหน้ากล้องไปแล้วสองครั้ง แต่คงไม่ได้บทนี้ ถ้าเธอไม่เสนอตัวขึ้นเครื่องไปทดสอบหน้ากล้องแบบตัวต่อตัวที่แคลิฟอร์เนีย ความอุตสาหะดังกล่าวทำให้เธอได้บทนำของ Frozen River มาครอง แต่ไม่ใช่ในลักษณะของดาราดังผูกชื่อตัวเองไว้กับโปรเจ็กอินดี้เพื่อให้นายทุนอนุมัติ เพราะนักแสดงสาววัย 47 ปียอมรับว่าเธอไม่ได้มีชื่อเสียงพอจะดึงดูดใจนายทุนคนใด “แต่ก็ไม่แน่ในอนาคต” เธอยิ้มกริ่มอย่างยั่วล้อ

ตรงกันข้าม เธอได้โอกาสเพราะเคยร่วมแสดงหนังสั้นของผู้กำกับ-เขียนบท คอร์ทนีย์ ฮันท์ ซึ่งขณะนั้นกำลังมองหาทุนเพื่อสร้างหนังเรื่องแรก “ฉันไม่รู้ว่าเธอ (ฮันท์) เขียนบทหนังเสร็จสมบูรณ์แล้ว จนกระทั่งเราปิดกล้องหนังสั้น” ลีโอ ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่กับลูกชายของเธอกับนักแสดง จอห์น เฮิร์ด กล่าว อย่างไรก็ตาม มันต้องใช้เวลาถึงสี่ปีกว่าฮันท์จะสามารถหาทุนมาสร้างหนังได้ ระหว่างนั้น ลีโอมักจะถามผู้กำกับหญิงอยู่บ่อยๆ ว่า “เรายังจะถ่ายหนังของเราอยู่หรือเปล่า” และคำตอบที่เธอได้รับอยู่เสมอคือ “ทำสิ”

Frozen River เล่าเรื่องราวชีวิตของ เรย์ เอ็ดดี้ คุณแม่ชนชั้นแรงงานที่ถูกสามีนักพนันขโมยเงินเก็บทั้งหมดไป เธอหวังจะนำเงินก้อนดังกล่าวไปซื้อบ้านเทรลเลอร์หลังใหม่ที่ดีกว่าเก่า ใหญ่กว่าเก่า เพื่อเธอกับลูกชายสองคนจะได้มีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น ด้วยความสิ้นหวัง เธอตัดสินใจร่วมทำธุรกิจลักลอบขนแรงงานเถื่อนผิดกฎหมายเข้าประเทศผ่านทางชายแดนแคนาดา ข้ามแม่น้ำ เซนต์ ลอว์เรนซ์ ที่กลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว ความโดดเด่น ซับซ้อนของบทเปิดโอกาสให้ลีโอได้แสดงพรสวรรค์ทางการแสดงอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันเธอก็ไม่กลัวที่จะดูโทรมต่อหน้ากล้อง “มันเป็นความคิดของฉันเอง” ลีโอกล่าวอย่างภูมิใจ “ทรงผมและมาสคาร่าของเรย์บอกให้เราทราบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อยากจะดูดี เธออาจไว้ผมแต่งหน้าแบบนี้ตอนพบกับสามีในช่วงวัยรุ่น และเธอคงคิดว่าถ้ามันได้ผลในตอนนั้น บางทีมันอาจจะได้ผลในตอนนี้เช่นกัน”


เมอรีล สตรีพ (Doubt)

ว่ากันว่าสำหรับฮอลลีวู้ด วันหมดอายุของนักแสดงหญิง คือ หลัง 40 ปีเป็นต้นไป แต่สมมุติฐานดังกล่าวดูจะใช้ไม่ได้กับราชินีแห่งวงการภาพยนตร์อเมริกันอย่าง เมอรีล สตรีพ ซึ่งจู่ๆ ด้วยวัย 59 ปี กลับกลายเป็นซูเปอร์สตาร์จากการแสดงนำในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงถึงสองเรื่อง นั่นคือ The Devil Wears Prada และ Mamma Mia! โดยเฉพาะเรื่องหลัง ซึ่งขณะนี้กวาดเงินทั่วโลกไปแล้วมากถึง 600 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันผลงานของเธอยังได้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ (รวมทั้งเพื่อนร่วมสาขาอาชีพ) ในแง่บวกเสมอมา ดังจะเห็นได้จากถ้วยรางวัลที่วางกองเต็มชั้นและการถือครองสถิตินักแสดงที่เข้าชิงออสการ์สูงสุด

สตรีพดูจะดีใจและคาดไม่ถึงกับความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้ เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นั่งอยู่บ้านและรอฟังเสียงโทรศัพท์ จริงๆ นะ” เธอกล่าว “สาเหตุของโอกาสเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับฉัน แต่เกิดจากสิ่งที่ฉันไม่มีทางเข้าใจและไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ”

ในหนังเรื่อง Doubt ดัดแปลงจากบทละครรางวัลพูลิทเซอร์ มีฉากหลังเป็นโรงเรียนคาทอลิกในปี 1964 เธอรับบทแม่ชีเจ้าระเบียบที่สงสัย (และสุดท้ายถึงขั้นมั่นใจ) ว่าบาทหลวงฟลิน (ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน) ลวนลามทางเพศเด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง แม้จะปราศจากหลักฐานชัดเจน หนังเปิดเผยบุคลิกอันโดดเด่นของ ซิสเตอร์ อลอยเชียส ตั้งแต่ฉากแรก ขณะเธอเดินตรวจตราความเรียบร้อยระหว่างการเทศน์ในโบสถ์ ใบหน้าเคร่งขรึม ดุดัน และเข้มงวดพร้อมชุดเสื้อคลุมสีดำ ทำให้เธอเปรียบเสมือนเพชฆาตความสุข เธอไม่เรียกร้องความรัก ความเห็นใจใดๆ จากคนดู และนั่นถือเป็นจุดมุ่งหมายของหนัง เธอเป็นตัวแทนของระเบียบแบบแผน หรือโลกเก่า ซึ่งตั้งตนเป็นศัตรูกับนักบวชที่ป็อปปูล่า น่าเห็นใจอย่างบาทหลวงฟลิน ผู้พยายามจะทำให้โบสถ์เข้าถึงได้ง่ายและทันสมัยขึ้น ทว่าขณะเดียวกัน เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงไร้อำนาจที่ต้องว่ายทวนกระแสน้ำแห่งสังคมชายเป็นใหญ่

ถึงแม้จะดุร้าย แข็งกระด้าง แต่สตรีพก็หลงรัก ซิสเตอร์ อลอยเชียส “ฉันเห็นใจชะตากรรมของเธอ ในยุคนั้นโอกาสสำหรับผู้หญิงที่ฉลาด ทะเยอทะยาน และเถรตรงย่อมแตกต่างจากผู้ชาย ฉันคิดว่าเธอต้องเคยผ่านความเจ็บปวดอย่างรุนแรงมาก่อนในอดีต เธอจึงหันเข้าหาโบสถ์เพื่อการปลอบประโลม ความมั่นใจ ความเป็นระเบียบ และเพื่อมอบจุดมุ่งหมายให้กับชีวิต”

แง่มุม “มนุษย์” ที่สตรีพมอบให้กับตัวละครถือเป็นจุดเด่นที่ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ผลงานยุคแรกๆ ของเธอไม่ว่าจะเป็นบทเหยื่อนาซีใน Sophie’s Choice ซึ่งทำให้เธอคว้าออสการ์ตัวที่สองมาครอง หรือบทสาวโรงงานนักต่อสู้ใน Silkwood หรือบทนักบริหารนิตยสารแฟชั่นชั้นนำใน The Devil Wears Prada “สังคมมักจะมีความรู้สึกขัดแย้งเกี่ยวกับผู้หญิงทรงอำนาจ ไม่ว่าจะเป็น ฮิลลารี คลินตัน หรือ ซาราห์ พาลิน” สตรีพกล่าว “มันมีเหตุผลอยู่ว่าทำไมหนังถึงตั้งชื่อ ‘นางมารสวมปราดา’ นั่นทำให้มันได้รับการอนุมัติจากสตูดิโอ ถ้ามันชื่อ ‘นางฟ้าในออฟฟิศผู้บริหารของนิตยสารโว้ก’ คงไม่มีใครจ่ายเงินไปดู”


เคท วินสเล็ท (The Reader)

มีอยู่สองสิ่งที่ทำให้ เคท วินสเล็ท รู้สึกแปลกๆ อย่างแรก คือ การให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบทบาทการแสดงของเธอ “ขณะ” รับบทนั้นอยู่ อีกอย่าง คือ การเฝ้ามองนักแสดงหน้าเหมือนเธออ่านบนแทนเธอในช็อตที่กล้องต้องจับภาพโคลสอัพนักแสดงคนอื่น ซึ่งอย่างหลังบางครั้งก็ถือเป็นความจำเป็นในกองถ่าย The Reader เนื่องจากเคทต้องแต่งหน้า (แก่) และทำผมเป็นเวลานานจนทีมงานไม่อาจรอได้ ทว่านักแสดงสาววัย 33 ปีกลับไม่รู้สึกแปลกแต่อย่างใดในการเข้าฉากเปลือยหมดจดกับ เดวิด ครอส นักแสดงหนุ่มวัย 18 ปีชาวเยอรมัน โดยช่วงวัยที่ห่างกัน 15 ปีไม่ได้สร้างความรู้สึกแตกต่างใดๆ สำหรับวินสเล็ท “มันก็เหมือนการถ่ายฉากประเภทเดียวกันนี้ในหนังเรื่องอื่น” เธอกล่าว “การแสดงให้เห็นความใกล้ชิดอย่างยิ่งของตัวละครมักเรียกร้องให้นักแสดงต้องเปิดเผยเนื้อหนังมังสามากกว่าปรกติ มันสร้างความตึงเครียดได้ไม่น้อย คุณต้องซักซ้อมก่อนเข้าฉากเพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน” กระนั้นวินสเล็ทกลับไม่เห็นความจำเป็นของการกระชับหุ่น หรือปรุงแต่งผิวหนังให้ดูดีเพื่อเข้าฉากดังกล่าว “ฉันอยากให้มันดูเหมือนจริง ฉันไม่เห็นด้วยกับการปรุงแต่งนักแสดงให้ดูสมบูรณ์ทุกสัดส่วนจนแทบจับต้องไม่ได้”

ในผลงานการแสดงที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 6 ต่อจาก Sense and Sensibility, Titanic, Iris, Eternal Sunshine of the Spotless Mind และ Little Children วินสเล็ทรับบทเป็น ฮันนา ชมิทซ์ กระเป๋ารถรางวัยกลางคนในประเทศเยอรมันช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เธอเริ่มสร้างสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเด็กชายคราวลูก (ครอส) ก่อนวันหนึ่งจะหายตัวไปอย่างลึกลับ ประสบการณ์ดังกล่าวสร้างรอยแผลบาดลึกแก่เด็กหนุ่มจนกระทั่งเขาเติบใหญ่กลายเป็นนักศึกษาวิชากฎหมาย รับบทโดย เรฟ ไฟนส์

วินสเล็ทเกือบไม่ได้เล่น The Reader อยู่แล้ว แม้เธอจะเป็นตัวเลือกแรกของผู้กำกับ สตีเฟน ดัลดรี้ เนื่องจากเธอยังติดถ่ายทำหนังเรื่อง Revolutionary Road กับสามี แซม เมนเดส ด้วยเหตุนี้ ดัลดรี้จึงหันไปหา นิโคล คิดแมน ซึ่งเคยร่วมงานกันมาก่อนใน The Hours แต่แล้วจู่ๆ คิดแมนดันเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา และวินสเล็ทก็ปิดกล้อง Revolutionary Road เสร็จพอดี ทุกอย่างจึงลงตัวตามแผนเดิม ราวกับเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (นิโคล คิดแมน คว้าออสการ์นักแสดงนำหญิงมาครองจาก The Hours หลังจากเกือบตอบปฏิเสธไม่รับแสดงเนื่องจากขณะนั้นเธอเพิ่งหย่าขาดจาก ทอม ครูซ)

เมื่อถูกถามถึงฮันนา ตัวละครซึ่งกระทำความผิดร้ายแรงบางอย่างไว้ในอดีตจนยากจะให้อภัย วินสเล็ทแสดงความเห็นว่า “ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะทำให้คนดูสงสารฮันนา ทำให้เธอดูบอบบาง หรือน่าเห็นใจมากขึ้น หน้าที่ของฉัน คือ ทำให้เธอดูเป็นมนุษย์คนหนึ่ง สมจริงจนสามารถจับต้องได้ ฉันต้องถ่ายทอดทุกอารมณ์ของเธออย่างซื่อสัตย์เต็มร้อยเพื่อเปิดโอกาสให้คนดูเข้าใจเธอ และเห็นใจเธอหากพวกเขาต้องการ ฉันคิดว่ามันสำคัญมากที่จะไม่ให้คำตอบ แต่กระตุ้นให้คนดูตั้งคำถามต่อทุกอย่างรวมถึงระดับศีลธรรมในใจเขา”

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

จาก เกรียง คนรักหนัง krieng_tula20@hotmail.com
ผมชอบการเเสดงครับ


ยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะดูหนังซักเรื่อง ก็การเเสดงนี่แหละครับ
อย่าง เมอรีล ผมว่าเค้าเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพครับ
เลยชอบเเละเชียร์เป็นการส่วนตัวในปีนี้
ด้าน แองเจลลิน่า บทบาทของเธออาจถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับการได้เข้าชิงในปีนี้(แทนที่ เเซลลี่)แต่ผมมองว่ามันก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร แค่ผมคิดว่าทางคณะกรรมการคงมองเห็นว่าบทดราม่าของธอ ยังไงก็ดีกว่าตลกแบบเเซลลี่ และเธอกับสามี คงเรียกเรทติ้งคนดูรายการได้มากกว่าเเซลลี่ อันจะทำให้สปอนเซอร์รายการปลื้มมากกว่า
ส่วนแอน นั้น บทบาทของเธอสุดยอดสมคำร่ำลือในปีนี้ และเธอยังมีโอกาศโชว์ฝีมืออีกมากปีกว่านักแสดงหลายคนครับ (โดยเฉพาะเทียบกับผู้เข้าชิงปีเดียวกันในปีนี้)ผมจึงโอ เธออาจจะเหมาะกับรางวัลในฐธิพลของหนัง ที่อินดี้สุดๆ ผมว่ากรรมการหลายท่านอาจพลาดบทบาทการเเสดงของเธอ
เจ้าป้าเมอรีล นั้น ผมว่าบทเธอนี่ยอดเยี่ยมครับ ตัวละครดูมีชีวิต จิตใจ และประกอบกับการที่ปีนี้ เธอมีอีกบทบาทการเเสดงที่ขัดกับบทแม่ชีมาก แถมทำรายได้ได้ดีอีกด้วย (mamma mia!)อาจเป็นออสการ์ตัวที่ 3 ของเธอ หลังจากรอคอยมา 10 ปี
แต่ด้วยเธอเป็นเจ้าของสถิติเข้าชิงครั้งที่ 15 ซึ่งมากที่สุด หลายคนอาจนับว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดพอเเล้ว ไม่จำเป็นต้องได้ตัวที่ 3 เพราะเปรียบเที่ยบว่า เคท น่าสงสารเเค่ไหน ถ้าเธอพลาดจากการเข้าชิงครั้งที่ 6 ในปีนี้ ทั้งๆที่เธอ ฝากการเเสดงอันยอดเยี่ยมไว้ในภาพยนต์ ถึง 2 เรื่องในปีเดียวกัน (revolutionary road เเละ the reader)
ไม่ว่าจะยังไง ผมก็เชียร์ เจ้าป้า เมอรีลครับ
ผมว่าบทเธอ เผ็ดร้อนกว่าเคท
แต่ความเป็นจริงนั้น ลึกๆ ผมมองว่า ออสการ์จะตกเป็นของ เคท ครับ

ทิ้งท้ายครับ
พอจะมีใครทราบมั้ยครับว่า ภาพยนต์เรื่องใดที่มีการเข้าชิงในสาขาการเเสดงมากที่สุด หรือเท่ากับ doubt ในปีนี้ เท่าที่ผมรู้ ก็มี all about eve กับ chicago คราบ

Riverdale กล่าวว่า...

All About Eve เข้าชิงการแสดง 5 คน ได้สมทบชาย

หนังที่นักแสดงได้เข้าชิง 5 คนอีกก็เช่น Tome Jones (พลาดหมด)The Godfather, Part II (ได้สมทบชาย)Bonnie and Clyde (ได้สมทบหญิง) และ Network (ได้นำชาย นำหญิง และสมทบหญิง)