วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 12, 2552

Oscar 2009: Best Supporting Actor


จอช โบรลิน (Milk)

เมื่อสองสามปีก่อน จอช โบรลิน เริ่มหันไปเอาดีทางด้านการเล่นหุ้น ด้วยความคิดว่าหากเขาสามารถหาเงินจากการเล่นหุ้นได้มากเท่ารายได้ปัจจุบัน (งานแสดงที่นานๆ มาทีและบ่อยครั้งมักเป็นบทเล็กๆ) เขาจะได้เลิกรับงานแสดงเพื่อเลี้ยงชีพ แต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นก่อน โรเบิร์ต โรดริเกซ จะเลือกเขาไปแสดงใน Planet Terror จากนั้น พอล แฮ็กกิส ก็เรียกใช้งานเขาใน In the Valley of Elah ตามมาด้วย ริดลีย์ สก็อตต์ ใน American Gangster และตบท้ายด้วยบทเด่นในหนังรางวัลออสการ์ของสองพี่น้องโจเอลและอีธาน โคนเรื่อง No Country for Old Men ซึ่งทำให้โบรลินกลายเป็นที่จดจำและต้องการตัว ดังจะเห็นได้จากบทนำใน W ของ โอลิเวอร์ สโตน และบทสมทบอันโดดเด่นใน Milk ซึ่งทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก

แดน ไวท์ เป็นนักการเมืองรุ่นเก่าที่กำลังจะถูกแทนที่โดยคลื่นลูกใหม่นาม ฮาร์วีย์ มิลค์ นักการเมืองเกย์ที่มุ่งต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิของชาวรักร่วมเพศในช่วงทศวรรษ 1970 ขณะนั้นกระแสรักร่วมเพศกำลังโหมกระหน่ำ มันไม่ใช่ช่วงเวลาของไวท์ แต่เป็นช่วงเวลาของมิลค์ นักการเมืองที่มากประสบการณ์จะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แล้วทำใจยอมรับ แต่ไวท์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าไม่มีใครสังเกตเห็นหัวเขา ไม่มีใครชื่นชมเขา และเขาคุ้นเคยกับสถานะคนเด่นดังในย่านดังกล่าว ความกลัดกลุ้ม หงุดหงิดนำไปสู่พฤติกรรมรุนแรง เมื่อไวท์เดินบุกเข้าไปในออฟฟิศของนายกเทศมนตรี จอร์จ มอสโคน แล้วยิงเขาเสียชีวิต ก่อนจะเดินข้ามไปยิงอีกฟากของตึกเพื่อกระหน่ำกระสุนห้านัดใส่มิลค์

“ผมชอบสารคดีเรื่อง The Times of Harvey Milk นะ มันซาบซึ้งและน่าประทับใจมาก” นักแสดงชายวัย 40 ปี อดีตขวัญใจวัยรุ่นจาก The Goonies สามีของ ไดแอน เลน และลูกเลี้ยงของ บาร์บรา สตรัยแซนด์ (เธอแต่งงานกับพ่อของเขา เจมส์ โบรลิน) กล่าว “แต่ผมคิดว่าผู้สร้างวาดภาพไวท์เป็นเหมือนวายร้าย ชีวิตจริงไม่ได้ขาวกับดำขนาดนั้น มันไม่น่าสนใจสำหรับผม ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องราวชีวิตของ ฮาร์วีย์ มิลค์ แต่คุณไม่อาจขจัดไวท์ออกจากเรื่องราวนั้นได้ เขาเป็นตัวละครสำคัญ สำหรับผม มันน่าสนใจกว่าหากเราจะเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครนี้ ผมคิดว่าเขาเป็นเหมือนปลาใหญ่ในบ่อเล็ก เขาขาดคุณสมบัติที่จะเป็นนักการเมืองชั้นนำ เขาเป็นแค่ชายเรียบง่ายที่ติดกับอยู่ในโลกอันซับซ้อนเกินความสามารถจะรับมือ”

ฉากเด่นของโบรลินเป็นตอนที่ไวท์ต้องเดินข้ามไปยังอีกฟากของตึกเพื่อสังหารมิคล์ ซึ่งอาจทำให้นักดูหนังหลายคนนึกถึงหนังอีกเรื่องของผู้กำกับ กัส แวน แซนท์ ที่ชื่อ Elephant เกี่ยวกับสองเด็กมัธยมปลายที่เช้าวันหนึ่งพกปืนมายิงอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นเรียนจำนวนมาก โบรลินกล่าวถึงฉากนี้ว่า “ผมสนใจความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวเขาขณะเดินไปหามิลค์ เขาจะฉุกคิดไหมว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ หรือเขามีสภาพเหมือนตกอยู่ในความฝัน”


โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Tropic Thunder)

เป็นเวลาหลายปีที่ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ มักจะถูกตีตราควบคู่ด้วยสองวลีสั้นๆ นั่นคือ “นักแสดงชั้นยอด” (เขาเคยเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกจากบทนำใน Chaplin) และ “ขี้ยาชั้นต่ำ” (จากการถูกจับและเข้ารับการบำบัดหลายครั้ง) เมื่อใดก็ตามที่สองด้านดังกล่าวถูกเอ่ยถึง นักแสดงหนุ่มใหญ่วัย 43 ปีมักจะสงบปากสงบคำ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้พยายามเบี่ยงเบนประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เขาโผล่ไปพบผู้กำกับ ไมค์ ฟิกกิส ช้ากว่านัดไปสองชั่วโมงในสภาพเท้าเปล่าและพกปืนแม็กนั่มติดตัว หรือการถูกตำรวจจับในข้อหาพกอาวุธปืนและมียาเสพติด (เฮโรอีน) ในครอบครอง หรือการบุกรุกที่พักของเพื่อนบ้านในสภาพเมายา หรือความล้มเหลวของการเข้ารักษาในสถานบำบัด หรือชีวิตอันยากลำบากในคุก เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในสภาพนอนจมกองเลือดตัวเองหลายครั้งหลายครา หรือการถูกไล่ออกจากกองถ่ายละคร Ally McBeal

แม้จะต้องจำทนผ่านช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ดาวนีย์ก็ไม่เคยยอมแพ้ จนกระทั่งค้นพบความสำเร็จในปี 2003 เมื่อเขาแวะจอดรถหน้าร้าน เบอร์เกอร์ คิง แล้วเทยาทั้งหมดลงในมหาสมุทร เขาตัดสินใจขณะนั่งกินเบอร์เกอร์ว่าพอกันที และเหมือนชะตากรรมเล่นตลก ห้าปีต่อมา เด็กๆ จำนวนมากกลับพากันเดินเข้าร้านเบอร์เกอร์ คิงเพื่อแลกซื้อหุ่นยนต์รูป โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์

ปี 2008 ไม่เพียงจะช่วยสถาปนาดาวนีย์ในฐานะซูเปอร์สตาร์แถวหน้าจากความสำเร็จของ Iron Man เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำภาพลักษณ์นักแสดงคุณภาพของเขาให้หนักแน่นขึ้นด้วยจากการเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สอง โดยในหนังตลกเรื่อง Tropic Thunder เขารับบท เคิร์ค ลาซารัส นักแสดงชาวออสซี่เจ้าของห้ารางวัลออสการ์ ที่ทุ่มเทให้กับงานแสดงแบบหมดตัว (เขาเป็นพวก Method) ด้วยการลงทุนไปศัลยกรรมและผ่าตัดเปลี่ยนเม็ดสีผิวเพื่อรับบทนายทหารผิวดำนาม ลินคอล์น โอซิริส ในหนังมหากาพย์สงคราม

ความท้าทายของบท (นอกเหนือจากเมคอัพอันซับซ้อนและวุ่นวาย) อยู่ตรงการเดินไต่เส้นลวดระหว่างขำขันกับหมิ่นประมาท เพราะหากเล่นมากไป มันอาจไม่ฮา แถมยังทำให้คนผิวดำจำนวนมากโกรธแค้นได้ หากสังเกตจากรายได้หนัง รวมถึงการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ ดูเหมือนว่าดาวนีย์จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายอย่างงดงาม “เวลาถ่ายทำเราจะวิเคราะห์กันไปเป็นฉากๆ” หนึ่งในนักแสดงนำจาก Zodiac ผลงานกำกับของ เดวิด ฟินเชอร์ เล่า “เบน (สติลเลอร์ ผู้กำกับ-เขียนบท-นำแสดงหนังเรื่อง Tropic Thunder) ก็คอยถามว่า ‘คุณคิดยังไง’ ผมก็จะตอบว่า ‘มันตลกดี และคงไม่ทำให้ใครโมโห’ แต่ผมไม่รู้ว่าความเสี่ยงคุ้มค่ากับผลตอบแทนไหม เพราะผลตอบแทนคือคุณสร้างหนังตลกที่หลายคนชื่นชอบ ส่วนความเสี่ยงนั้นเป็นบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่า”


ฟิลิป ซีย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมน (Doubt)

“ผมอยากทำในสิ่งที่ผมหลงใหลชื่นชอบเท่านั้น ผมรู้ว่ามีนักแสดงหลายคนอยากรับแต่บทคนดี คนเท่ แต่คุณจำเป็นต้องถอดหน้ากากแห่งมายานั้นออก หากคุณต้องการเป็นนักแสดงอย่างแท้จริง” มันไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด เมื่อคำพูดข้างต้นหลุดออกมาจากปากของ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน นักแสดงมากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการกว่า 17 ปี และเล่นหนังไปแล้วกว่า 40 เรื่อง เพราะบ่อยครั้งเราจะเห็นเขา “กลายร่าง” เป็นตัวละครที่เขารับเล่นโดยปราศจากความหวาดกลัว หรือภาพลักษณ์ของดารา นอกจากนี้ คำว่า “เท่” ยังเป็นคุณศัพท์ที่ห่างไกลจากบุคลิกของตัวละครที่เขาเคยสวมวิญญาณในหนังอย่าง Boogie Nights หรือ Happiness เสียเหลือเกิน และนั่นหมายรวมถึงบท ทรูแมน คาโปตี้ ใน Capote ซึ่งทำให้เขาคว้าออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาครองด้วย (น่าประหลาดที่ในปีนั้น เขามีชัยเหนือ ฮีธ เลดเจอร์ ซึ่งเข้าชิงสาขาเดียวกันจาก Brokeback Mountain มาในปีนี้ ทั้งสองก็เข้าชิงพร้อมกันอีกครั้งในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม)

ฮอฟฟ์แมนมักจะสอดแทรกส่วนผสมระหว่างความรู้สึกคุ้นเคยกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทุกตัวละครที่เขารับเล่น ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่อง่าย เพราะมันเรียกร้องทักษะ ความมุ่งมั่น ตลอดจนการปลดเปลื้องตัวตนและความหยิ่งทะนง “ผมไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร” ไมค์ นิโคลส์ ซึ่งเคยกำกับฮอฟฟ์แมนใน Charlie Wilson’s War กล่าว “ครั้งแล้วครั้งเล่าเขาจะเปลี่ยนเป็นคนที่ผมไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ขณะเดียวกันกลับรู้สึกสมจริงจนจับต้องได้ เวลาคุณดูฟิลทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขาจะเปลี่ยนไป เขาอาจยังมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม แต่บางอย่างในดวงตาจะแตกต่าง เหมือนเขาได้สร้างตัวตนขึ้นใหม่ โดยใช้ความมุ่งมั่นจัดเรียงโมเลกุลในร่างเพื่อกลายเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง”

ใน Doubt ฮอฟฟ์แมนรับบท ฟาเธอร์ ฟลิน นักบวชนิกายคาทอลิกที่ “อาจจะ” มีพฤติกรรม “ไม่เหมาะสม” กับเด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง เขาถูกตั้งข้อสงสัยและถูกกล่าวหาโดย ซิสเตอร์ อลอยเชียส แม่ชีผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน รับบทโดย เมอรีล สตรีพ โดยเนื้อหาหลักของหนังวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่า “เขาทำจริงหรือไม่” กระนั้นนั่นหาใช่ประเด็นสำคัญสำหรับฮอฟฟ์แมน เขาเลือกจะถ่ายทอดภาพลักษณ์ของฟลินในฐานะนักปฏิรูป ชายหนุ่มที่สนใจเกี่ยวกับปรัชญามากกว่าศาสนา และแม้จะถูกใครต่อใครซักถามอยู่เสมอว่าตกลงฟลินทำผิดจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ฮอฟฟ์แมนกลับไม่เคยตอบ

“ผมคิดว่า Doubt พูดถึงภาพรวมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น” ฮอฟฟ์แมนกล่าว “หัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ คือ แรงปรารถนาของมนุษย์ที่จะมั่นใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง แล้วพูดว่านี่คือสิ่งที่ฉันเชื่อว่าถูกต้อง หรือชั่วร้าย เพื่อจะได้สามารถตื่นมาใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างภาคภูมิใจ แทนการใช้ชีวิตไปตามข้อเท็จจริง นั่นคือ โลกของเราล้วนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง ซึ่งบางครั้งก็ไม่อาจแยกขาวออกจากดำได้”


ฮีธ เลดเจอร์ (The Dark Knight)

กระทั่งก่อนบทหนังเรื่อง The Dark Knight จะเสร็จสมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่าง ฮีธ เลดเจอร์ มีภาพในหัวอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจะถ่ายทอดบุคลิกของโจ๊กเกอร์ออกมาอย่างไร พร้อมทั้งนำเสนอไอเดียต่างๆ ของเขาให้ผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ฟัง “เขาบอกผมนับแต่วันแรกๆ ที่พบกันว่า เขาไม่ได้กังวลกับแรงผลักดันให้มายืนกลางสปอตไลท์ในฐานะดาราหนัง แต่เขาสนใจอยากแสดงให้คนมองเห็นเขาในฐานะนักแสดงที่เอาจริงเอาจังมากกว่า” โนแลนเล่า “ผมเคยได้ยินนักแสดงหนุ่มสาวหลายคนพูดแบบเดียวกันนี้ แต่เขาคงเป็นคนเดียวที่ผมยินดีจะเสียเงินค่าตั๋วเพื่อไปนั่งชมผลงานการแสดงอันวิเศษสุด”

แรงบันดาลใจหลักของโนแลนในการคัดเลือกนักแสดงหนุ่มชาวออสซี่มารับบทโจ๊กเกอร์ ศัตรูตัวฉกาจของแบทแมน เกิดจากการได้ชม ฮีธ เลดเจอร์ ในหนังเรื่อง Brokeback Mountain “มันเป็นการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยทักษะ หลายคนอาจมองข้ามวีรกรรมอันกล้าหาญของเขา เพราะเขารับบทเป็นตัวละครที่เก็บกดทุกอย่างไว้ภายใน เขาไม่เปิดเผยอารมณ์กับคนดูอย่างหมดเปลือก นั่นถือเป็นความเสี่ยงขั้นสูงสุด เขากลืนหายไปกับตัวละคร แล้วโบยบินโดยปราศจากตาข่ายรองรับ ในการคัดเลือกนักแสดงมารับบทเด่นอย่างโจ๊กเกอร์ เราต้องการใครสักคนที่กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวใคร ไม่หวาดหวั่นที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ แจ๊ค นิโคลสัน ใครสักคนที่พร้อมจะทำให้ทุกคนจดจำเขาในบทบาทนั้น”

เช่นเดียวกับ เจมส์ ดีน ใน Rebel Without a Cause บทบาทอันซับซ้อนของ เอนนิส เดล มาร์ ใน Brokeback Mountain กลายเป็นเหมือน “คำนิยาม” อาชีพนักแสดงของเลดเจอร์ โดยรูปลักษณ์ภายนอก เอนนิสสะท้อนความเป็นชายแบบคาวบอยตะวันตก แต่บุคลิกเงียบงันที่เขาดำรงรักษาไว้ตลอดชีวิตหาได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง หากแต่เป็นความขลาดเขลาที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกแท้จริงภายใน หลังความรักต่อ แจ๊ค ทวิสต์ พุ่งทะยานเข้าใส่เขาแบบไม่ทันตั้งตัว ความยอดเยี่ยมในงานแสดงของเลดเจอร์อยู่ตรงที่เขาไม่ทรยศต่อธรรมชาติแห่งตัวละคร แต่กลับถ่ายทอดความจริงแท้มายังคนดูได้อย่างรุนแรง ความสามารถที่จะสื่อสารอารมณ์ภายในออกมาโดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างชัดแจ้งเป็นสิ่งที่แบ่งแยกนักแสดงออกจากดารา

ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า ฮีธ เลดเจอร์ ผันตัวจากดาราหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นจาก 10 Things I Hate About You และ A Knight Tale มาเป็นนักแสดงมากฝีมือในช่วงบั้นปลายชีวิตได้อย่างไร หลายคนยกเครดิตให้กับ Monster’s Ball ซึ่งเลดเจอร์เริ่มฉายประกายแห่งพรสวรรค์ในบทสมทบ อีกหลายคนยกเครดิตให้กับการเลือกสรรบทอันหลากหลาย ท้าทายความสามารถของตัวเลดเจอร์เอง เช่น หนุ่มขี้ยาใน Candy บ็อบ ดีแลนใน I’m Not There นักต้มตุ๋นใน The Brothers Grimm และหนุ่มเจ้าสำราญใน Casanova อย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครปฏิเสธว่าบทบาทการแสดงชิ้นสุดท้ายของเขานั้นถือเป็นข้อพิสูจน์ความสามารถทางการแสดงของ ฮีธ เลดเจอร์ ได้อย่างชัดเจน โดย เดวิด โกเยอร์ หนึ่งในทีมเขียนบท The Dark Knight ได้ตั้งข้อสรุปที่คนส่วนใหญ่คงเห็นด้วยว่า “เขาทำให้คุณหยุดหายใจนับแต่นาทีแรกที่ปรากฏตัว มันยากที่จะจินตนาการใครอื่นมารับบทโจ๊กเกอร์ เพราะเขาทำหน้าที่ดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์แบบ”


ไมเคิล แชนนอน (Revolutionary Road)

Revolutionary Road อาจนำแสดงโดยสองซูเปอร์สตาร์คู่ขวัญจาก Titanic (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ + เคท วินสเล็ท) กำกับโดยเจ้าของรางวัลออสการ์จาก American Beauty (แซม เมนเดส) และดัดแปลงจากนิยายของนักเขียนมือรางวัล (ริชาร์ด เยทส์) แต่น่าแปลกที่หนังกลับทรงพลัง ชวนติดตาม และพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดทางอารมณ์ทุกครั้ง เมื่อนักแสดงค่อนข้างโนเนมอย่าง ไมเคิล แชนนอน ปรากฏตัวขึ้นเพื่อขโมยซีนของทุกคน

เขารับบทเป็น จอห์น กิฟวิงส์ นักคณิตศาสตร์สติไม่ค่อยสมประกอบจนถูกจับเข้าโรงพยาบาลและช็อตสมองด้วยกระแสไฟฟ้า 37 ครั้ง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นมนุษย์คนเดียวที่ “จริงใจ” และ “ซื่อสัตย์” ต่อตัวเอง รวมถึงทุกคนรอบข้างท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันว่างเปล่า จอมปลอมของสังคมชานเมืองในยุค 50 แต่จะว่าไปคำว่า “ปกติ” หรือ “สามัญ” ดูจะใช้อธิบายตัวละครหลายตัวที่แชนนอนเคยรับเล่นไม่ได้อยู่แล้ว เช่น บทคนขี้ระแวงใน Bug ผลงานกำกับของ วิลเลียม ฟรีดกินส์ ซึ่งเริ่มทำให้ชื่อเสียงของแชนนอนในฐานะนักแสดงคุณภาพกะพริบติดเรดาร์ ก่อนจะส่องสว่างอย่างเต็มที่จาก Revolutionary Road

แชนนอนจำได้ว่าเขาอยากได้บทนี้มากแค่ไหน และ “ปล่อยของ” เต็มกำลังระหว่างการทดสอบหน้ากล้องในฉากที่จอห์นต้องตะโกนสั่งคุณแม่จอมบงการของเขาให้หุบปาก (ในหนังรับบทโดย เคธี่ เบทส์ ส่วนในห้องทดสอบหน้ากล้องรับหน้าที่โดยหัวหน้าฝ่ายคัดเลือกนักแสดง ซึ่งต่อมายอมรับว่าตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ เธอไม่เคย “เจ็บแปลบ” ขนาดนี้ในระหว่างการทดสอบอ่านบทกับนักแสดงมาก่อน) “ผมเดาว่าผมคงอยากบอกให้แม่ตัวเองหุบปากมานานแล้ว จนในที่สุดก็มีโอกาส ความยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งของการแสดง คือ คุณได้ทำในสิ่งที่ชีวิตจริงไม่สามารถทำได้ เพราะมันอาจทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก” นักแสดงหนุ่มที่เล่น Groundhog Day เป็นหนังเรื่องแรกกล่าว

ตลอดเวลาหลายปี แชนนอนฝึกฝน หมักบ่มทักษะจากการแสดงละครเวทีจำนวนมากทั้งในลอนดอนและนิวยอร์ก รวมถึงการรับบทเล็กๆ ในหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่อย่าง Pearl Harbor และ World Trade Center (ในปี 2008นอกจาก Revolutionary Road แล้ว เขายังฝากผลงานน่าประทับใจเอาไว้อีกชิ้น นั่นคือ Shotgun Stories แต่คราวนี้บทเรียกร้องให้เขาเก็บงำความรู้สึก แตกต่างจากบทจอห์นใน Revolutionary Road ค่อนข้างมาก) ชื่อเสียงที่ย่อมจะตามมาจากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ไม่ได้ทำให้แชนนอนคิดจะหันหลังให้กับวงการละครแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขายังคงรับงานละครต่อไปพร้อมๆ กับภาพยนตร์อย่างขยันขันแข็ง “เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่คุณสาบานได้ว่าไม่ใช่นักแสดง” เอมี่ ไรอัน เพื่อนคนหนึ่งของแชนนอน ซึ่งเมื่อปีก่อนเพิ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Gone Baby Gone กล่าว “เพราะคุณรู้สึกว่าบทบาทของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสมจริง ราวกับคุณกำลังเฝ้ามองมนุษย์คนหนึ่งอยู่”

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

จาก เกรียง คนรักหนัง
ยังไงก็ได้โจ๊กเกอร์ เอ้ย ฮีท ครับ
ไม่ว่าเขาจะเสียชีวิตหรือไม่ ผมว่าเค้าก็สุดยอดครับ